|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
ก้าวแรกสู่การเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์ :: สิ่งควรรู้ว่าด้วยเรื่อง "รูปแบบ" และ "เนื้อหา" ของภาพยนตร์
คราวที่แล้วเราได้รู้จักความหมายและความแตกต่างของคำว่า “วิเคราะห์” และ “วิจารณ์” ไปกันแล้วนะครับ สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านก็คลิ๊กที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลย
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=djdonk-mc43&month=15-02-2007&group=8&blog=1
สิ่งแรกที่คนอยากเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์พึงรู้และใส่ใจมาก ๆ เลยก็คือเรื่องของ รูปแบบ (Form) และ เนื้อหา (Content) ครับ ในงานศิลปะทุกชนิด ล้วนประกอบด้วยสองสิ่งนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น เพลง ภาพวาด ภาพถ่าย งานปั้น หรือภาพยนตร์
สมมติเราเปรียบเนื้อหาต่าง ๆ เป็นของเหลว คุณสมบัติของเหลวต้องมีภาชนะสำหรับบรรจุมัน ไม่ว่าจะเป็น โอ่ง โถ ไห แก้ว อ่าง ชาม ฯลฯ ถ้าไม่มีภาชนะใส่ของเหลวก็จะไหลไปเรื่อย ๆ ยากที่เก็บกัก ตัวโอ่ง ไห ฯลฯ เหล่านี้ก็คือ รูปแบบ ครับ การเรียกแตกต่างกันไปก็ขึ้นอยู่กับลักษณะที่พบเห็น มีมากมายหลายประเภท
หากนิยามแบบภาษาชาวบ้านแล้ว รูปแบบ ก็คือ กรอบที่ช่วยเก็บเนื้อหาไม่ให้กระจัดกระจายไปไหน สำหรับในงานศิลปะ รูปแบบ คือการแบ่งกลุ่มเนื้อหาต่าง ๆ ออกเป็นประเภทให้เราได้รู้ว่าศิลปะที่เราเสพอยู่นั้นมีเนื้อหาอะไรอย่างไรบ้าง
เหตุสำคัญที่นักวิจารณ์ภาพยนตร์พึงรู้และใส่ใจเกี่ยวกับรูปแบบของภาพยนตร์เป็นอย่างมากเพราะ หนังในโลกนี้มีหลายรูปแบบครับ การชมรูปแบบต่าง ๆ จำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน มิฉะนั้นเราอาจจะงง ๆ กับมันได้ ปกติเราคงไม่กินใช้อีโต้ซอยพริก หรือใช้มีดปอกผลไม้มาผ่าฝืนกันใช่ไหมครับ มีดต่างๆ ก็เหมาะสมกับงานของมัน เนื้อหาต่าง ๆ ของหนังก็เหมาะสมกับรูปแบบแตกต่างกันไปครับ
งานศิลปะประเภทภาพยนตร์เราสามารถแบ่งรูปแบบของหนังออกได้เป็น 3 แบบใหญ่ ๆ ครับ เอาแบบว่าหนังที่ฉายกันทั่วไปในโรงนะครับ หนังทดลองต่าง ๆ นั่นพักไว้ก่อน ก่อนอื่นผมอยากให้คุณผู้อ่านจินตนาการเส้นตรงไม่ยาวมากนักครับ ปลายด้านหนึ่งเราจะสมมติให้แทนความเหมือนจริงเด๊ะ ๆ อีกด้านหนึ่งเป็นด้านเพ้อฝัน จินตนาการไปไกลหลุดจากความจริง เดี๋ยวเจ้าเส้นนี้เราจะเอารูปแบบทั้งสามอันไปใส่ไว้ครับ
รูปแบบแรก ภาษาไทยเรียกว่า สารคดี ภาษาอังกฤษคือ Documentary หนังประเภทนี้มุ่งเน้นการนำเสนอ “ข้อเท็จจริง” ครับ คำว่าข้อเท็จจริงนี้คำมันชวนครึมเครือ จะเท็จหรือจะจริงไม่รู้ แต่เอาง่าย ๆ ว่าในมือของคนทำหนังเขามีข้อมูลอยู่ชุดหนึ่งแล้วนำมาเสนอ ซึ่งมันอาจจะจริงหรือเท็จก็ได้นะครับ ดังนั้นหนังสารคดีจึงมิใช่ภาพของความจริงแท้ หรือความจริงสูงสุด จุดมุ่งหมายของหนังรูปแบบสารคดีนั้นนอกจากกำหนดเสนอข้อเท็จจริงแล้ว ยังอาจต้องการโน้มน้าวใจคนดูให้คล้อยตามความคิดของผู้สร้าง
เมื่อวาดเส้นสมมติที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ จุดที่หนังสารคดีจะได้ไปเหยียบก็อยู่ใกล้ ๆ ปลายเส้นด้านเหมือนจริงเด๊ะครับ
รูปแบบต่อมา คือรูปแบบ Drama กว่า 95% ของหนังบนโลกใบนี้ล้วนแต่เป็นหนังในรูปแบบนี้ทั้งนั้นครับ รูปแบบดรามาคือหนังที่เน้นอารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ตื่นเต้น เสียใจ ร้องไห้ ฯลฯ อะไรก็ว่าไป หนังประเภทดูง่ายที่เข้าใจยาก ที่เข้าใจยากเพราะว่าใจคนลึกลับซับซ้อน เรื่องความรักใครไม่เคยสัมผัสไม่เคยรู้ การตีความต่าง ๆ จึงยากไม่ใช่เล่น อย่างไรก็ดี เราคุ้นเคยกับการดูหนังในกลุ่มนี้อยู่แล้วครับ หนังรูปแบบนี้จะอยู่แถวกลาง ๆ ของเส้นเยื้องไปทางความเวอร์แฟนตาซีเสียหน่อย
รูปแบบสุดท้าย คือ Surreal หนังแบบนี้คนไทยส่วนใหญ่มักเหมารวมเรียกว่าหนังอาร์ต ลักษณะสำคัญของหนังเซอร์เรียลคือการนำเอาความคิดนามธรรมมาสร้างให้เป็นรูปร่างแสดงความคิดเห็นของนักสร้าง เช่นแสดงภาพโชคชะตาออกมาเป็นคนใส่หน้ากากสีดำที่ควบคุมชีวิตอยู่ในหนังญี่ปุ่นเรื่อง Double Suicide การใช้ฉากที่บิดเบี้ยวแปลกพิลึกพิลั่นสะท้อนสภาพจิตในหนังคลาสสิคจากเยอรมันเรื่อง The Cabinet of Dr.Caligari เป็นต้น อีกกรณีหนึ่งก็เป็นหนังที่ถ่ายทอดความประทับใจของผู้สร้างออกมา แต่ความประทับใจเหล่านี้มันผิดแผกแปลกไปจากความเป็นจริงที่เราคุ้นเคย เช่น ผู้กำกับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้รับจากแสงอาทิตย์ เลยถ่ายทำหนังให้แสงอาทิตย์มีสีฟ้า เป็นต้น หนังกลุ่มนี้มุ่งเน้นให้คนดูได้คิดตาม ทำให้หนังหลาย ๆ เรื่องที่คนดูไม่พร้อมพลอยงงเต็กไปตาม ๆ กัน
การใช้ฉากอันบิดเบี้ยวแสดงความพิลึกพิลั่นในจิตใจจากภาพยนตร์เรื่อง The Cabinet of Dr.Caligari
การแสดงภาพของชะตาชีวิตในรูปแบบรูปธรรมเป็นคนใ่ส่ชุดดำคลุมด้วยไอ้โม่งในเรื่อง Double Suicide
หลายคนแม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยยังสับสน โดยเหมารวมเอาหนังแฟนตาซีสไตล์ Star Wars หรือ Jarassic Park เข้าไปรวมอยู่ในรูปแบบนี้ด้วย ซึ่งความจริงไมใช่นะครับ หนังไซไฟเหล่านี้ความจริงอยู่ในกลุ่ม drama เพราะแก่นของมันนั้นมุ่งเน้นอารมณ์ความรู้สึก
ความสำคัญของการรู้เรื่องรูปแบบนั้นคือ หนังในแต่ละรูปแบบมี “ซอฟแวร์” ที่ใช้ดูต่างกันไป เราคงไม่มุ่งหวังเอาข้อเท็จจริงอย่างจริงจังจากหนัง Drama หรือเอาความโอเวอร์ในหนังสารคดี ทุกรูปแบบต่างมีสิ่งที่ต้องการเล่าต่างกันไป เมื่อนักวิจารณ์ชมและรับรู้ได้แล้วว่าหนังอยู่ในกลุ่มไหน ก็จะเป็นการง่ายที่จะเข้าใจแก่นเรื่องและสาระที่หนังต้องการสื่อ
เนื้อหาที่ปรากฏในหนังย่อมสอดคล้องกับรูปแบบเสมอนะครับ การวิเคราะห์และวิจารณ์เนื้อหาเราจะว่ากันในคราวต่อ ๆ ไป สำหรับเรื่องนี้หวังว่าคงพอเข้าใจกันนะครับ ดังนั้นคนที่อยากเป็นนักวิเคราะห์วิจารณ์จำเป็นที่จะต้องดูหนังให้หลากหลายเพื่อให้เกิดซอฟแวร์ในการหนังเหล่านี้ครับ
คราวหน้าเรามาเจาะเรื่องหนัง Surreal กันครับ
Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2550 |
|
9 comments |
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2550 11:24:59 น. |
Counter : 1805 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: BAYROCKU 17 กุมภาพันธ์ 2550 14:13:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: Bkkbear (Bkkbear ) 17 กุมภาพันธ์ 2550 15:38:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: Brownie point IP: 203.113.34.13 17 กุมภาพันธ์ 2550 22:14:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: BAYROCKU 18 กุมภาพันธ์ 2550 15:54:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: numkung 20 กุมภาพันธ์ 2550 10:37:41 น. |
|
|
|
|
|
|
I will see U in the next life.
|
|
|
|
|
|
ประทับใจการเขียนของคุณค่ะ
IMHO, สมัยเด็กๆดูหนังที่ว่าสนุก plot storyline ดี
ก็ว่าหนังดีจังเลย สนุกจังเลยบอกต่อไปเรื่อย
แต่บางทีพอเรารู้มากขึ้น รู้จักที่จะรู้elements ต่างๆของ
film appreciation ทำให้มีหนังที่ชอบน้อยลง
บางทีเลยอยากที่จะลืมๆเรื่องพวกนี้ไปบ้าง
เอาแต่อรรถรสล้วนของการดูหนังก็พอค่ะ
ความคิดส่วนตัวล้วนๆนะคะ เนื่องจากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
และไม่ได้เป็นนักวิจารณ์แต่อย่างได
แล้วจะแวะมาบ่อยๆค่ะ