Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
The White Ribbon : Michael Haneke ความชั่วร้ายภายในบ้าน




ผมได้รับการกระตุ้นให้อยากชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยดีกรีของผู้กำักับและเครดิตของหนังแล้ว ทำให้ผมไม่สามารถอดกลั้นใจไว้รอดูในโรงได้ (ซึ่งคุณ filmsick หนึ่งในผู้กระตุ้นเร้าผมบอกว่า คงยากที่จะมีค่ายไหนซื้อมาฉาย เพราะหนังของผู้กำกับท่านนี้ราคาค่อนข้างสูง) เลยต้องหาโหลดเอาจากเวบต่าง ๆ ซึ่งผลลัพธ์ของการรอคอยในการดาว์นโหลดอันแสนนานก็แสนคุ้มค่า

The White Ribbon หรือในชื่อเยอรมันว่า Das weiße Band เป็นภาพยนตร์ขาวดำเรื่องล่าสุดของ ไมเคิล ฮาเนเก ผู้กำกับชาวออสเตรียผู้มีชื่อเสียงในการทำหนังแบบ 'จิต ๆ' ดูแล้วประสาทราวกับตกอยู่ฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด ผลงานลือชื่อของฮาเนเกในประเทศไทยทีพอได้ผ่านตาผู้ชมบ้างก็คือ Funny Games (เวอร์ชั่นใหม่โดนแบนห้ามฉายด้วยข้อหาตัวละครอกตัญญูและมีความรุนแรงมากเกินไป) และ Hidden ซึ่งเป็นเรื่องเดียวเท่านั้นที่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์

ฮาเนเกใช้ยุคสมัยปี 1914 ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคร่งนิกายโปรเตสแตนท์เป็นท้องเรื่อง เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อหมอคนหนึ่งกำลังควบม้ากลับบ้าน ทว่าม้ากลับสะดุดเข้ากับเอ็นที่ขึงไว้ ส่งผลให้คุณหมอตกม้าและแขนขวาหัก ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์ในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้จะนำมาซึ่งความฉิบหายในอนาคต

หนังตัดสลับเล่าเรื่องเหตุการณ์ของแต่ละครอบครัวในหมู่บ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแต่ละหลังต่างมีปัญหาในบ้านของตัวเองทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นใหญ่โตเป็นคฤหาสน์ของท่านบารอน ศาสนาจารย์ผู้รักศีลธรรมหรือชาวน้าผู้ไม่มีอันจะกินก็ตาม แต่หนึ่งในจุดร่วมสำคัญของแต่ละบ้านนั้น พ่อ ผู้ใหญ่สุดในบ้านต่างมีอำนาจเต็มที่จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ

การเล่าเรื่องในช่วงแรกและยาวไปจนถึงตลอดทั้งเรื่องเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้พบนักในหนังของฮาเนเก คือดูเหมือนว่าฮาเนเกกำลังยืมปากของครูประจำหมู่บ้านเป็นคนเล่าเรื่อง ทว่าเหตุการณ์กลับตัดสลับไปยังครอบครัวต่าง ๆ ไปมาคล้ายกับในหนังของโรเบิร์ต อัลท์แมน ที่ถนัดการเล่าเรื่องกระจายไปยังตัวละครต่าง ๆ อย่างใน M.A.S.H. หรือ Gosford Park ฯลฯ (จนหลายครั้งก็ไ่ม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นพระเอกอย่างที่คนไทยชินกัน) ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนดูที่หวังว่าจะได้เป็นตัวละครอย่าง แอนนา หรือ เกออร์ก เดินนำเรื่องอีกครั้ง

ฮาเนเกเป็นผู้กำกับที่สนใจในความรุนแรงทั้งที่ปรากฎในชีวิตประจำวันขยับสู่ความรุนแรงในสื่อ จนถึงความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกในชีวิตประจำวัน อย่าง Funny Games นั้น ก็ถ่ายทอดความรุนแรงในระดับบุคคลให้เห็นว่า คนเรานั้นสามารถทำลายคนอื่นให้ย่อยยับได้เพียงเพราะนั่นคือเกมเท่านั้น ส่วน Hidden ขยับมาให้เห็นความรุนแรงผ่านสื่อทว่าก็ยังคงขับเน้นให้เห็นเช่นเดียวกันว่า ในเบื้องลึกของเรานั้นเราสามารถทำร้ายคนอื่นได้มากเพียงใด

เหตุการณ์ในเรื่องเิริ่มทวีความเครียดมากขึ้นหลังจากเลิกงานเลี้ยงสังสรรค์ที่จัดขึ้นโดยบารอน ในคืนนั้น ซิกี ลูกชายผมทองยาวสลวยคนเดียวของบารอนก็หายตัวไป บารอนเลยเกณฑ์คนค้นหาแล้วพบว่าลูกชายของตนนั้นถูกทำร้ายปากตาย

ระหว่างนั้นหนังก็พาเราไปชมความขัดแย้งที่เกิดในแต่ละครอบครัว ทั้งครอบครัวของชาวนา ผู้ที่ลูกชายคนโตไม่ชอบขี้หน้าบารอนอย่างแรง เลยจัดการทำลายแปลงผักเสียเหี้ยน จึงโดนพ่อตบหน้าสั่งสอน ครอบครัวของคุณหมอที่มีสัมพันธ์สวาทกับนางผดุงครรภ์ แต่ลูกชายคนเล็กของหมอดันไ่ม่ชอบหน้าเธอ หรือครอบครัวคนเฝ้าอาคารของบารอนที่พึ่งได้ลูกชายคนเล็กล่าสุด ก็ดูเหมือนลูกชายคนแก่กว่าเจ้าตัวเล็กจะดูไม่พอใจ (ถึงขึ้นแสดงกริยาออกหน้าออกตาแล้วโดนแม่ตบ) แต่ที่หนักสุดคือครอบครัวของศาสนาจารย์ที่บังคับให้ลูกคนโตทั้งชายหญิง ผูกริบบิ้นสีขาวเพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ จนกว่าจะถึงวันรับศีล เธอและเขาจะต้องอยู่ในศีลและธรรม ห้ามทำบาปอะไรแม้แต่น้อย

การถูกทำร้ายของซิกีส่งผลให้บารอนหมายหัวบ้านของชาวบ้านผู้ยากจนผู้ที่มีลูกชายประกาศตนเป็นปรปักษ์ เขากล่าวประณามตัวชาวบ้านอย่างแรงในโบสถ์ และจากนั้นไม่นานเหตุการณ์ร้ายแรงก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ

ฮาเนเกพาเราไปสู่ความอึมครึมภายในบ้านที่แต่ละหลังมีพ่อเป็นใหญ่ สิ่งใดที่เอ่ยออกมาจากปากพ่อล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งถูกต้อง เป็นคำสั่งที่ต้องทำตาม และหากปฎิเสธที่จะกระทำแล้วรอรับผลลัพธ์อันสาสมได้เลย

ในช่วงท้ายของเรื่องเกิดเหตุการณ์ทำร้ายเด็กอีกคนหนึ่งชื่อว่า คาลี ซึ่งโดนทำร้ายจนมีแนวโน้มว่าอาจจะต้องสูญเสียการมองเห็นไปตลอดชีวิต ตัวครูผู้เล่าเรื่องได้เล่าว่า เขาได้กลายเป็นพยานในเหตุการณ์ประหลาด โดยเริ่มต้นจากนางผดุงครรภ์บอกว่ารู้แล้วว่าใครทำร้าย คาลี ลูกชายของเธอ พร้อมของยืมจักรยานเพื่อไปแจ้งตำรวจในเมือง โดยก่อนหน้านั้นมีเด็กสาวคนหนึ่งบอกกับครูว่าเธอฝันไปว่าคาลีโดนทำร้าย เมื่อครูเดินไปหาหมอที่อยู่บ้านติดกัน ก็พบว่าหมอและลูก ๆ ของเขาหายตัวไปอย่างไร้วี่แวว

ครูเริ่มสงสัยในพฤติกรรมของลูกชายหญิงของศาสนาจารย์ แต่ทว่าก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่อ้างได้ว่าเด็กทั้งคู่เป็นคนทำ พร้อม ๆ กับการเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารเจ้าชายฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจึงอุบัติขึ้นพร้อมกับการลืมเืลือนเหตุการณ์ของคนในหมู่บ้าน

หนังของฮาเนเกยังคงอึมครึมหาคำตอบในเหตุการณ์่ต่าง ๆ ไม่ได้ เหมือนใน Hidden ที่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่เป็นคนส่งวิดีโอมา ใช่ชายที่ฆ่าตัวตายหรือไม่ เพราะเขาก็ยืนยันจนวินาที่สุดท้ายว่าเขาไม่ได้ทำ ใน The white Ribbon ก็เช่นกัน ปริศนาว่าใครเป็นคนทำร้ายเด็กทั้งสองก็ไม่มีการเปิดเผยปริศนาออกมา เพราะฮาเนเกคิดว่านั่นมิใช่ประเด็นสำคัญที่เขาต้องการนำเสนอ เหมือนกับที่อัลท์แมนนำเสนอใน Gosford Park ประมาณกัน

สาระสำคัญของ The White Ribbon ก็คือ ความรุนแรงในครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปและมีฝังลึกอยู่ในรากความคิดของสังคม โดยเฉพาะความรุนแรงที่ผลิตออกมาจากผู้เป็นพ่อ เป็นหัวหน้าของครอบครัว ซึ่งในหนังแสดงให้เห็นทั้งระดับกายกรรมคือ ตบหน้า เตะ ซ้อมอย่างหนักเมื่อทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ระดับวจีกรรมอย่างการด่า ที่น่ากลัวที่สุดคือระดับมโนกรรม ตั้งแต่ พ่อข่มขืนลูกสาว การปลูกฝังความคิดทางศาสนาแบบรุนแรงเข้าไปในหัวของลูก (มีอยู่ฉากหนึ่งตัวละครเด็กตัดสินชีวิตตัวเองด้วยการเดินบนราวสะพานเพื่อทดสอบว่าพระเจ้ารักตนหรือไม่ ถ้าไม่รักก็ตกลงไปตายเท่านั้น)

การปกครองครอบครัวด้วยความรุนแรงเป็นการค่อย ๆ ปลูกฝังความรุนแรงเข้าไปในตัวเด็กทีละน้อยอย่างน้ำซึมบ่อทราย ยิ่งตอนเด็กเขาโดนกระทำมากเท่าไรเขายิ่งมีโอกาสกระทำต่อคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขาคิดว่านี่ไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด ซึ่งฮาเนเกสะท้อนออกมาเป็นบทสรุปก่อนช่วงสุดท้ายเมื่อเด็กสามคนร่วมถึงซิกีไปนอนเล่นริมสระน้ำ ซิกีเป็นลูกคนรวยจึงมีขลุ่ยเสียงดี ในขณะที่อีกสองคนต้องหากิ่งไม้มาทำเอง เมื่อซิกีเป่าขลุ่ยเล่นอย่างสบายใจอยู่นั้นก็พลันก่อความรำคาญให้แก่หนึ่งในสอง เลยจับซิกีโยนน้ำลงไปเสียดื้อ ๆ เพื่อเอาขลุ่ยมาเป็นของตน

บรรยากาศและเทคนิคด้านภาพทำให้เรารู้สึกหวั่น ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยดูหนังของฮาเนเกมาก่อนมักจะรู้ว่าในหนังของเขามักมีฉากที่คาดไม่ถึงเสมอ ทุกครั้งที่เป็นการถ่ายลองเทคบ้านประตูที่ปิดอยู่ที่เพียงเสียงเ่ท่านั้นที่เล็ดลอดออกมาก็สร้างความระทึกใจให้กับคนดูได้ไม่น้อยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ฮาเนเกกล่าวถึงการใช้ภาพสีขาวดำในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า เวลาเขาดูสารคดีหรือภาพถ่ายที่เป็นเรื่องราวในอดีตนั้น เขาสามารถจินตนาการภาพี่ออกมาประกอบด้วยสีเพียงขาวดำเท่านั้น เพื่อให้เหมือนฟุตเตจหนังในอดีตเขาเลยจัดการถ่ายทำมันให้เป็นขาวดำเสียเลย

บทสรุปของ The White Ribbon สำหรับคนที่ได้ดู เห็นอาจารย์ปิยบุตรผู้ีมีโอกาสได้ชมที่ฝรั่งเศสบอกว่า แบ่งเป็นสองกลุ่มชัดเจน คือ ชอบและไม่ชอบ โดยชอบนั้นมีประปราย ส่วนที่ไม่ชอบก็เยอะซึ่งเป็นปกติสำหรับงานของฮาเนเกที่คนมักรู้สึกต่างกันไปอย่างชัดเจน

หากถามว่าควรดูไหม ผมมั่นใจว่าหนังเรื่องนี้ควรดูมาก ๆ โดยอย่างยิ่งหากจะเอาไปฉายให้นักศึกษาี่ที่เรียนทางด้านสังคมศาสตร์ดูเพื่อให้เห็นระดับความรุนแรงเชิงโครงสร้างในสถาบันเล็กสุด อย่างครอบครัว และหากคุณเลือกที่จะดูแล้ว ขอให้คุณได้ลิ้มรสอันหอมหวานของฝันร้ายอันโอชะนี้ให้เต็มอิ่มเถิด

ป.ล. เอาคลิปตอนหนึ่งของหนังมาให้ดู เป็นการสนทนาระหว่างลูกชายกับลูกสาวของหมอ ดูเอาละกันว่าเด็กสองคนนี้กำลังพูดคุยกันเรื่องอะไร และดูฮาเนเกให้สัมภาษณ์ด้วยพร้อมกันเลยนะครับ









Create Date : 25 ตุลาคม 2552
Last Update : 25 ตุลาคม 2552 9:48:05 น. 15 comments
Counter : 2835 Pageviews.

 
ชอบที่ตัดเอาให้ดูอ่ะค่ะ

คือยังก็ต้องตาย เป็นสัจธรรม


โดย: PoiNt Ka IP: 124.121.31.209 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:14:13:11 น.  

 
พึ่งไปดู "เฉือน" มา เป็นหนังไทยที่ยอดเยี่ยมเลยทั้งพล็อต แอคติ้งและโปรดัคชั่นดีไซน์ เราอาจจะิิอินมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย เพราะเราพึ่งดู The White Ribbon จบไป ซึ่งมีธีมใกล้เคียงกัน

โดยธีมของเฉือนก็คือ สิ่งที่ถูกกระทำในวัยเด็กมันล้วนส่งผลมาถึงเมื่อ เป็นผู้ใหญ่ ยิ่งเป็นเหตุการณ์ร้าย ๆ ด้วยแล้ว แม้เหตุการณ์ในเฉือนจะไม่สามานย์เท่าใน The white Ribbon แต่ก็ยังถือว่าเป็นความชั่วร้ายที่เราอาจพบได้ในทุกครอบครัวเช่นกัน


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:16:30:39 น.  

 

จะเข้ามาเจิมตั้งแต่เช้าแล้ว
แต่ com มันเมา(แฮ้งค์)ค่ะ

เราว่าไม่เฉพาะนักศึกษาสายสังคมหรอกที่ต้องดู The White Ribbon.

ให้ดูกันทุกสาขาวิชาเลย
โตขึ้นจะได้เข้าใจและเป็นคนดีของสังคม

"เฉือน"คงให้พ้นระยะเดินทางไกลก่อนนะคะ
เดี๋ยวนอนไม่หลับเวลาออก tour ตจว.ค่ะ อจ.
ไปดูfootball ต่อแล้ว..


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:21:41:34 น.  

 
หลังงานหนังสือแล้ว ได้พักซะที
ว่าจะไปดู เฉือน และ รถไฟฟ้ามานะเธอล่ะ

แต่จะไปดู เฉือน ก่อน


โดย: grappa วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:8:35:35 น.  

 
ยังไม่เคยดูหนังของผู้กำกับคนนี้เลยแฮะ

แต่ท่าทางน่าดูง่ะ แต่จะหาดูได้หรือเปล่าหว่า (คิดถึงร้านเฟมจริงๆ)



หนังสือโลกจิต สนุกค่ะ อย่างที่น้องดองบอกแหละ ไม่ค่อยมีใครเขียนกัน แต่คนเขียนเขาเขียนได้อ่านง่าย สนุก ชอบๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:13:03:58 น.  

 
คิดว่าร้านเฟมน่าจะมีค่ะ

แต่ปัญหาคือ ตอนนี้เฟมกับที่อยู่เรามันไกลกันมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก (ถ้าอยู่ใกล้คงไม่กังวล ทุกสิ่งมีที่เฟมค่ะ 555+)


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:14:34:26 น.  

 
แปลกดีแฮะ ความบ้าคลั่ง คนคนที่ยึดติดกับสิ่งที่เป็นปรัชญาม๊ากก และยัดเยียด ให้ใครใครเสียสติ ประมาณว่าจาฆ่าทั้งเป็น

หรือประมาณว่า จิตจิตยัดเยียดให้ฆ่าตัวตาย

ดั้นลืมไปว่า ยัดเหยียดความกลัว มันยิ่งแกร่ง ยิ่งไม่กลัวอะไรเลย มันกลายเป็นภูมิต้านทานไปเลยอะ


โดย: Bernadette วันที่: 27 ตุลาคม 2552 เวลา:11:57:13 น.  

 
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า สุนัขหมู่ มาจิตจิต ขำก๊ากก หน้าตาเหรอหรา เค้าสั่งให้Kuทำ ถึงเวลาตายห่า แพะชัีดชัด

นั่งดู สุนัขหมู่ จิตจิต เล่นตล๊กกให้ดู ขำก๊ากกเลยวะ


โดย: Bernadette วันที่: 27 ตุลาคม 2552 เวลา:12:10:38 น.  

 
คนแก่งั๊ก มานนว้าเหว่ เหงา

ว่างม๊ากก บ้านพักคนชรา กะสุขสะบายล้นเหลือ

เลยมาหาเรื่อง ตามสะบาย ความสุขของคนแก่งั๊ก


โดย: Bernadette วันที่: 27 ตุลาคม 2552 เวลา:12:28:35 น.  

 
ค่อนข้างงุนงงกับรายละเอียดที่พยายามเล่า เข้าใจว่าอยากยกตัวอย่างจะได้เข้าใจความรู้สึกของหนัง แต่เชื่อว่าคงต้องดูเองจึงจะเข้าใจ

งานของฮาเนเก้เท่าที่ดูมา มีลักษณะคล้ายๆ กับรสนิยมทาง S&M (Sadomasochism) เขาคงเป็นคนที่นิยมอะไรทำนองนี้ในเบื้องลึก 555 งานเลยสะท้อนออกมาให้เห็นการกระทำย่ำยีต่อมนุษย์ด้วยกัน (โดยหาเหตุผลทางจิตวิทยาอะไรสักอย่างมารองรับ)

แล้วสังเกตเห็นได้ว่าตัวละครจะมีสองฟาก ฟากที่หนุกหนานกับความรุนแรง กับฟากที่ยอมรับชะตากรรมในที่สุด ซึ่งเหล่าสาวก S&M หรือคนที่เคยอ่านวรรณกรรม หรือการ์ตูนญี่ปุ่นของ Tageme จะเข้าใจดีถึงคอนเซปต์ ความสิ้นหวังของตัวละครที่ท้ายสุด จากคนดีๆ ต้องกลายมาเป็นเหยื่อและยอมรับชะตากรรม

ซึ่งก็คงเป็นเจตนารมณ์ของตาผู้กำกับนั่นแหละ ที่ทำให้คนดูต้องหดหู่สิ้นหวังหมดเรี่ยวหมดแรงจะคลานออกจากโรง 555 นับว่าได้สนองตัณหาของผู้นิยม BDSM ได้ถึงแก่น

ทำให้นึกถึงหนังอิตาเลียน Salo, the 120 days of Sodom ของ Paolo Pasolini ที่ทำมาจากวรรณกรรม ของ มากีย์ เดอ ซาด (ต้นตำหรับคำว่า ซาดิสต์) ซึ่งเผยให้เห็นถึงความสิ้นหวังของตัวละครหนุ่มสาวในยุคปี 1944 ที่ถูกเศรษฐีฟาสซิสต์บ้าคลั่งจับตัวมาสนองตัณหาซาดิสต์ ใครอยากรู้ว่ารสนิยมด้านนี้เป็นยังไงเชิญทัศนาได้เต็มอิ่ม (เรตติ้ง 20+ นะจ๊ะ มิฉะนั้นอาจช็อกตกเก้าอี้ได้) หนังเรื่องนี้ถูกแบนในหลายประเทศจนบัดนี้ ส่วนตาผู้กำกับถูกฆาตกรรมก่อนฉายอีกตะหาก บรื๊อวว

เพียงแต่ฮาเนเก้นำเสนอเรื่องราวได้แยบยลลึกล้ำกว่า หนังของเขามักจะมีปริศนาผูกปมไว้ให้คนดูมึนตึ้บต้องเก็บไปคลี่คลายเอาเอง แต่ก็มิได้หลุดโลกเช่นเฟลลินี่ ที่แน่ๆ ความรุนแรงคือ Theme ที่เขาชื่นชอบเอามากๆ

ต้องยอมรับว่าแคสต์ตัวเด็กได้เก่ง เล่นได้ดูสมจริง และพ่อแม่เด็กต้องใจถึงมาก คล้ายๆ หนัง Mysterious Skin หรือ Bad Education ที่เด็กต้องตกเป็นเหยื่อกระทำย่ำยีทางเพศเช่นกัน ช่างหาเด็กที่เล่นได้เนียนจนเราเชื่อ...บ้านเราจะกล้าทำอะไรเช่นนี้ไหมหนอ...


โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:9:32:46 น.  

 
^
^
^

บ้านเราพึ่งมีเฉือนครับที่เล่นกับเรื่องแบบนี้


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 29 ตุลาคม 2552 เวลา:9:00:17 น.  

 
หนังของฮาเนเก้ดูแล้วจิตตกทุกเรื่อง
ผมเคยดูหนังเขา 4 เรื่อง อย่าง Hidden, Funny Games(2 เวอร์ชั่น), The Piano Teacher ดูจบแล้วกินข้าวแทบไม่ลงเลย


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 30 ตุลาคม 2552 เวลา:6:14:09 น.  

 
ได้เรื่องนี้มาแล้วครับแต่ยังไม่ได้ดู
พอเห็นเป็นหนังย้อนยุคแล้วความอยากดูลดลงไปหน่อยนึง


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 1 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:30:50 น.  

 
ของผมเป็น "รำพึงถึง 40 หนังแห่งทศวรรษ" ครับ


โดย: betweentheframes วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:2:32:45 น.  

 
Very nice post. I just stumbled upon your blog and wanted to say that I've truly enjoyed surfing around your blog posts. In any case I’ll be subscribing to your feed and I hope you write again very soon!
louis vuitton sale //www.boano.com/form/img/nalv.asp


โดย: louis vuitton sale IP: 94.23.252.21 วันที่: 13 สิงหาคม 2557 เวลา:0:09:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

I will see U in the next life.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add I will see U in the next life.'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.