Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
7 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 
วันที่เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นไหลนองเต็มทั่วพื้น นิเทศ จุฬาฯ

ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ขอบ่นเรื่องเรียนหน่อย ตอนนี้เซ็ง ๆ เครียด ๆ เบื่อ ๆ

ช่วงนี้ คณะที่มี ป.โททั้งหลายไม่ว่าสถาบันใด ก็คงเริ่มที่จะตลุยทำวิทยานิพนธ์กันแล้ว หลาย ๆ คนเริ่มจนใกล้เสร็จ แต่อีกหลายคนแม้เพียงคิดก็เหมือนยังดูห่างไกล

ก่อนอื่นบอกก่อนครับ ว่าไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายฆ่ากันตายจนเลือดไหลเป็นแม่น้ำเหมือนในนิยายของกาเบรียล กาเซีย มาร์เกวซ นะครับ เพียงแต่ว่าผมอุปมาความทุกข์ระทมที่ได้รับมันเหมือนกับการโดนฟันด้วยดาบนับร้อย จนเลือดในกายหลั่งไหลกระเด็นเปื้อนไปทั่วทั้งคณะ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นที่ภาควิชาการสื่อสารมวลชน ของนิเทศ จุฬา สถานที่อาถรรพ์มากที่สุดในคณะ

เมื่อวานนี้ เพื่อนผมชื่อ 'จอม' สอบหัวข้อวิทยานิพนธ์ซึ่งเป็นเหมือนประตูด่านที่สองถัดมาจากการร่างโครงร่าง จอมทำเรื่องยากครับ เขาศึกษาเรื่องเกี่ยวกับงานแสดงสินค้า โดยต้องการรู้ว่าคนจัดงานทำเช่นไรให้คนไปเดินซื้อของโดยมี Logic ของความชอบธรรมว่าฉันซื้อที่นี้ดีกว่าที่อื่น แถมยังต้องศึกษาเรื่องสัญญวิทยาโดยใช้แนวคิดของ บาร์ธอีก ตาย ๆ

ฟังแล้วยากมากครับ ตัวจอมเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก แต่เมื่ออาจารย์เห็นว่าจอมพร้อมในระดับหนึ่งแล้วก็ให้สอบดู

ในห้องสอบ ซึ่งประกอบไปด้วยกรรมการทั้งหมดสามท่าน (หนึ่งในนั้นคืออาจารย์ที่ปรึกษา) จอมก็โดนซักแหลกครับ ก็โอเคครับยอมรับกันโดยดี เนื่องจากว่าสิ่งที่อาจารย์ท่านพูดมาก็ถูกทั้งหมด หลังจากเสร็จการสอบหัวข้อ จอมต้องแก้อีกตรึม เรื่องยาก ๆ ทั้งนั้น

บรรยากาศหลังเสร็จการสอบเต็มไปด้วยความอึดอัด เพราะเพื่อนหลาย ๆ คนที่ได้เข้าไปนั่งฟังการนำเสนอของจอมเริ่มพลอยเห็นอนาคตตัวเองที่จะโดนในอีกเร็ววันนี้

แต่จะกลัวไปใย ในเมื่อใครคิดจะเรียนก็ต้องเจอ เหมือนกับมนุษย์ต้องเผชิญความตายกันทุกคน

เพียงแต่ว่าหนทางที่นำไปสู่จุดหมายปลายทางนั้นมันยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน ผมไม่รู้ว่าที่อื่นยากเย็นแสนเข็ญมากมายขนาดไหน และเป็นเช่นไร แต่เมื่อเทียบกันกับภาควิชาทั้งหมดของนิเทศจุฬาแล้ว ภาคการสื่อสารมวลชน เหมือนดั่งหนทางเล็ก ๆ ที่ซ้ายก็เหว ขวาก็เหว แถมตามทางยังมีวัชพืชมีหนามมากมายพร้อมกับเสียบแทงได้เสมอ

ตามหลักสูตรเรียน ป.โท เขาก็กำหนดกันไว้สองปี ภาควิชาอื่นถ้าไม่เกเรกันเขาก็สามารถจบสองปีกันได้ทั้งรุ่น แต่กับภาควิชานี้เหมือนมีอาถรรพ์ ใครจบภายในสองปีได้นี้ถือว่าเก่งมาก ปีที่แล้วรุ่นพี่ปมหนึ่งปี จบสองปี 1 คน (เท่านั้น) ที่เหลือก็พึ่งทยอยจบกันไป อะไรจะขนาดนั้น

จะว่าความ fix ของอาจารย์ที่เวอร์มาก ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ละหัวข้อมีเรื่องให้คิดปลีกย่อยประเด็นนู้นประเด็นนี้มากมาย ผมเคยคุยประเด็นนี้กับเพื่อนที่เรียน ป.โท อยู่วารสาร ธรรมศาสตร์ ถึงเรื่อง ทฤษฎีการใช้สื่อของผู้รับสาร (Uses & Gratification) เพื่อนที่วารสารของผมบอกว่าทฤษฎีนี้ง่ายจะตาย เราศึกษาผู้รับสารว่าใช้สื่อสารมวลชนยังไงบ้าง ก็ใช้อันนี้แหละอธิบาย ใครก็ใช้ได้ basic ๆ

แต่กลับอาจารย์ผม กลับบอกในทางกลับกันว่าไม่ได้ ๆ คุณจะใช้ทฤษฎีนี้ได้ต่อไป คุณมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สื่อจริง ๆ เช่น ต้องติดตามข่าวสงคราม เพราะที่ลูกหลานไปเป็นทหารที่นั้น หรือว่าติดตามข่าวพยากรณ์อากาศเพราะเป็นชาวประมง ไม่ใช่คิดจะใช้ก็ใช้

อ้าว อะไรว่ะ!!!! มันต่างกันสุดขั้วเลยล่ะ

ว่าไปอันนี้ก็ยังไม่เท่าไร เพราะเรื่องวิชาการ ความคิดต่างเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ถ้ามีหลักฐานและเหตุผลเพียงพอ....

ที่น่าหนักใจก็คงเป็นเพียงปัญหาจากตัวภายในคณะ ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งผลให้เด็ก ๆ พลอยซวยไปด้วย

ที่อื่นเรื่องแบบนี้ก็คงมี แต่เท่าที่ประสบการณ์ชีวิตผมเคยเจอมา ที่นี้ชวนงงชีวิตจริง ๆ

ตอนนี้ตัวผมเองเหมือนเริ่มต้นใหม่ เดิมนั้นผมทำโครงร่างและปรึกษากับอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้ท่านใจดีมากให้คำปรึกษาดีเยี่ยม เพียงแต่ว่าท่านไม่มีเวลาว่างมากนัก ก็เลยแนะนำให้ไปขออาจารย์ท่านอื่นเป็นแทน โดยอาจารย์จะเป็นประธานสอบให้

โชคดีของผมมีอยู่บ้าง อาจารย์ท่านใหม่นี้ท่านก็ช่วยเหลือเต็มที่ แม้ผมจะมีข้อมูลอยู่ในมือพอควรแล้วก็ตาม แต่ก็เหมือนกับการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ไม่มีผิด

ตอนนี้ก็ได้แต่ยึดคำที่อาจารย์ท่านหนึ่งพูดในขณะสัมมนาหัวข้อวิทยานิพนธ์ว่า "ไม่ต้องไปกลัวหรอก มีคนมากมายที่เขาจบไปได้ ขอเพียงพวกคุณใส่ใจ ทำไมมันจะจบไม่ได้ล่ะ"

จบนะจบได้ครับ แต่เห็นยืดไปกันสามปีสี่ปีกันเกือบทุกคน

ทุกวันนี้ ผมหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยความฝันที่อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ความฝันที่อยากสอนหนังสือ เติมเต็มความฝันของเด็ก ๆ ที่อยากทำงานด้านสื่อ อยากเห็นรายการวิทยุดี ๆ ที่ผลิตออกมาจากนักศึกษาที่เราสอน สิ่งเหล่านี้บังคับให้ผมสู้ต่อไป

มันเป็นเพียงความเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ที่แวบเข้ามาในสมอง สุดท้ายมันก็คงหายไป ภาวนาไว้ว่าสิ่งดี ๆ กับชีวิตคงเข้ามาบ้างน่ะ

ขอบคุณที่ทนอ่านผมบ่นและระบายมาได้อย่างยาวนานครับ






Create Date : 07 ตุลาคม 2548
Last Update : 7 ตุลาคม 2548 14:17:17 น. 12 comments
Counter : 504 Pageviews.

 
จบโทมาจากที่นั่นล่ะค่ะ

คณะเราเค้าเน้นให้มีวิทยานิพนธ์ที่ต้องไม่ห่วยออกมาไงคะ
(รุ่นพี่น่ะ มีไม่จบหลายคนเลยนะ เพราะวิทยานิพนธ์ไม่ผ่านน่ะ)


ความขัดแย้งภายในคณะยังไม่หมดอีกหรือ? อืมม์...


แต่เราว่าเลือกหัวข้อดีๆ ทำงานหนักๆ หน่อย อาจารย์โอเคๆ ผลงานที่ออกมาจะดี น่าภูมิใจสำหรับการเรียนปริญญาโทนะคะ


สู้ๆ หน่อยละกันนะคะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:11:44:11 น.  

 
ตัวผมเองตอนนี้ก็ไฟท์พอควรครับ หัวข้อของผมเองก็ไม่ถือว่ายากนัก เพราะทำเรื่องที่จับต้องได้อย่างวิทยุชุมชน ผมเบนประเด็นไปที่ตัว "พระสงฆ์" ในฐานะของสื่อมวลชนว่าท่านได้ดำเนินกิจกรรมวิทยุชุมชนอย่างไรบ้าง โดยไปศึกษาที่เชียงใหม่นะครับ

โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าไม่มีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ (ที่ยากจะหมดไป) ก็คิดว่าจะสู้ผ่านสองปีได้

ผมกลับไปที่บ้าน เคยพูดคุยกับรุ่นพี่ข้างบ้านที่กำลังเรียน ป.โท เกี่ยวกับพวกผลิตสื่อเพื่อการศึกษา เธอก็บ่นให้ฟังว่าเรียนหนักมาก เราก็ถามเพราะความอยากรู้ว่าเรียนอะไรบ้างหรอ

สิ่งที่ปรากฎคือเกือบทั้งหมดเรียนเกี่ยวกับการผลิตสื่อทั้งนั้น (ก็แน่นะสิ เรียนผลิตสื่อเพื่อการศึกษาแล้วจะไม่เรียนผลิตสื่อได้อย่างไร) ผมก็ฟังแล้วก็มองย้อน เฮ้ย!!! เหมือนตอนกูเรียน ป.ตรีเด๊ะ เลยนี้หว่า ไม่เห็นต่างกันเลย

ยิ่งเมื่อมองเทียบกันระหว่างสิ่งที่ผมเรียน กับสิ่งที่พี่เขาเรียน มันต่างกันเกินไป แต่สุดท้ายก็จบได้ปริญญาโท

หลายครั้งผมมองย้อน เรามาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี้

แต่ทุกวันนี้ ปริญญาบัตรสำหรับผมไม่ใช่เรื่องสำคัญมากมาย ความรู้ที่ได้รับและการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมเป็นสิ่งที่น่าสนใจและคำนึงถึงมากกว่า จะจบจากไหน จะจบอะไร มันก็แค่เปลือก เพราะสุดท้ายระบบโครงสร้างสังคมนี้ก็มีที่สำหรับความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอยู่แล้ว

ทุกวันนี้สู้สุดใจละครับ อ่านหนังสือเยอะกว่าปกติมากทีเดียว

ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องสู้ต่อไปครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:12:13:19 น.  

 
ตอนทำทีสิธก็ยากค่ะ

แต่พอจบมาแล้วภูมิใจจัง



โดย: หมวยแก้มป่อง วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:13:20:40 น.  

 
เข้าใจมากๆ
แต่ยากๆแบบนี้นะ ผ่านไปได้ จะภูมิใจมากเลย
เอาใจช่วยต่ะ


โดย: DropAtearInMyWineGlass วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:14:36:50 น.  

 
จำตอนวิ่งขึ้นโค้งสปิริตได้ไหม...
เหนื่อยแทบขาดใจ
แต่ถ้าผ่านมันไปได้
เราจะเห็นพระธาตุเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
แล้วก็ภูมิใจในตัวเองเหลือเกิน
ที่เดินเท้าขึ้นดอยมาได้....

กัดฟันแล้ววิ่งให้เต็มที่เลยดอง
ยอดดอยอยู่แค่นี้เอง...


โดย: happyteddy (happyteddy ) วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:19:34:19 น.  

 
ไม่ค่อยเข้าใจ

แต่ยังไงก็ สู้ๆ นะ
เป็นกำลังใจให้ และเชื่อว่าดองทำได้

หลังฝนตก มักมีกลิ่นดินหอมๆ ตามมาเสมอ


โดย: iammonkey (ผมซ่า ) วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:20:28:35 น.  

 
ยังไม่เห็นภาพความลำบากค่ะ เพราะยังไม่เคยเรียนโท ตอนนี้ยังสนุกกับการทำงานอยู่เลย แล้วก็สงสัยว่าจะสนุกไปอีกนาน ^-^

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมที่บล็อกนะคะ ^-^



โดย: วิริญ (Wirincity ) วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:22:37:55 น.  

 
ฟังดูเจ็บปวดจัง
ถ้าเราผ่านความลำบากในวันนี้ไปได้
เราจะเหลียวกลับมามองอดีตได้อย่างมีความสุขสุดๆ
สู้เข้านะคะ

ปล.เราเป็นคนเชียงใหม่แต่มาโตที่กรุงเทพอ่ะค่ะ
เลยไปเชียงใหม่ทุกปิดเทอมเลย
ไปนอนบ้านยาย
อยู่แม่ริมค่า มะใช่เด็กในเมือง


โดย: fakeplasticgirl วันที่: 8 ตุลาคม 2548 เวลา:2:12:07 น.  

 
ก็สู้อยู่ครับให้ผ่านวันที่โหดร้ายเหล่านี้ไปให้ได้

คงเหมือนกับตอนยิ่งขึ้นโค้งสปิริต เหนื่อยแทบตาย แต่พอถึงยอดดอยก็ดีใจเหลือหลาย (แม้จะรู้ว่าต้องเดินขึ้นไปบนดอยสุเทพอีกหลายร้อยขั้นก็ตาม)

ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจน่ะ โดยเฉพาะหมอนนุ่นและพี่ยิ้ม ถ้าขาดเพื่อน MC43 ไป ชีวิตฉันคงงง ๆ ยังไงพิลึก

----------------------------------------------------------------------------------

นอกเรื่อง ถึง โอปอครับ

เดี๋ยวนี้แม่ริมกับในเมืองก็ไม่ต่างกันเท่าไร ป่าที่เคยแบ่งก็ทยอยกลายเป็นบ้านเรือนคนขึ้นไปแล้ว

ผมรักเชียงใหม่มากครับ เชียงใหม่ให้อะไรกับชีวิตผมมากมาย

คิดถึงเชียงใหม่จัง


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 8 ตุลาคม 2548 เวลา:12:27:52 น.  

 
อ่านแล้ว รู้สึกว่า อาจารย์หลาย ๆ ที่จะมีอัตตาสูงเกินสมควรแก่เหตุฯ ถ้ามีอัตตาสูง แล้วยอมรับฟังสิ่งที่แตกต่าง แล้วยินดีให้คำแนะนำ ฯลฯ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ครับ แต่ถ้าอัตตาสูง แล้วยังไม่แนะนำ ฯลฯ อันนี้ กรรม ก็ตกไปที่นักเรียนฯ

ผมหวังว่าคุณจะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดีครับ


โดย: POL_US วันที่: 9 ตุลาคม 2548 เวลา:2:58:11 น.  

 
ขอให้สำเร็จใน 2 ปีดังหวังนะคะ
สู้ๆ


โดย: rebel วันที่: 9 ตุลาคม 2548 เวลา:14:44:53 น.  

 
ใจสู้ซะอย่าง
ต้องจบสิ
สู้เค้า

เราอยู่ฝั่งตรงข้ามน่ะ
แต่ไม่เรียนป.โทอีกแล้ว
ลาทีสามย่านเอ๋ย



โดย: quin toki วันที่: 14 ตุลาคม 2548 เวลา:20:58:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

I will see U in the next life.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add I will see U in the next life.'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.