1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
ผู้นำโลกในตลาดเฉพาะของประเทศไทย
การที่ประเทศไทยเราสนใจในเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องและก็คงหวังว่าในอนาคต "คนไทยก็จะอยู่ดีกินดีกว่าเดิม" ผู้เขียนได้อ่านพบจาก นสพ.โพสต์ทูเดย์ฉบับวันพุธที่ 14 พ.ค.46 หน้า 1 พาดหัวข่าวว่า "ไทยเบียดยุ่นขึ้นอันดับ 10 ความสามารถการแข่งขัน" ถ้าดูในรายละเอียดจะพบว่า ในปี 2003 เราอยู่ในอันดับ 27 จาก 59 ประเทศที่ทำการศึกษาโดย มีจุดเด่นด้านความสามารถในการตัดสินใจของรัฐบาลและปัจจัยด้านการตลาดแรงงานและอัตราการว่างงานที่ต่ำ จุดเด่นรองลงมาก็คือ นโยบายการคลังการค้าระหว่างประเทศ การเปิดกว้างทางวัฒนธรรมและกระบวนการจัดการทางธุรกิจ เป็นต้น จุดอ่อนได้แก่ ผลิตผลต่ำ หนี้ในภาคการลงทุนสูง รายได้ต่อหัวต่ำ การบิดดเบือนกลไกราคา การจำกัดขอบเขตการลงทุนของต่างชาติ การลงทุนด้านการวิจัยพัฒนาต่ำและระบบสาธารณสุขยังไม่ทั่วถึง เป็นต้น ความจริงถ้าพิจารณาสิ่งที่อ้างข้างต้นก็จะดีใจและปลื้มกันพอสมควรที่อันดับเราเพิ่มขึ้น (เดิมอยู่อันดับที่ 34) Aj.Danai ThieanphutDNT Consultants พอตเตอร์เสนออะไร ผู้เขียนเห็นว่าสิ่งที่พอตเตอร์เสนอเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะทำมากกว่าที่จะไปบอกว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องที่เราไม่เคยตระหนัก เป็นเรื่องที่เรามองข้ามและหลายอย่างเป็นความบกพร่องที่เราไม่เคยยอมรับ (อ้างจาก นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันจันทร์ 5 พ.ค.46 หน้า A3) ประเทศไทยไม่มีวิสัยทัศน์สำหรับประเทศโดยรวม สิ่งที่พอตเตอร์พูดไว้ในเอกสาร Preliminary Findings "Thailand's Competitiveness : Creating The Foundation for Higher Productivity" 4 May 2003 (ดาวน์โหลดได้จากเวบไซท์ ของสภาพัฒน์ฯ) "Thailand has a vision for niche industries, but no vision for the country as a whole" ซึ่งหมายความว่า การที่ประเทศไทยกำหนดแนวทาง 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (Thailand's Vision : World Leader in Niche Markets) คือ ผู้นำโลกในตลาดเฉพาะของ (1) อุตสาหกรรมอาหาร "ครัวของโลก" (2) อุตสาหกรรมแฟชั่น-"แฟชั่นโซนร้อนของเอเซีย" (3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว-"เมืองหลวงการท่องเที่ยวแห่งเอเซีย" (4) อุตสาหกรรมยานยนต์ "ดีทรอยต์แห่งเอซีย" และ (5) อุตสาหกรรมซอฟท์แวร์-"ศูนย์กราฟฟิคดีไซน์ของโลก" ทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกว่า "มีวิสัยทัศน์สำหรับประเทศไทยโดยภาพรวม" คอตเตอร์สอน (แนะนำ)ว่า ประเทศไทยควรที่จะคิดอะไรใน 5-10 ปีที่จะเป็น หนึ่งเดียว และในภูมิภาคนี้หรือในโลกจะทำธุรกิจที่สัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ได้อย่างไร - อะไรที่เป็นความได้เปรียบของประเทศไทยในสถานที่ตั้ง ประวัติศาสตร์และ สภาพแวกล้อมของธุรกิจที่มีอยู่ - ประเทศไทยจะเคลื่อนไปอีก ระดับของการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างไร การเป็นผู้นำโลกในตลาดเฉพาะ (World Leader in Niche Markets) ผู้เขียนขอนำโมเดลเพชรพลวัต (Dynamic Diamond Model) และข้อสรุปจาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ (ฉบับวันเสาร์ที่ 3 พ.ค.46 หน้า 2) พร้อมสรุปจากเอกสารของพอตเตอร์ที่อ้าง ไว้แล้วข้างต้นมาให้เห็นภาพที่เชื่อมโยง บทสรุป:นักทำแผนระดับโลก สิ่งที่เป็นข้อเสนอของพอตเตอร์ที่น่าสนใจยิ่งก็คือ "ประเทศไทยเป็นนักทำแผนระดับโลก แต่ไม่เคยนำมาปฏิบัติ" ประเด็นที่เราคนไทยหรือผู้เชี่ยวชาญต่างๆ สมควรจะต้องช่วยกันคิดและก็ให้ข้อเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจและประเทศก็คือ ประเทศไทยควรจะมีวิสัยทัศน์โดยรวมของประเทศอย่างไร สิ่งที่ต้องคิดมากๆ ก็คือ TDRI สภาพัฒน์ฯ สภาที่ปรึกษาสภาพัฒน์ฯ หน่วยงาน- วิจัยระดับชาติหรือองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในรูปคณะกรรมการฯ องค์การมหาชน ควร- รวมกันคิดอย่างเป็นเอกภาพหรือไม่ก็มีเพียงหน่วยงานเดียวก็พอจะได้คิดใหม่ๆ ได้ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หากไปเน้นตั้งคณะกรรมการเพิ่มผลผลิตฯ เพราะพอตเตอร์บอกว่า Productivity เท่ากับ Competitiveness อาจจะคิดแบบราชการจริงๆ แล้ว ต้องศึกษาคำว่าคลัสเตอร์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และไม่ใช่ราชการเป็นตัวตั้ง ตามที่เสนอใน โมเดลการเพิ่มผลผลิต ลองคิดใหม่ใช้กลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรม (Industrial Cluster) เป็นตัวตั้งอาจจะคิดออกก็ได้ ขอบคุณจริงๆ สำหรับความรู้จาก Prof.Michael E. Porter ในครั้งนี้ Aj.Danai ThieanphutDNT Consultants
Create Date : 25 มกราคม 2549
Last Update : 22 มกราคม 2551 17:31:26 น.
0 comments
Counter : 894 Pageviews.
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [? ]
ที่ปรึกษาธุรกิจชั้นนำด้านจัดการกลยุทธ ( ผู้นำและริเริ่มการจัดทำ Balanced Scorecard & KPIs) การบริหาร HR ที่เน้นความสามารถ (Competency Based Approach) การพัฒนา HRD-KM และ การจัดการสมัยใหม่ *************************