มหาวิทยาลัยนี้คิดอย่างไรกันหนอ ออกหลักสูตรเพื่อแกล้งให้เด็กจบไปตกงานกันชัด ๆ
เมื่อวานผมไปคุมสอบที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ที่คุมสอนด้วยหลายเรื่อง
สัปดาห์ที่แล้วผมได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สอนเรื่องเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ในงานสื่อสารมวลชน อาจารย์ท่านที่คุมสอบกับผมก็ได้ไถ่ถามว่าเป็นเช่นไรบ้าง สอนสนุกไหม เลยไปถึงหลักสูตรต่าง ๆ
เพื่อนผมเป็นอาจารย์อยู่ที่แม่โจ้ เข้าไปสอนได้ไม่ถึงเทอม เป็นอาจารย์ใหม่ไฟเกือบแรง ระหว่างรอสอน เธอก็เอาหลักสูตรมาให้ผมดู พร้อมกับบ่น ๆ เรื่องเด็กไม่ตั้งใจเรียนตามธรรมดาของเด็กทั่วไปให้ฟังไปพลาง ๆ
ผมไม่รู้ว่าคนคิดหลักสูตรนี้คิดอย่างไรจึงผลิตหลักสูตรนี้ออกมา มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อย่างที่เราทราบกันดีว่าเน้นไปที่เรื่องของเกษตรกรรม แม้จะมีคณะสายศิลป์บ้างแต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังจนเด็กต้องแย่งกันเข้ามาเรียน
นิเทศศาสตร์เป็นชื่อหลักสูตรที่หอมหวาน เวลาเด็กนักเรียนได้ยินมักคิดยาวไปไกลนึกภาพฝันอย่างสวยงาม เป็นนักข่าวหัวเห็ด ตัดต่อทำหนังสั้นมีชื่อเสียง เป็นดีเจชื่อดัง นักโฆษณาลือชื่อ หรือนักหนังสือพิมพ์เปี่ยมอุดมการณ์ มีเด็กจำนวนมากมายอยากเรียนสายนิเทศศาสตร์ และแน่นอนว่ามหาวิทยาลัยที่ปรับตัวสู้การเป็นตลาดแรงงานอย่างเต็มตัว รับใช้ทุนนิยมอย่างเต็มที่ มีหรือจะผลิตหลักสูตรที่ไม่เอาเงิน อย่างพวก ปรัชญา ศาสนา ประวัติศาสตร์ หรือสังคมวิทยา
นิิเทศศาสตร์คือคำตอบที่ดึงดูดเงินทองมาให้มหาวิทยาลัยปี ๆ หนึ่งจำนวนมหาศาลไม่ต่างอะไรกับหลักสูตร MBA ที่มีหลายคนคิดอะไรไม่ออกก็ไปเรียนต่อกัน
การปรับกระบวนทัศน์เรื่องการศึกษาของมหาวิทยาลัยจากการมอบความรู้แก่สังคมและรับใช้ชุมชน กลายเป็นการมุ่งหวังกำไรสูงสุด ทำให้อะไร ๆ ในมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไป มหาวิทยาลัยแม่โจ้เองก็ปรับตัวเพื่อรองรับในเหตุนี้
นิเทศศาสตร์ของแม่โจ้พึ่งเปิดมาได้เพียงสามปี รุ่นแก่สุดตอนนี้ก็อยู่เพียงปีสาม ถือว่าเป็นน้องใหม่มากในวงการการศึกษาด้านนี้ ยิ่งเทียบกับนิเทศ จุฬา วารสาร ธรรมศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นอย่าง การสื่อสารมวลชน ม.เชียงใหม่ เอง ก็ถือว่าเป็นน้องที่เกิดห่างกันมาก ดังนั้นจุดสำคัญที่จะทำให้ขายได้คือต้องสร้างจุดขายที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่น โดยเฉพาะกับ การสื่อสารมวลชน มช. นิเทศ ราชภัฎเชียงใหม่ หรือ นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ที่ครองพื้นที่เดิมอยู่แ้ล้ว
หลักสูตรที่นี้เรียนกันเพียง 3 ปีครึ่งเท่านั้น ตอนปีสี่ เทอมหนึ่ง นักศึกษาจะไปฝึกงานแล้วจบเลย เหตุที่ผู้ผลิตหลักสูตรมองอาจจะคิดว่าเพื่อให้นักศึกษามีโอกาสในการเข้าถึงตลาดงานก่อนสถาบันอื่น เท็จจริงอย่างไรประเด็นนี้ผมก็มิทราบได้
ส่วนที่ผมมองว่าเป็นการแกล้งเด็กก็เพราะว่า หลักสูตรที่เข้าคิดขึ้นมา เป็นนิเทศศาสตร์บูรณาการ เน้นการผสมผสานศาสตร์ทุกสิ่งของนิเทศศาสตร์เข้าด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องเรียนเจาะลึกอะไรมากนัก จากหลักสูตรที่เห็น แต่ละสายอาชีพก็เรียนกันเพียง 2 วิชา เช่นเรียนทำรายการวิทยุ ก็มีวิชาเขียนบทและการผลิต อย่างละหนึ่งวิชา
ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่พอ
คุณผู้อ่านอาจสงสัยว่าแล้วที่เหลือเขาไปเรียนอะไรกัน เนื่องจากนิเทศศาสตร์ที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของคณะศิลปศาสตร์ ดังนั้นจึงเรียนความรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ของศิลปศาสตร์ด้วย ซึ่งผมก็คิดว่าดี เพราะเด็กจำเป็นต้องมีซอฟแวร์อยู่ในหัวเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ที่นี้เน้นเรียนเหมือนเป็ดคือรู้ทุกอย่าง แต่ทำไม่เก่งเลยสักอัน ทำไมผมถึงฟังธงเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่แค่ได้อ่านหลักสูตร เหตุเพราะผมเคยเรียนมาก่อนครับ ประสบการณ์รู้ได้เลยว่า การที่คุณจะผลิตรายการวิทยุที่มีคุณภาพสักรายการ มันไม่อาจจะใช้เวลาเพียงแค่สองวิชาแล้วทำได้ดีเลย แต่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนทั้งสมองและทักษะ ซึ่งตอนผมเรียนปริญญาตรีผมก็เรียนอย่างน้อยสี่ตัว
หลักสูตรอย่างของนิเทศ จุฬา ก็มีการแบ่งนิสิตออกเป็นเมเจอร์ย่อยอีก เช่น mc เรียนด้านโทรทัศน์และวิทยุ เป็นต้น แต่ละคนก็จะได้ทำงานในสาขาที่ตนเรียนอย่างช่ำชอง มีทักษะพอสมควรในการออกไปประกอบอาชีพได้ (ซึ่งพอออกไปทำงานจริง ที่เก่ง ๆ ต่างก็พบว่าตัวเองนั้นอ่อนด้อยมาก)
การเรียนการสอนนิเทศศาสตร์จำเป็นจะต้องควบคู่ทั้งเรื่องทฤษฎีและปฎิบัติ ทฤษฎีนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องทางสื่อสารมวลชน เพราะสื่อสารมวลชนหยิบยืมองค์ความรู้มาจากศาสตร์อื่นทั้งนั้น ไม่ว่าจะเิป็นสังคมวิทยา จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ ถ้าไม่รู้ก็เอาอะไรไปผลิตรายการไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้าไม่เน้นเทคนิค บัณฑิตที่ผลิตออกมาก็ไร้ฝีมือออกไปสู้ใครไม่ได้ ดังนั้นทั้งสองสิ่งจึงต้องควบคู่กัน แม้ในความจริงสถาบันส่วนใหญ่จะสนใจแต่ประเด็นหลังกันก็ตาม
ผมไม่ได้คิดมากไปเอง เพราะวันที่ผมไปสอน เจ้าหน้าที่ภาควิชาก็มาเล่าให้ฟังว่า มีเด็กปีสามมาบ่นให้ฟังว่าเขากำลังจะเรียนจบไปฝึกงานแล้ว แต่ดูเหมือนเขายังไม่รู้อะไรเลย จะทำทีวีก็ทำไม่เป็น ทำวิทยุก็ไม่เก่ง หนังสือพิมพ์งู ๆ ปลา ๆ
นี้คือเสียงสะท้อนอันนี้จากตัวผู้เรียนเอง
ที่ร้ายกว่านั้นบางวิชาเด็กอยากเรียนแต่เปิดไม่ได้เพราะคนเรียนน้อย ไม่คุ้มทุน ได้ยินแ้ล้วเศร้า
ผมว่านี้คือการทำร้ายนักศึกษาตัวเองทางอ้อม บางที่การผลิตหลักสูตรออกมาเพื่อมุ่งแต่จะขายและเอาเงินโดยลืมไปว่ามันเวิร์คจริงหรือเปล่า มันก็จะย้อนมาทำร้ายตัวเองเข้าสักวัน
ลองคิดกันดูเล่น ๆ นะครับว่าวันหนึ่งข้างหน้า หากไม่มีบัณฑิตที่มีคุณภาพออกไป ชื่อเสียงภาควิชาหรือคณะก็ไม่เกิด แล้วเด็กที่ไหนมันจะมาเรียน
จริงไหมครับ
Create Date : 04 ตุลาคม 2550 |
|
20 comments |
Last Update : 4 ตุลาคม 2550 14:05:41 น. |
Counter : 1622 Pageviews. |
|
|
|
จะว่าไปก็เหมือนผมเลยน่ะครับ เรียนสายบริหารธุรกิจมา ด้านการจัดการทั่วไป รู้หมดทุกอย่างทางด้านบริหารจัดการ แต่รู้เบื้องต้นเท่านั้น ต้องมาลงดีเทลล์กับวิชาเลือกเอา ที่จะเป็นวิชาที่เราต้องเรียนรู้ และรู้ลึกจริงๆ ถึงเอามา Apply ได้ และเป็นความรู้เชิงลึก (ในระดับป.ตรี) ที่เรารู้จริงด้วย การศึกษาของไทย ยังคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกเยอะ ในเรื่องของ โครงสร้างหลักสูตรน่ะครับ