ทะเล ภูเขา ป่าไม้ สายน้ำ ธรรมชาติ บ้านของเรา
หายใจทิ้ง


“ผมใช้เวลาทุกเวลาเพื่อทำงานเขียนของผมโดยไม่คิดว่านี่เป็นเวลาราชการหรือนอกเวลาถึงจะเป็นการเขียนงานส่วนตัวแต่ผมก็มั่นใจว่างานเขียนของผมนั้นหน่วยงานของเราได้ประโยชน์อย่างแน่นอน”

เสียงเข้มของลูกน้องวัยใกล้เกษียณขึงขังใส่หัวหน้ากลุ่มที่อ่อนวัยกว่าหลายปีและเป็นว่าที่ผู้อำนวยการส่วนคนต่อไปรอเพียงคนปัจจุบันเกษียณอายุในเดือนกันยายนที่จะมาถึง

“ฉันไม่ได้หมายความว่า...” “เดี๋ยว..ผมพูดแล้วผมต้องพูดให้จบก่อน” ลูกน้องเสียงแข็งขึ้นอีก ทันทีที่หัวหน้าขยับจะโต้ตอบ หัวหน้าจำต้องสยบคำแบบฝืนๆ นิ่งฟังลูกน้องพรั่งพรูความในใจเหมือนอัดอั้นมานาน และรู้สึกขัดใจหากต้องถูกขัดจังหวะ

“ที่ผมหายไปจากที่นี่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้ทำงาน ผมอยู่ในห้องสมุดบ้างผมไปพบคนนั้นคนนี้ที่โน่นที่นี่บ้างเพื่อค้นคว้าข้อมูล หรือพูดคุยกับบุคคลที่จะเป็นแหล่งข้อมูลให้ผมได้ในเรื่องที่ผมจะเขียน ผมใช้เวลาตลอดเวลาเพื่องานเขียนโดยไม่ได้เลือกวันเวลาว่าวันทำงานหรือวันหยุด วงรอบเวลา 24 ชั่วโมงของผมคือ ผมจะตื่นมาเขียนหนังสือตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า แปดโมงครึ่งผมมาทำงาน เที่ยงวันผมจะกลับบ้านไปนอนและตื่นในเวลาบ่ายสี่โมงออกกำลังกายหลังจากนั้นก็เวลาอาหารเย็น เสร็จสรรพก็ดูโทรทัศน์ ดูข่าวสารบ้านเมืองประมาณสามทุ่มผมถึงเข้านอนและใช้เวลาในการนอนกลางคืนเพียงสี่ชั่วโมงตีหนึ่งก็ตื่นมาเขียนหนังสือเป็นวงรอบอย่างนี้ไม่มีวันทำการหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์”

“อาจารย์จะไปไหนต้องบอกฉันไว้ก่อนหรือบอกใครสักคนว่าอาจารย์จะไปไหน” หัวหน้าแย้งทันทีที่โอกาสเปิด

“ถ้าอย่างนั้นผมก็บอกไว้ตอนนี้อย่างนี้เลย ถึงผมจะไม่อยู่ที่ทำงานอาจจะคิดได้ว่าผมไปทำงานส่วนตัวแต่ผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นั้นมันเป็นงานเพื่อป่าไม้ สัตว์ป่า มันอาจไม่เหมือนกับงานที่พี่ทำกันอยู่ ซึ่งผมกลับมองว่าสิ่งที่พี่ทำกันอยู่มันไม่ใช่งาน”

เสียงหนักแน่นของลูกน้องแดกดันใส่หัวหน้าจนผมอดสะดุ้งไม่ได้ ไม่ใช่เพราะความดังของเสียงแก แต่สะดุ้งเพราะว่า เฮ้ย! มันมีบ้างหรือไม่ที่เราเองก็หลงไปทำสิ่งที่แกบอกว่าไม่ใช่งาน นั่นสิ ?ไม่หรอกเรารู้อยู่เต็มอกว่างานของพวกเราคืออะไร? ไม่ใช่งานชะเลียเจ้านายก็แล้วกัน พวกเราเข้ามากันพร้อมหน้าแล้วซึ่งมีไม่กี่คนเฉพาะแต่ข้าราชการเท่านั้น

“จั่วหัวซะเครียดเลยอาจารย์” ผมหาจังหวะขัดเพื่อนร่วมงานคนนี้ซึ่งผมใช้สรรพนามแทนตัวแกว่าอาจารย์เผื่อว่าจะลดอุณหภูมิความเครียดลงได้บ้างหลังจากเข้ามานั่งฟังได้สักอึดใจด้วยการทักทายและเห็นแกกำลังพลุ่งพล่านประหนึ่งเกลียวคลื่นคลั่งถาโถมเข้าหาฝั่ง รุนแรงพอที่จะคว่ำทุกสิ่งที่ขวางให้อับปางได้ในพริบตากับการระบายความอัดอั้นตันใจกับหัวหน้าในการนัดประชุมย่อยของกลุ่ม

แกหันมาที่ผมสีหน้ายังเคร่งเครียดแต่ก็เปื้อนยิ้มที่มุมปากบอกผมว่า

“ไม่ได้สิ เราต้องทะเลาะกันให้รู้เรื่องก่อนจะทำงานจะได้ไม่มาทะเลาะกันทีหลัง”

อาจารย์เป็นอดีตอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนป่าไม้แพร่ ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูประบบราชการเมื่อปี 2545 ตำแหน่งและหน่วยงานถูกปรับไปเป็นศูนย์ฝึกอบรมแทนโรงเรียน งานสอนถูกปรับเปลี่ยนเป็นงานฝึกอบรม ขณะเดียวกันแกก็ผันตัวเองมาเริ่มจับงานเขียนหนังสือเล่าเรื่องราวของธรรมชาติ ป่าไม้ สัตว์ป่า และทำงานวิจัยสัตว์บางชนิดสิ่งที่แกเล็งเห็นว่าน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญของระบบนิเวศน์ แกมีผลงานรวมงานเขียนเรื่องสั้นรวมเล่มออกสู่ท้องตลาดไปแล้ว 5-6 เล่ม แกใช้ชีวิตแบบศิลปินซึ่งโดยปกติของคนที่ถูกเรียกว่าศิลปินนั้นการดำเนินชีวิตก็มักจะไม่เหมือนใคร เรียบง่ายแต่มากด้วยจินตนาการ แกกำลังสั่งสมฝึกปรือฝีมือในการวาดลวดลายอักษรให้ติดตลาดบรรดาหนอนหนังสือทั้งหลายให้มากกว่านี้เข้าขั้นชั้นครู เผื่อว่าเมื่อถึงเวลาต้องเกษียณอายุราชการจะได้ใช้เป็นช่องทางหนึ่งในการเลี้ยงชีพหลังเกษียณ

แกบอกผมว่านักเขียนรุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่า งานเขียนของเราถ้าเข้าขั้น มันก็เหมือนลูกของเราที่เราเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมา จนเติบใหญ่ เมื่อถึงคราวที่เราแก่ชรา งานเขียนเหล่านี้ก็จะคอยเลี้ยงดูเราตอบแทน คอยปรนนิบัติเรากลับคืน ครั้งใดที่สำนักพิมพ์จัดพิมพ์ นั่นก็หมายถึงค่าตอบแทนจำนวนไม่น้อยมากพอสำหรับดำรงชีวิตได้ไม่ลำบาก ที่จริงแกก็มีลูกค้าอยู่พอสมควรทีเดียว แต่ก็ยังไม่สมดังใจปรารถนาของแก แกจึงเลือกโค้งสุดท้ายในเส้นทางชีวิตราชการมาอยู่ในที่ทำงานเดียวกับผมด้วยเหตุผลที่ว่างานตรงที่ผมทำกันอยู่นั้นมักจะออกไปราชการต่างจังหวัดกันบ่อยๆ เป็นโอกาสที่จะสั่งสมประสบการณ์และวัตถุดิบทางสมองให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะเกษียณในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

แต่ว่าแกมาอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็เจอพายุลูกแรกเล่นงานก่อน เป็นหัวพายุเสียด้วยคือหัวหน้าฯ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นที่อ่อนประสบการณ์ก็คงต้องศิโรราบยอมทำตามแต่โดยดี แต่แกประดุจเรือสำเภาที่ฝ่าคลื่นลม มรสุมน้อยใหญ่มานักต่อนัก ลำพังแค่พายุเล็กๆแค่นี้ ถึงจะเป็นหัวพายุก็ตามหรือจะล้มสำเภากล้าแกร่งของแกได้ แกจึงโก่งคอเป็นเอ็น ยืนหยัดในความคิดและอุดมการณ์อย่างไม่ลดละ

ผมเคยปรารภเรื่องที่ทำงานให้แกฟังว่าที่นี่แทบจะเรียกว่าได้ตายจากการพัฒนาไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย 20ปีที่แล้วทำงานกันอย่างไร วันนี้ก็ยังทำงานกันอย่างนั้น ทุกคนเคยชินกับการทำงานแบบเดิม ไม่คิดและไม่ยอมรับงานใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น หากอะไรใหม่ที่จะเข้ามาบั่นทอนชีวิตปกติของตนเอง มีอันต้องสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันตัวเองกันเต็มที่ อะไรจะมาข้องแวะวิถีชีวิตปกติและงานที่ตัวเองทำอยู่เป็นไม่ได้ ดังนั้นใครคิดอะไรใหม่คนนั้นก็ต้องทำตั้งแต่ต้นจนจบ ที่สาหัสเกินเยียวยารักษาคือการมีผู้นำที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งมันจบตั้งแต่หนังตัวอย่างยังไม่ฉาย ด้วยมุมมอง การคิด ก็หมดสิทธิที่จะพัฒนาแล้ว ผมเองก็ท้อและไม่รู้ว่าจะไปขับเคลื่อนเฟืองตัวไหน มันติดขัด ฝืดเคือง สนิมขึ้นเกรอะกรังไปหมด จนบางครั้งอยากจะไปเสียจากที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด ไม่อยากจมปลักไปกับเรือเก่าคร่ำครึ โบราณ รอวันอับปางลำนี้

“ผมว่าที่นี่มีปัญหาจริงๆ ผมเคยคิดว่าที่อื่นหนักแล้วมาเจอที่นี่ปัญหาหนักกว่ามาก ผมเสียดายนะถ้าคุณต้องไป คุณยังทำงานได้” อาจารย์บอกผมหลังจากผมระบายให้แกฟัง

ที่ไหนหรืออาจารย์? ผมถาม

อาจารย์ตัดบท “ช่างเถอะ..ในกรมเรานี่แหล่ะ คือเขายังมีการคุยกันบ้างเวลามีงานว่าใครจะต้องทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แต่ที่เราอยู่นี่ไม่มีการคุยกันเลยต่างคนต่างทำ”

“อือม์” ผมครางในลำคอเบาๆ พยักหน้ายอมรับแบบอกตรม รู้อยู่แก่ใจว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน

“ผมว่าคนที่นี่เยอะนะ เยอะพอที่จะทำอะไรได้เห็นหน้าเห็นหลังทีเดียว แต่เสียดายกลับปล่อยให้พวกเขานั่งหายใจทิ้งไปวันวัน” อาจารย์ย้ำให้ผมสะท้อนใจมากขึ้น

“ผมว่าการเอาคนที่ยังทำงานได้ให้มานั่งเฉยๆ เป็นการฆ่าเขาอย่างเลือดเย็น” อาจารย์พูดทิ้งท้ายอย่างสลด

“ใช่” ผมตอบตัวเองในใจพร้อมกับคิดตาม ใช่เลยเป็นการทารุณความคิดริเริ่มให้ค่อยๆ เหี่ยวเฉาไปทุกวัน สมองที่เคยปราดเปรื่อง คิดสิ่งใหม่ๆให้หน่วยงานเสมอ แต่กลับถูกจับให้มานั่งจ่อมอยู่กับโต๊ะทำงาน เวลาผ่านไปๆ เนิ่นนานวัน สมองที่เคยคิดก็เริ่มคิดน้อยลง และเลิกคิดไปในที่สุด

ก่อนจะเกิดเรื่องของอาจารย์ผมเองก็คิดมาตลอดว่าการทำงานแบบพวกเราไม่เห็นจะต้องมานั่งทำงานอยู่กับโต๊ะตลอดเวลาเลย ตรงกันข้ามกับจะต้องออกไปพบปะผู้คนค้นหาแหล่งข้อมูลเพื่อมาใช้ในการเขียนออกมาเป็นงานเขียน ไม่ว่าจะเป็นบทความ สารคดี หรือเรื่องสั้นสักเรื่องหนึ่งขึ้นมานั้น ต้องการข้อมูลมากเอาการทีเดียว ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยหากนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานแล้วไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นในเซลล์สมองที่เป็นดุจคลังปัญญา สมองเปรียบดังโรงงานหรือโรงครัวแปรรูปวัตถุดิบคือข้อมูลที่สรรหามาแล้วปรุงแต่งเป็นอาหารจานเด็ดคือชิ้นงานที่ออกสู่โสตประสาทการรับรู้ของสังคม

หากผู้นำมีวิสัยทัศน์ มองงานที่พวกผมและอาจารย์ทำออกว่าคืออะไร ต้องการปัจจัยอะไรบ้าง และการโต้แย้งกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องมากอาวุโสที่ทุกคนเรียกอาจารย์ก่อนการประชุมวันนี้คงไม่เกิดขึ้น

การประชุมย่อยวันนั้นของกลุ่มจบลงแบบไม่สมประสงค์เท่าไร ทุกคนยังพกความกังขาในใจกลับไปครุ่นคิดกันต่อไปว่าเสร็จการประชุมครั้งนี้แล้ว จะกลับไปรังสรรค์พัฒนาตัวเอง มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มกำลังสติปัญญา ตกผลึกความคิดเป็นผลงานตามอุดมการณ์ เพื่อฝากสิ่งดีๆไว้ให้กับสังคมนี้ หรือจะกลับไป นั่งหายใจทิ้ง

เก้าแก้ว




Create Date : 13 พฤษภาคม 2554
Last Update : 9 มกราคม 2556 9:41:07 น. 1 comments
Counter : 940 Pageviews.

 


โดย: story_dnp วันที่: 13 พฤษภาคม 2554 เวลา:2:55:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

story_dnp
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




http://i11.photobucket.com/albums/a171/merrymod/flower01.gif
New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
13 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add story_dnp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.