หลังจากสอบผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนเยาวชนไทยเข้าร่วมในโครงการเรือเยาวชนเอเชีย อาคเนย์รุ่นที่ 20 ผ่านการเก็บตัวที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่จังหวัดชลบุรีเพื่อซักซ้อมกิจกรรมต่างๆที่ทุกคนจะต้องไปเจอบนเรือ ฝึกซ้อมการแสดง การอภิปราย การปฏิบัติตัวบนเรือ เตรียมของทีระลึกเพื่อมอบให้กับครอบครัวที่เราจะต้องไปพักอยู่ด้วยในแต่ละประเทศ รวมทั้งเพื่อและระหว่างเยาวชนจากประเทศต่างๆ ช่วงเวลาระหว่างรอถึงวันกำหนดเริ่มต้นโครงการ ผมถนอมตัวสุดฤทธิ์ เพื่อนชวนไปไหนไม่ไปทั้งนั้น กลัวว่าจะเป็นเกิดอุบัติเหตุ แข้งขาหักขึ้นมาในช่วงนี้ละก็มีหวัง อดไปต่างประเทศกันพอดี เฝ้ารอจึงถึงวันเริ่มต้นโครงการ
แล้ววันนี้ก็มาถึง ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ที่จะได้เดินทางไปต่างประเทศตั้งหลายประเทศ ได้นั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมไปถึงสนามบินดอนเมืองก่อนเวลานัดพอสมควร มีเพื่อนเยาวชนเริ่มทยอยมาบ้างแล้ว แม่และน้องๆมาส่งผมถ่ายรูปกันตามประสาคนจะไปเมืองนอก ที่สนามบินดอนเมืองพวกเราเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการเรือเยาวชนเอเชีย อาคเนย์แต่งชุดใส่เสื้อเชิ้ตผูกไทด์ใส่สูทเหมือนกันทุกคน ได้ยินผู้โดยสารอื่นพูดว่า คงเป็นนักกีฬาทีมชาติจะไปแข่งต่างประเทศ และทุกรุ่นที่ไปโครงการเรือก็คงถูกมองอย่างนี้เช่นเดียวกันทุกปี
และแล้วเวลาระทึกใจก็มาถึง สู้อุตส่าห์ถนอมตัวไว้ไม่ให้บุบสลายก็เพื่อวันนี้แหละ พวกเราผ่านขั้นตอนของการเช็คอินที่สนามบินเรียบร้อย ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องบิน บอกตรงๆว่า ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ทันทีที่เครื่องบินยกตัวขึ้นจากรันเวย์สนามบิน ถามตัวเองว่า เราไม่ได้ฝันไปหรอกหรือ เราได้ไปนอกจริงๆ นะ ก่อนหน้านี้ไม่เชื่อว่าตัวเองจะได้ไปเมืองนอกเมืองนา เป็นการขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกของผม ยกมือกำพระไว้ในมือประนมขอพระคุ้มครอง
เครื่องบินเวลาอยู่บนฟ้า เรานึกว่ามันอยู่ในอากาศมันน่าจะนิ่มและราบเรียบ บางทีมันสั่นกว่ารถวิ่งอยู่บนถนนที่ขรุขระเสียอีก เครื่องขึ้นไปได้พักหนึ่ง ก็จะมี แอร์และสจ๊วด เดินเสริฟอาหารและเครื่องดื่ม มื้อนี้หิวเป็นพิเศษ เลยจัดหนักแต่ก็เป็นอาหารที่แปลกจากชีวิตประจำวันของเรา ทั้งจืดชืด ไม่ถูกปากเราเอาเสียเลย ทำให้นึกต่อไปว่าจากนี้ไปเราคงต้องเจออาหารรสชาดแบบนี้อีก 45 วันข้างหน้า
เครื่องดื่มที่พนักงานเสิร์ฟ นำมาเสิร์ฟ มีเหล้า ไวน์แดง ไวน์ขาว บางคนอาจจะต้องการดื่มเพื่อให้มึนแล้วก็หลับระหว่างเดินทาง ผมเองด้วยความตื่นเต้น เห็นเหล้านอกก็อดไม่ได้ ของไม่ได้มีให้ได้กินบ่อยๆ อยู่บ้านอย่างดีก็เบียร์หรือเหล้าไทย นี่เป็นวิสกี้ของนอกจึงจัดไป 2 แก้วเหมือนกัน นึกถึงพ่อแม่และทุกคนที่บ้านรวมถึงเพื่อนๆไม่นึกไม่ฝันว่าตนเองจะมานั่งอยู่ตรงนี้ เป็นไปได้อย่างไร แต่มันก็เป็นไปแล้วและมันกำลังจะดำเนินต่อไป
ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ในความรู้สึกเราแป๊บเดียวเอง คงตื่นเต้น เครื่องบินลงที่สนามบินประเทศสิงค์โปร์ 30 นาที ลงไปเดินเล่นในสนามบินสิงคโปร์ระหว่างรอ จากนั้นก็บินต่อไปประเทศอินโดนีเซีย โครงการเรือเยาวชนเอเชีย อาคเนย์ จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นประเทศเริ่มต้นที่เรือนิปปอนมารู จะมาจอดเทียบท่าประเทศแรก รอรับเยาวชนจากทุกประเทศที่เข้าร่วมโครงการเรือฯ ปี 1993 (พ.ศ.2536) ประเทศอินโดนีเชียเป็นพอร์ทแรก เยาวชนจากทุกประเทศจะนั่งเครื่องบินมารวมกันที่อินโดนีเซียในวันที่ 2 ตุลาคม 2536
ถึงสนามบินอินโดนีเซียผ่านขั้นตอนขาเข้าของสนามบิน เป็นครั้งแรกที่มาต่างแดนเงอะงะๆทำอะไรไม่ค่อยถูก อาศัยทำตามๆคนข้างหน้า ฟังภาษาอังกฤษสำเนียงทองแดงไม่ค่อยรู้เรื่อง เจ้าหน้าที่สนามบินของอินโดนีเซียเข้มงวดมาก ผมต้องเปิดและแก้แพ็คกระเป๋าให้ดูอย่างละเอียด เสียเวลาช่วงนี้นานทีเดียว ทำหงุดหงิดเหมือนกัน จากนั้นก็ออกจากสนามบิน มีรถบัสมารับจากสนามบินไปยังท่าเรือที่เรือนิปปอนมารูเทียบท่ารออยู่ ระหว่างนั่งรถบัสก็ชมบ้านเมืองเขาด้วยความตื่นเต้น ใช้เวลาไม่นานนัก แต่เริ่มมืดแล้ว
ประมาณ 18.00 น. ถึงแล้ว เรือนิปปอน มารู เทียบท่าสง่างาม อลังการ สูงเสียดฟ้า ตระหง่านอยู่ตรงหน้า เคยได้ยินแต่ชื่อ เคยเห็นแต่ในรูปที่หลายคนมาบรรยายตอนเข้าค่ายเตรียมตัวก่อนจะมาโครงการเรือฯเล่าให้ฟัง เรือลำนี้เป็นลำที่ 3 ของโครงการและเพิ่งจะเปลี่ยนได้เพียง 2 ปี ในปี 1993 จึงนับว่ายังใหม่อยู่ นิปปอนมารู จากนี้อีก 45 วัน ผมต้องกินนอนอยู่บนเรือลำนี้พร้อมกับเยาวชนจากประเทศต่างๆ อีก 300 กว่าชีวิตและลูกเรืออีกจำนวนหนึ่ง
ลงทะเบียนตามระเบียบขั้นตอนของเรือ เจ้าหน้าที่โครงการเรือฯหรือ Admin ที่พวกเราชาวเรือฯรู้จักกันดี พวกเรามักเพียงแค่เกรงๆแต่ไม่ค่อยกลัว เป็นชาวญี่ปุ่นทั้งหมดน้ำเสียงและสีหน้าเป็นมิตรอ่อนน้อมแต่ก็เข้มงวดและจริงจัง มักจะคอยมาจับปูใส่กระด้ง ต้อนพวกเราเข้าเคบินหลังเวลาเข้านอนแล้วพวกเรายังไม่ยอมเข้านอน และด้วยความอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่างชอบแหกกฎระเบียบเข้าไปในพื้นที่ที่เขาหวงห้ามบนเรือ พวกเราก็มักจะเล็ดรอดเข้าไปและเป็นอย่างนี้ทุกรุ่น
ได้เวลาอาหารมื้อแรกบนเรือ นึกถึงแกงส้มฝีมือแม่ที่บ้าน น้ำปลาก็ไม่ต้องหา มีแต่เกลือป่นเท่านั้น จากนั้นก็เข้าเคบินห้องพัก ต้องนอนกับเพื่อนต่างชาติอีกสองคน คือ โย่ชาวญี่ปุ่น และสุไฮมี ชาวบรูไน ทักทายทำความร้จักกันเบื้องต้น จากนี้ต่อไปเราทั้ง 3 ต้องเป็นรูมเมทกันตลอด 45 วัน เคบิน 1 ห้องมี 3 ที่นอน เป็นเตียง 2 ชั้น 1 เตียง และเตียงเดี่ยวเล็กๆ อีก 1 เตียงผมเลือกนอนเตียงเดี่ยว ห้องเคบินถึงจะเล็กแต่ก็สะดวกสบาย สะอาด ยังมีห้องอื่นๆ อีกมากมายที่เราจะต้องหาเวลาออกไปสำรวจ คืนนี้นอนเที่ยงคืนพอดี