|
วิเคราะห์ Somersault ผ่านทฤษฏีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ของซิกมันด์ ฟรอยด์
บทความชิ้นนี้เป็นรายงานในวิชา media analysis ส่ง รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ (ได้อ่านก่อนอาจารย์อีกนะครับ เพราะผมต้องส่งพรุ่งนี้) ผมไม่ได้ edit ภาษานะครับ อาจมีอ่านยากบ้างนิดหน่อย
ความยาวประมาณ 3 หน้า A4 ครับ
ภาพยนตร์เรื่อง Somersault เป็นภาพยนตร์จากประเทศออสเตรเลีย เข้ามาฉายในไทยอย่างเงียบ ๆ ตามประสาหนังที่ไม่ได้เป็นกระแสหลักอย่างหนังฝากฮอลลีวูด ในบทความชิ้นนี้ผู้วิเคราะห์ใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นหลัก เพื่อให้เห็นสภาพของตัวละครในภาพยนตร์ Somersault ดำเนินเรื่องโดยหญิงสาววัยรุ่นนามว่า ไฮดี้ เธออาศัยอยู่กับแม่เพียงลำพัง ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับเธอนั้นไม่ราบรื่นนัก นอกจากแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้เธอแล้ว แม่ยังชอบพาแฟนใหม่มาที่บ้านบ่อย ๆ เ ช้าวันหนึ่งในระหว่างที่แม่ของเธอออกไปทำงาน ไฮดี้ก็นั่งคุยกับแฟนหนุ่มของแม่แล้วก็ลงเอยด้วยการกอดจูบกัน แต่ใครจะรู้ว่าเวลาเดียวกัน แม่ของเธอกลับมาบ้านแบบไม่ทันตั้งตัว ไฮดี้ถูกเฉดหัวออกจากบ้านทันที ไฮดี้ฝากความหวังว่าเธอจะไปอาศัยอยู่กับชายหนุ่มที่เคยมอบผ้าพันคอให้กับเธอ แต่ทุกอย่างก็กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด เขาปฏิเสธหล่อนอย่างไม่มีเยี่อใย ชีวิตของไฮดี้เริ่มเคว้งคว้าง เงินที่มีติดตัวเริ่มหมด เธอเริ่มทำทุกวิถีทางเพื่อหาใครที่สามารถให้ได้เกาะติดอาศัยไปด้วย แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ถูกปล่อยลอยแพไว้เพียงคนเดียวเสมอ เหตุการณ์หลังจากนี้ ไฮดี้ได้พบกันโจ ชายหนุ่มที่ปิ๊งเธอตั้งแต่แรกพบ เธอพยายามสานต่อความสัมพันธ์ให้กลายเป็นความรัก แต่ดูเหมือนว่าความรักของเธอและเขานั้นจะต่างกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์วิเคราะห์มุ่งไปที่ตัวดำเนินเรื่องอย่างไฮดี้ จะพบว่า ไฮดี้นั้นเป็นคนที่พยายามหาความรักมาเติมเต็มให้กับชีวิตของเธอ แต่ความรักที่เธอหามามักจบลงด้วยการมีเซ็กซ์เสมอ เธอเข้าใจว่าความรักกับเซ็กซ์นั้นคือสิ่งเดียวกัน ดังนั้นทุกครั้งที่เธอเหงา เธอมักจะปล่อยตัวไปกับการมีเซ็กซ์เพราะหวังที่จะได้ความรักจากชายที่เธอร่วมรักด้วย
เธอตามหาความรักมาเติมเต็มผ่านการมีเซ็กซ์ โดยไม่สนใจว่าถึงวิธีการว่าจะได้มาได้อย่างไร ส่งผลให้เธอปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามใจปรารถนา คิดอยากจะกินเหล้าก็กิน คิดอยากจะนอนกับใครก็ทำ ซ้ำยังเคยเดินแก้ผ้ากลางหิมะตอนตีสามโดยไม่แคร์สายตาใคร ชีวิตของเธอไร้กฎระเบียบกฎเกณฑ์มากำหนด ทุกอย่างทำไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง
ประเด็นนี้สามารถอธิบายโดยใช้หลักการทำงานทางจิตของมนุษย์ ฟรอยด์ได้จำลองโครงสร้างการทำงานของจิตมนุษย์ขึ้นมา โดยแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ อิด (id) อีโก้ (ego) และ ซุปเปอร์อีโก้ (superego)
ฟรอยด์เสนอว่า มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับ อิด อันประกอบด้วยแรงขับดันของสัญชาตญาณต่าง ๆ คือ สัญชาตญาณทางเพศ (Sex Instinct) และสัญชาตญาณความก้าวร้าว (Death Instinct) มนุษย์เราไม่สามารถจะแสดงออกซึ่งความปรารถนาทุกอย่างได้ ดังนั้นมนุษย์จึงถูกกล่อมเกลา อบรมบ่มเพาะ กลายเป็น อีโก้ ซึ่งเป็นการทำงานตาม หลักการแห่งความเป็นจริง พร้อมกันนั้นสังคมได้สร้างตัวแทนของพ่อแม่ในรูปแบบมาตรฐานของสังคมที่เรียกว่า ซุปเปอร์อีโก้ ที่ทำงานตามหลักศีลธรรม ขึ้นมาในระบบจิตของมนุษย์
สรุปง่าย ๆ อิดก็คือความปรารถนาที่เราต้องการ ส่วนซุปเปอร์อีโก้คือบรรทัดฐานทางสังคมที่เป็นกฎเกณฑ์ปฎิบัติในชีวิต และอีโก้ก็คือตัวของเราที่อยู่ตรงกลาง
อีโก้จะต้องพยายามประสานงานระหว่างแรงผลักระหว่างอิดและซุปเปอร์อีโก้ เพราะทั้งสองอย่างนั้นต่างเรียกร้องอย่างไม่สมจริง (Unrealistic) เป็นเป็นปรารถนาสิ่งต่าง ๆ อย่างสุดโต่ง
เมื่อมองจากทฤษฎีแล้วจะพบว่าไฮดี้เป็นคนที่อีโก้ถูกอิดครอบงำอยู่ โดยปกติ อีโก้นั้นจะรักษาสมดุลอยู่เสมอ ไม่ให้ทั้งซุปเปอร์อีโก้และอิดมาเข้าควบคุม แต่ถ้าหากอีโก้ถูกซุปเปอร์อีโก้ครอบงำ ก็จะกลายเป็นที่ยึดติดอยู่กับศีลธรรมกฎระเบียบต่าง ๆ มากจนเกินไป ในทางกลับกันหากถูกอิดครอบงำ คน ๆ นั้นก็จะกลายเป็นคนที่ทำแต่ตามความปรารถนาของตนเอง ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ซึ่งลักษณะนี้เป็นลักษณะของไฮดี้
มีหลาย ๆ ฉาก ที่แสดงให้เห็นว่าจิตใจของเธอ ที่อีโก้ถูกอิดเข้าครอบงำ เช่นในฉากที่เธอจูบกับแฟนแม่ของตัวเอง ซุปเปอร์อีโก้ที่เป็นเรื่องของบรรทัดฐานสังคม กฎระเบียบต่าง ๆ บอกว่านั้นคือแฟนแม่ เป็นคนที่แม่รัก ดังนั้นเราจึงควรเคารพและให้เกียรติ เพราะว่ากันตามจริงคน ๆ นั้นก็คือพ่อเลี้ยง แต่อิดของเธอกลับบอกว่า แฟนของแม่ก็ช่างประไร เขาทั้งหล่อ แถมยังมีรอยสักเสียอีก ฉันอยากที่จะมีอะไรกับเขาสักที แล้วในที่สุดอำนาจความปรารถนาของเธอที่ทะลักออกมาจากอิด ก็เข้าครอบงำจิตเธอไว้ ส่งผลให้ในที่สุดก็เผลอตัวกอดจูบกับแฟนของแม่ตัวเอง
หรือฉากในช่วงหลัง ๆ ที่เธอพบว่าตัวเองถูกทอดทิ้งจากโจ เธอก็เริ่มใช้ชีวิตเหลวแหลก วัน ๆ หมดไปกับการกินเหล้า เมายาและมั่วเซ็กซ์ ซุปเปอร์อีโก้ย่อมบอกว่า ชีวิตของคนเรานั้นควรทำงาน ไม่ใช่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่า ๆ หมกมุ่นอยู่แต่กับความบันเทิง รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับการเสพย์ยาก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะยาเสพย์ติดนั้นมีแต่ผลร้ายให้กับชีวิต
แต่อิดของเธอกลับต่อต้านและทรงพลังกว่า ไหน ๆ ชีวิตก็เส็งเคร็งแบบนี้ สู่เก็บเกี่ยวความสุขที่หาได้ง่าย ๆ ดีกว่า ไม่ต้องไปเสียเวลาอะไรมากมาย กินเหล้า เมายา มั่วเซ็กซ์ ทำให้มีความสุขได้ และด้วยแรงปรารถนาของเธอที่รุนแรงเกินกว่ากฎระเบียบต่าง ๆ จะควบคุมไหว อีโก้ของเธอถูกครอบงำด้วยอิดเสียแล้ว เธอจึงแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างที่ใจเธออยากทำ
ส่วนประเด็นอื่นเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือเรื่อง ของกลไกการป้องกันตนเองทางจิต (Defense Mechanism) กลไกการป้องกันตนเองทางจิตเป็นกลไกที่อีโก้สร้างขึ้นมาเพื่อพยายามรักษาสมดุลระหว่างอิดกับซุปเปอร์อีโก้ เพื่อให้แรงผลักของทั้งสองฝ่ายมีทางระบายออกมา เพราะหากไม่มีการระบายออก ก็จะยิ่งเก็บสะสมมากขึ้น ๆ จนในที่สุดก็อาจจะระเบิดออกมา กลายเป็นภาวะทางจิต
ในชีวิตของเราแต่ละวัน ล้วนใช้กลไกการป้องกันทางจิตอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อเกิดความรู้สึกโกรธก็เก็บกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า การไประบายอารมณ์กับสิ่งของ การเพ้อฝัน จินตนาการต่างๆ หรืออย่างพวกกลุ่มองุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกลไกการป้องกันทางจิต
ในภาพยนตร์เรื่อง Somersault ไฮดี้ซึ่งเป็นหญิงสาววัยรุ่นผู้ขาดความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ เธอเองก็มีวิธีการในการจัดการหาทางออกให้กับตัวเอง โดยเธอจะตัดกระดาษจากตามแผ่นพับใบปลิว หนังสือพิมพ์ โฆษณาต่าง ๆ แล้วเอามาแปะในสมุดของเธอ พร้อมกับแต่งเรื่องราวขึ้นมาใหม่ เช่น เธอไปเที่ยวสวนสนุกกับแม่ ไปญี่ปุ่น ฯลฯ เธอหยิบเอาสมุดเล่มนี้มาอ่านเสมอยามที่เธอเหงา
วิธีการที่ไฮดี้ใช้ เป็นการใช้กลไกการป้องกันทางจิตแบบการใช้จินตนาการ (Fantasy) การใช้จินตนาการจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกหลุดออกจากโลกของความเป็นจริง แล้วเข้าไปอยู่ในโลกที่ตัวเองนึกฝันเอาไว้ อย่างกรณีของไฮดี้ เธอเลือกที่จะเก็บสิ่งต่าง ๆ มาสร้างเรื่องครอบครัวที่แสนอบอุ่นของเธอเพื่อที่จะหลุดออกไปความจริงที่แสนปวดร้าวว่าแม่แท้ ๆ ของเธอเองนั้นก็ไม่ได้สนใจเธอเท่านั้นนัก เมื่อเธอหลุดจากโลกความจริงสู่โลกจินตนาการ แรงปรารถนาต่าง ๆ ที่ถูกกักเก็บไว้ก็จะค่อย ๆ ถูกระบายออกมา เป็นการรักษาสมดุลไม่ให้อีโก้ซึ่งเป็นภาวะของตัวตนต้องทำงานหนัก
ฉากสุดท้ายของเรื่อง เธอเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น เธอเริ่มเข้าใจว่าความรักคืออะไรหลังจากผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาเยอะ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจโทรกลับบ้านเพื่อให้แม่มารับ และเธอก็ได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วแม่ของเธอก็ยังรักเธอและพร้อมให้อภัยเธอเสมอ ซึ่งนี้คือความรักที่เธอเคยเฝ้าฝันหา หากมองถึงชื่อ Somersault หรือการตีลังกากลับหลัง ก็เปรียบเหมือนการจะไปถึงจุดมุ่งหมายที่ต้องการนั้นเป็นไปได้ยากแสนยาก กว่าจะกระโดดตีลังกาได้ก็ต้องฝึกอย่างหนักแถมยังเสี่ยงต่ออันตรายนานับประการ ก็เหมือนกับความรักที่ไฮดี้ต้องการ กว่าที่เธอจะได้มาซึ่งความรักที่เธอปรารถนา ก็ต้องอุปสรรคให้ได้เรียนรู้มากมาย แต่สุดท้ายเมื่อค้นพบแล้ว ก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ ที่น้อยคนจะได้สัมผัส
โดยสรุปแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยแนวคิดทางจิตวิทยา ตัวละครล้วนมีปมในจิตใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเรื่องของแรงปรารถนา การต่อสู้กันระหว่าง อิด อีโก้ และ ซุปเปอร์อีโก้ รวมไปถึงการใช้กลไกการป้องกันตนเองทางจิต นับว่าเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถเป็นตัวอย่างในการศึกษาจิตวิเคราะห์ในภาพยนตร์ได้ต่อไป
Create Date : 16 สิงหาคม 2548 |
Last Update : 16 สิงหาคม 2548 16:04:53 น. |
|
15 comments
|
Counter : 8772 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Zantha วันที่: 16 สิงหาคม 2548 เวลา:12:12:30 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 16 สิงหาคม 2548 เวลา:12:30:58 น. |
|
|
|
โดย: stubborn IP: 202.28.27.3 วันที่: 16 สิงหาคม 2548 เวลา:12:35:57 น. |
|
|
|
โดย: Special Ed. วันที่: 16 สิงหาคม 2548 เวลา:13:12:33 น. |
|
|
|
โดย: I will see U in the next life. IP: 161.200.255.162 วันที่: 16 สิงหาคม 2548 เวลา:14:44:35 น. |
|
|
|
โดย: มะแต้มมะตูม วันที่: 16 สิงหาคม 2548 เวลา:14:44:49 น. |
|
|
|
โดย: รัตน์ดา วันที่: 17 สิงหาคม 2548 เวลา:7:38:28 น. |
|
|
|
โดย: pok IP: 161.200.83.89 วันที่: 17 สิงหาคม 2548 เวลา:16:08:33 น. |
|
|
|
โดย: ชิวชิว IP: 61.7.158.43 วันที่: 11 มกราคม 2549 เวลา:18:32:49 น. |
|
|
|
โดย: จิจิ IP: 182.232.81.51 วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:11:20:28 น. |
|
|
|
โดย: I will see you then IP: 49.230.146.49 วันที่: 10 กรกฎาคม 2566 เวลา:18:30:02 น. |
|
|
|
|
|
|
I will see U in the next life.
|
|
|
|
|
|