ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
โดยน.อ. สนิท เฟื่องระบิล B.Sc., A.M.I.E.E.คัดลอกจากหนังสือ พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์โดย พร รัตนสุวรรณความมหัศจรรย์ประการที่ 1คำขวัญในสมัยก่อนมีว่า ผู้ใดได้ครองทะเล แล้วต่อไปจะได้ครองบกด้วย ชาติที่มีเมืองขึ้นมากในยุคนั้นจึงต้องเป็นมหาอำนาจทางทะเล แต่ในสมัยนี้ คำขวัญได้เปลี่ยนไปแล้วว่า ผู้ใดได้ครองอวกาศแล้ว ต่อไปจะได้ครองโลกด้วย ฉะนั้น ในปัจจุบันนี้ มหาอำนาจทั้งสองฝ่ายจึงได้ทุ่มเทเงินทองอย่างไม่เสียดายในการพิชิตอวกาศ เพื่อบรรลุผลสุดท้ายอย่างเดียวกันคือ การครองโลก ซึ่งเป็นการหาเมืองขึ้นแบบใหม่ที่ลึกซึ้งแนบเนียนกว่าการล่าเมืองขึ้นในสมัยก่อนมาก ชาติใดที่ไปถึงดวงจันทร์ก่อนและกลับมาสู่โลกมนุษย์นี้ได้โดยสวัสดิภาพ ชาตินั้นอาจจะได้ครองโลกในการพิชิตอวกาศ มนุษย์จะต้องออกเดินทางไปสู่ดาวนพเคราะห์และดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารของโลกดวงแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดที่มนุษย์คิดจะเดินทางเป็นการทดลอง ถ้าการเดินทางไปและกลับกระทำได้สำเร็จโดยไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะคิดเดินทางไปสู่ดาวนพเคราะห์และดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ เพื่อศึกษาและวิจัยชีวิตนอกโลกและความลึกลับต่าง ๆ ของจักรวาลต่อไปดาวแต่ละดวงอยู่ห่างกันหลายสิบ ถึงหลายร้อยปีแสง ซึ่งหมายความว่าเดินทางไปด้วยความเร็วของแสง (3แสนกิโลเมตรต่อวินาที) ยังใช้เวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปีกว่าจะถึง การเดินทางในระหว่างดวงดาว (INTERPLANETARY VOYAGE) ถ้าใช้ความเร็วต่ำ ๆ เพียง 10 ถึง 15 เท่าของวามเร็วเสียง จะต้องใช้เวลาหลายพันหรือหลายหมื่นปีกว่าจะถึง มนุษย์อวกาศก็จะแก่ตายกลางทางเสียก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง ฉะนั้น การเดินทางในระหว่างดวงดาวนั้น จะต้องใช้ความเร็วสูงมาก คือใกล้กับความเร็วของแสงจึงจะสามารถไปถึงจุกหมายปลายทางได้ในขณะที่นักบินอวกาศยังมีชีวิตอยู่ในการเดินทางด้วยความเร็วสูงเช่นการเดินทางออกไปนอกโลกนั้น ผู้ที่เดินทางออกไปจะประสบกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติหลายประการด้วยกัน ประการแรกก็คือ เวลา ของการเดินทาง ซึ่งจะเป็นไปตามสมการ t= ........................................................(1 )ในเมื่อ T = เวลาในโลกมนุษย์ t = เวลาในการเดินทางจริง v = ความเร็วในการเดินทาง c = ความเร็วแสงสมการนี้ค้นพบและบัญญัติขึ้นโดย Paul Langevin นักฟิสิคส์ชาวฝรั่งเศส และศาสตราจารย์แห่ง Collège de France สูตรนี้ได้รับการรับรองจาก Einstein แล้วว่าเป็นความจริง ถ้าท่านผู้อ่านจะทดลองสมมติตัวเลขลงในสมการดังกล่าว ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าความเร็วในการเดินทางต่ำ ความแตกต่างของเวลาจะมีน้อยมาก แต่ถ้าความเร็วในการเดินทางสูงขึ้น จนเกือบเท่าความเร็วของแสงแล้ว ความแตกต่างของเวลาจะปรากฎออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนเช่น เราลองสมมติว่า ประเทศไทยส่งยานอวกาศเดินทางไปสู่ดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ใช้เวลาเดินทางเที่ยวไป 1 ปี เที่ยวกลับอีก 1 ปี รวมเวลาในการเดินทางจริงเพียง 2 ปี ด้วยความเร็ว 299,900 กิโลเมตรต่อวินาที อยากทราบว่าเวลาในโลกมนุษย์จะผ่านไปนานเท่าใดเราให้ t = เวลาในการเดินทางจริง = 2 ปี v = ความเร็วในการเดินทาง = 299,900 กิโลเมตรต่อวินาที c = ความเร็วแสง = 300,000 กิโลเมตรต่อวินาทีจากสมการที่ (1 ) t = (1) T = = เวลาในโลกมนุษย์ = 200 ปีนักบินเดินทางที่ออกไปท่องอวกาศอยู่ 2 ปี เมื่อกลับมาถึงโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับครอบครัวและคนรุ่นเดียวกับเขาเองเลย เพราะเวลาในโลกมนุษย์ได้ผ่านไปแล้วถึง 200 ปี เขาจะพบกับคนรุ่นใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จักเลยทั้งสิ้นถ้ายานอวกาศเดินทางไปด้วยความเร็วของแสงคือ v = c ลองแทนค่านี้ลงในสมการที่ ( 1 ) ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าออกไปนอกโลกเพียง 2 ปีเท่านั้น เวลาในโลกมนุษย์จะเป็น Infinity คือนานไม่มีที่สิ้นสุด อาจเป็นหลายร้อยหรือหลายพันล้านล้านปีก็ได้ ภายในระยะเวลาอันยาวนานนี้ อาจเกิดสงครามนิวเคลียร์ในโลกมนุษย์ขึ้นได้หลายครั้ง จนอารยธรรมสมัยใหม่หมดไป มีแต่อารยธรรมดั้งเดิมเท่านั้นที่คงเหลืออยู่ มนุษย์อวกาศซึ่งแก่ตัวไปเพียง 2 ปีเท่านั้น อาจจะพบมนุษย์ที่นุ่งแต่ใบไม้ หรือ หนังสัตว์ ถือขวานหินเป็นอาวุธก็ได้ เมื่อกลับมาถึงโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งฉะนั้น ตามที่ในพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า ผู้ที่ได้สมาธิชั้นสูง ได้แก่ผู้ที่เจริญสมถกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานจนได้รูปฌานและอรูปฌาน เมื่อจุติแล้วจะไปปฏิสนธิเป็นรูปพรหมและอรูปพรหม มีอายุยืนนานนับแสนกัลป์ (หนึ่งกัลป์เท่ากับอายุของโลก) ซึ่งคนส่วนมากไม่ใคร่จะเชื่อ ก็ดูท่าทีว่าจะเป็นไปได้แล้วถ้าพิจารณาจากสมการที่ (1 ) ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถ้าพรหมโลกมีจริง บรรดาพรหมทั้งหลาย คงจะรู้สึกตัวว่าเวลาของเขาผ่านไป 30 - 40 ปีเท่านั้น ก็ต้องจุติเพื่อไปปฏิสนธิใหม่ แต่เวลาในโลกมนุษย์ได้ผ่านไปแล้วนับเป็นพัน ๆ ล้านปีผู้ที่จะมีความรู้สึกเช่นนี้ได้ ผู้นั้นจะต้องมีความเร็วสูงมาก คือใกล้เคียงกับความเร็วของแสง แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า บรรดาพรหมทั้งหลาย (ถ้ามีจริง) จะต้องเคลื่อนไหวไปมาด้วยความเร็วของแสงอยู่เสมอ เขาอาจจะอยู่เฉย ๆ ก็ได้ เหมือนกับที่พวกเราส่วนมากไม่ได้สังเกตและไม่ใคร่ทราบว่า แม้เรานั่งเขียนหนังสืออยู่กับโต๊ะ หรือนั่งคุยกันอยู่ก็ตาม เราก็ยังมีความเร็วสูงถึง 30 กิโลเมตรต่อวินาที เคลื่อนตัวไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์พร้อมกับโลกลูกปืนที่ถูกยิงออกไปจากปืนที่ทันสมัยที่สุดจะมีความเร็วสูงสุดไม่เกิน 1 กิโลเมตรต่อวินาที มนุษย์มีความเร็วสูงกว่าลูกปืนถึง 30 เท่า ความจริงข้อนี้เกือบไม่มีใครสังเกตหรือรู้สึกตัวกันเท่าใดนักลองมาสมมติกันอีกครั้งว่า ถ้ามนุษย์อวกาศเดินทางออกจากโลกมนุษย์ไปด้วยความเร็วที่สูงกว่าความเร็วของแสง เขาเดินทางไปสู่ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งโดยใช้เวลาในการเดินทางทั้งไปและกลับเพียง 2 ปีเท่านั้น เวลาในโลกมนุษย์จะผ่านไปนานเท่าใดเครื่องหมายลบที่ติดมาด้วยนั้น แสดงว่าเขาจะกลับมาถึงโลกมนุษย์นี้ 447 ปี ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง ถ้าสมมติว่านักบินอวกาศออกเดินทางจากประเทศไทยไปนอกโลกในปี พ.ศ. 2511 เขาใช้เวลาเดินทางอยู่ในอวกาศ 2 ปี เขาจะกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งในปี 2604 ซึ่งตรงกับกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยของพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นพระมหากษัตริย์ คราวนี้แหละที่นักบินอวกาศจะได้แลเห็นพระรามาธิบดีที่ 2 ตัวจริงว่า พระองค์ท่านมีรูปร่างลักษณะอย่างใด และถ้าทฤษฎีการเวียนว่ายตายเกิดในพระพุทธศาสนา (Buddhist Theory of Reincarnation) เป็นความจริง นักบินอวกาศก็จะแลเห็นด้วยตาของเขาเองว่า เมื่อ 447 ปีก่อนนั้น เขาเกิดเป็นอะไร อยู่ในตระกูลใด มีวรรณะเป็นอย่างใด มีรูปหยาบหรือประณีต ได้ประกอบกรรมอันใดไว้ จึงได้ส่งผลให้มาเสวยวิบากของมันในชาตินี้อย่างนี้เครื่องหมาย ที่ติดมาด้วยนี้ ในภาษาคณิตศาสตร์เรียกว่า J operator มีบทบาทที่สำคัญในวัตถุและมวลสารต่าง ๆ ที่สั่นสะเทือน ( vibrate ) หรือ ส่าย ( oscillate ) ไปมาอยู่ในวัตตะของมัน ที่เรียกกันว่าการเคลื่อนตัวแบบ harmonic motion ค่าต่าง ๆ ของไฟฟ้าสลับที่ได้มาจากการคำนวณจะมี J operator ติดมาด้วยเสมอJ นี้ เมื่อติดตามไปอยู่กับค่าใด แสดงว่าค่านั้นมีคุณสมบัติเป็นนามธรรมจากหลักฐานคือสูตรของ Langevin นี่เองที่ทำให้เราทราบได้ว่า1. ผู้ที่จะสามารถแลเห็นอดีตอันแสนไกลของตนเองและผู้อื่นได้นั้น จะต้องมีความเร็วสูงกว่าความเร็วของแสง จึงจะสามารถไล่ตามทันแสงที่ผ่านไปแล้วหลายร้อยหรือหลายพันปีได้ (แสงเป็นปัจจัยในการเห็น) 2. การแลเห็นเหตุการณ์ในอดีตอันแสนไกลนั้น จะกระทำได้เฉพาะในทางนามธรรมเท่านั้น ในทางรูปธรรม เช่น ตาเนื้อ ( Physical eye ) ไม่สามารถจะแลเห็นได้ จะแลเห็นได้เฉพาะทิพยจักษุ ( Spiritual eye ) เท่านั้น เช่น พระอรหันต์ หรือพระอริยบุคคลทั้งหลายที่ท่านได้บรรลุถึง บุพเพนิวาสานุสติญาณ (ญาณที่สามารถทำให้ระลึกชาติได้) และ เจโตปริยญาณ ( ญาณที่ทำให้เกิดทิพยจักษุ) เท่านั้น ปุถุชนธรรมดาผู้ยังไม่บรรลุถึงขั้น ดวงตาเห็นธรรม จะไม่สามารถแลเห็นเหตุการณ์ในอดีตได้ รวมทั้งอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ในทางรูปธรรม เช่น กล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายภาพยนตร์ และ Time machine ที่ฝรั่งกำลังคิดทำอยู่ ก็เชื่อว่าไม่สามารถจะบันทึกเหตุการณ์ในอดีตได้3. การเดินทางด้วยความเร็วที่สูงกว่าความเร็วของแสง จะปฏิบัติได้เฉพาะในทางนามธรรมเท่านั้น ไม่สามารถปฏิบัติได้ในทางรูปธรรม สมจริงดังที่วิทยาศาสตร์ได้กล่าวไว้แล้วว่า ความเร็วของแสงเป็นความเร็วสูงสุดที่มนุษย์จะกระทำได้ ขณะนี้มนุษย์ก็กระทำได้เกือบสำเร็จอยู่แล้วในเครื่อง cyclotron ซึ่งใช้ในการเหวี่ยงมวลด้วยความเร็วที่สูงกว่า 99% ของความเร็วแสง