ธันวาคม 2550

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
สามประสบ….ดินแดนรอยต่อแห่งสามอารยธรรม ที่ยังคงมนต์เสน่ห์มิเสื่อมคลาย
วันนั้น เป็นช่วงเวลาที่สายลมหนาวกำลังย่างเยือน ช่วงเวลารอยต่อแห่งฤดูที่ต้องสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง ผมได้มีโอกาสกลับมาเยือน ดินแดนแห่งขุนเขาและสายน้ำที่ไม่เคยแยกจากกัน ที่ซึ่งสายน้ำสามสาย ซองกะเลีย บีคลี่ และรันตี ใหลมาบรรจบพบเจอกัน และไม่มีวันพลัดพรากจากกันชั่วนิรันดร์ “สามประสบ” ดินแดนแห่งสามวัฒนธรรม เชื่อมสายสัมพันธ์ของชนต่างเชื้อสายอย่างลงตัว

ถนนสายนี้ ไทรโยค ทองผาภูมิ สังขละบุรี จะนำพาผมไปพบเจอกับความงดงามของธรรมชาติ ป่าเขา สายน้ำ อีกครั้ง แม้ระยะทางจะห่างกันแสนไกลสักเพียงไหน ก็ยังอยากกลับไปสัมผัสสิ่งสวยงามเหล่านั้น อีกสักครั้ง

ผมเพลิดเพลินกับทัศนียภาพสองข้างทาง ตลอดเส้นทางขึ้นลงเขา โค้งลัดเลาะไปตามช่องเขา เลียบทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม เป็นภาพที่งดงามเกินคำบรรยาย ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ภาพท้องฟ้าสีครามต้องกับผิวน้ำเบื้องล่าง เป็นการเดินทางที่ผมเฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานาน ผมทิ้งเรื่องราว ความสับสนในใจ ต่างๆนานาไว้เบื้องหลัง แล้วมุ่งหน้าต่อไปบนเส้นทางสายนี้
ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวนานเหลือเกิน บ้านเรือนแพ ที่เรียงรายอยู่ในทะเลสาบขนาดใหญ่ บอกผมว่ากำลังจะถึงที่หมายแล้ว
ในไม่ช้า เมื่อข้ามเขาลูกสุดท้าย มีช่วงลงเนินเขาระยะทางยาวเป็นกิโล ผมก็กลับมายืนที่ สังขละบุรี อำเภอชายแดนฝั่งตะวันตกอีกครั้ง ผมแหงนดูท้องฟ้าที่สังขละบุรีในวันนี้ ยังคงงดงามเหลือเกิน คืนนี้ผมจะพักค้างแรมที่นี่

จำได้ว่าเลยจากตลาดเข้ามาไม่ไกล มีที่พักแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของที่นี่ สามารถมองเห็นทิวทัศน์จากมุมสูงได้กว้างไกล ณ ที่แห่งนี้เอง ที่ลำน้ำสามสาย รันตีที่กำเนิดจากป่าทุ่งใหญ่ ลำน้ำซองกาเลียสาขาของสาละวินและบีคลี่ใหลมาจากประเทศพม่า ทั้งสามสายใหลรวมกันเป็นแม่น้ำแควน้อย บริเวณนี้คือลานจอดรถของรีสอร์ท เนื้อที่กว้างขวางสะดวกสบาย จัดสัมภาระเข้าบ้านที่ชื่อบีคลี่ 3 อยู่บนเนินเขา เดินลงมาไม่ไกล ที่ระเบียงหน้าห้องกับภาพที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า เป็นภาพที่ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำกับท้องฟ้าสีครามเหนือทะเลสาบขนาดใหญ่กลางขุนเขา

เดินออกไปจากที่พักไม่ไกล บริเวณประตูทางเข้ารีสอร์ท ทางด้านซ้าย มีทางเดินลงไปสะพานอุตตมานุสรณ์ สะพานไม้ที่ว่ากันว่ายาวที่สุดในประเทศไทย ข้ามลำน้ำซองกาเลีย เชื่อมสายสัมพันธ์แห่งสองอารยธรรมเข้าด้วยกัน สร้างจากฝีมือแรงงานชาวมอญ ว่ากันว่าต้องดำน้ำลงไปตัดโคนต้นไม้ที่ถูกน้ำถ่วมนำมาสร้างสะพาน วันแล้ววันเล่ากับผู้คนสองฝากฝั่งสัญจรไปมาหาสู่กัน ภาพชาวมอญเดินถือกล่องอาหารเดินข้ามมาทำงานยามเช้า เป็นภาพที่เห็นจนชินตา คือวิถีที่งดงาม เมื่อเดินมาถึงกลางสะพาน มองย้อนกลับไปจะเห็นสามประสบ รีสอร์ท ได้อย่างชัดเจนทีเดียว และเมื่อมองจากสะพานก็จะเห็นภาพเรือนแพ เรียงรายอยู่เต็มไปหมด เป็นเรือนแพที่พักรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสัมผัสธรรมชาติของสายน้ำและขุนเขา

ผมข้ามมาถึงหมู่บ้านชาวมอญ มีร้านรวงขายของอยู่ไม่มากนัก เสียงเรียกชักชวนจากแม่ค้าชาวมอญแว่วมาเป็นระยะ แม่ค้าชาวมอญอัธยาศัยดีกำลัง บริการลูกค้าที่มาอุดหนุนซื้อสินค้าที่ร้าน ร้านขายอาหารตามสั่งก็มีให้เห็น สินค้าของชาวมอญที่รอนักท่องเที่ยวมาจับจ่ายซื้อติดไม้ติดมือเป็นของฝากของที่ระลึก

อรุณสวัสดิ์ สังขละบุรี กับแสงแรกของวันใหม่ ทุกอย่างยังคงสดใสเหมือนเช่นเคย แสงสีทองที่ส่องผ่านปุยเมฆทะลุลงมายังป่าเขาและผืนน้ำ ผมออกไปเดินผ่อนคลาย ทอดอารมณ์ ความรู้สึก ยามเช้าที่สะพานมอญ กับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากวันเก่าๆ ภาพเด็กๆชาวมอญ ที่เข้ามาทักทายผู้มาเยือน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เด็กๆพวกนี้พำนักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ทุกเช้าจะข้ามสะพานมาโรงเรียน

คลายง่วงกับชาร้อนๆ และอาหารมื้อแรกของวัน วันนี้ผมตั้งใจจะไปไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดวังก์วิเวการาม ระยะทางจาก อ สังขละบุรีไปวัดวังก์วิเวการามไม่ไกลครับ ขับรถข้ามสะพานซองกาเลียไปประมาณ 6 กม มองไปอีกด้านจะเห็นสะพานอุตตมานุสรณ์ เมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องเข้ากราบไหว้ สรีระของหลวงพ่ออุตตมะ ที่เป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวไทย ชาวกระเหรียง พม่าและชาวมอญแม้ว่าท่านจะละสังขารณ์ไปแล้ว ภาพพระอุโปสถที่งดงาม แต่น่าเสียดาย ไม่ได้เปิดให้เข้าไปชมความงดงามด้านใน ความอลังการของสถาปัตยกรรมภายในวัดแห่งนี้ สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของชาวพุทธ ภายในวิหารที่ประดิษฐานหลวงพ่อขาว พระพุทธรูปหินอ่อน ดวงพระเนตรเปี่ยมด้วยความเมตตา งดงามยิ่งนัก หลังจากกราบไหว้นมัสการ ขอพร ขณะจะเดินออก ก็มีสะดุดตากับสิ่งนี้ “งาช้างแมมมอส” ก่อนออกจากวัดก็ไม่ลืมที่จะชิมโรตี ที่ทำจากฝีมือชาวแขกมอญ

ห่างออกไปจากวัดแห่งนี้ประมาณหนึ่งกิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเจดีย์แบบพุทธคยา มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นนิ้วหัวแม่มือขวา ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร เมื่อเดินขึ้นไปด้านบนเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่ฐานขององศ์เจดีย์ ด้านหลังองศ์พระมาทางเดินขึ้นไปชมเจดีย์ใกล้ๆ ใกล้ๆกับมีร้านจำหน่ายสินค้าจากพม่าหลายร้าน สินค้าจำพวกผ้า แป้งและเครื่องไม้

ออกจาก อ สังขละบุรี ไป ตามเส้นทางสาย สังขละบุรี - ทองผาภูมิ ประมาณ 4 กม เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 19 กิโลเมตร เส้นทางราดยางตลอดสาย มีขึ้นลงเนินบ้างแต่ไม่มาก ระหว่างทางผ่านด่านตรวจ ไปถึงด่านเจดีย์สามองศ์ในอดีตเคยเป็นเส้นทางเดินทัพของกองทัพพม่า ที่นั่นจะมีร้านจำหน่ายสินค้าจากพม่าจำนวนมาก มีทั้งกล้วยไม้ และ ของป่าต่างๆนานา รวมถึงสุราต่างประเทศ อากาศร้อนมาก ผมดับกระหายคลายร้อนที่ร้านนี้ครับ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของด่านศุลกากร สังเกตุธงชาติบนยอดเสา เป็นที่น่าเสียดายในวันนั้นพรมแดนยังไม่เปิดให้เข้าไปเที่ยวชมตลาดชายแดนในเขตประเทศพม่า

ก่อนกลับที่พัก ผมแวะรับทานอาหารกลางวันที่แพมิตรสัมพันธ์ อยู่ทางไป พี เกสเฮ้า เจ้าของอัธยาศัยดี อาหารรสจัด ภาพบรรยากาศภายในร้าน มองออกไปเห็นทิวทัศน์ด้านนอก ด้านนี้เป็นแพที่อยู่ถัดไป อาหารที่สั่งมี ปลาคังผัดฉ่า ต้มยำปลาคัง ทานกับข้าวสวยร้อนๆ หลังอาหารมื้อกลางวัน ผมได้มีโอกาสร่วมโดยสารเรือจากแพมิตรสัมพันธ์ไปเที่ยวชมความงดงามของธรรมชาติในทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม มีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วย ชื่อ “ชาคริต” ติดตามขอลงเรือไปเที่ยวด้วย
เรือลำนี้ พาผมล่องลอย ไปตามสายน้ำ ที่เล่าเรื่องราวของตัวมันเอง ไว้อย่างชัดเจน เรื่องราวความเป็นไป วิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยผืนน้ำแห่งนี้เป็นที่พำนัก หาเลี้ยงชีพ ผมมองดูภาพชีวิตที่เป็นไปอย่างเรียบง่ายแล้วนึกถึงตัวเรา ดิ้นรนไข่วคว้าเพื่อให้ได้มา ยิ่งไกลห่างออกไปทุกที บางทีชีวิตที่พอเพียงเรียบง่ายก็เป็นสิ่งที่คนเรารอคอยมาชั่วชีวิต
ในไม่ช้าสายน้ำก็พาผมมาถึงเมืองบาดาล แหล่งท่องเที่ยวอันซีน ที่น่าสนใจ ที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของวัดวังก์วิเวการามและสังขละบุรีในอดีต ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนเขาแหลมเมื่อปี 2527 ทำให้น้ำท่วม ชาวมอญต้องย้ายถิ่นพำนักไปอยู่บนเนินเขาสูงขึ้นไป ทุกวันนี้เห็นเพียงผนังใต้หลังคาของโบสถ์ ที่โผ่ลพ้นผิวน้ำขึ้นมา ส่วนของหลังคาได้มีการรื้อออกไปแล้ว เป็นเวลานานนับกว่ายี่สิบปีแล้วที่วัดแห่งนี้จมอยู่ใต้น้ำ ทุกวันนี้ในยามฤดูแล้ง ราวเดือนเมษายนน้ำจะแห้งสามารถเดินชมพระอุโบสถได้

ห่างออกมาไม่ไกล จะเห็นส่วนหลังคาหอระฆังที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาเช่นกัน ตำแหน่งที่มีธงปักอยู่นั้นเป็นที่ตั้งของกุฏิหลวงพ่ออุตตมะเดิมครับ เมื่อก่อนช่วงหน้าแล้วผมเคยเยือนที่นี่ครั้งหนึ่ง เดินเที่ยวชมได้แต่ทุกวันนี้เหลือเพียงส่วนที่โผ่ลพ้นผิวน้ำให้เห็นเท่านั้น ระหว่างทางกลับเข้าฝั่ง จากจุดนี้สามารถมองเห็นเจดีย์แบบพุทธคยาได้ชัดเจน

หลังจากกลับเข้าฝั่ง ผมเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปตามเส้นทางนี้เพื่อสำรวจตลาดยามเย็นที่อำเภอสังขละบุรี ห่างจากที่พักไม่ไกล เพียงชั่วขณะก็ถึงตลาด หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้งก่อน มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ตรงบริเวณนี้เป็นที่ทำการไปรษณีย์ สังขละบุรี มีร้านสะดวกซื้อเกิดขึ้น เท่าที่เห็นมีสองแห่งครับ ตรงนี้อีกแห่งครับ รวมทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา สังขละบุรีแห่งนี้ อยู่ตรงข้ามกับตลาดสด ตรงนี้เป็นสถานีขนส่ง เลี้ยวเข้ามาจากถนนสายหลัก สังขละบุรี – ทองผาภูมิ เพียงนิดเดียวเท่านั้น

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตั้งใจไปเดินเที่ยวชมบรรยากาศ ของตลาดยามเช้า ที่สังขละบุรี ที่ตลาดสด คิกคักตั้งแต่เช้ามืด พ่อค้าแม่ค้านำของมาขายตั้งแต่เช้ามืด มีทั้งอาหารสด เนื้อ หมู ไก่ โดยเฉพาะปลาสดๆอย่าง ปลาแรด ปลาคัง เป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ผักสดผลไม้ก็มีขายตั้งแต่เช้า ภาพผู้คนเดินจับจ่ายซื้อหาอาหารการกิน ใส่บาตรยามเช้า เป็นชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นที่นี่ ชีวิตของผู้คนที่นี่ช่างเรียบง่ายจนน่าอิจฉาเสียเหลือเกิน คิดอยากมีชีวิตที่เรียบง่ายอย่างนี้บ้าง

ผมเดินทางกลับในช่วงสายๆ ของวันนั้น ระหว่างทางนึกถึงสถานที่ต่างๆ บนเส้นทางสายนี้ จำได้ว่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม มีสถานที่เที่ยวน่าสนใจอยู่หลายแห่งเหมือนกัน แต่ด้วยเวลาที่จำกัด คงจะแวะเฉพาะที่ที่เข้าถึงได้ง่าย อย่างที่จุดชมวิว ป้อมปี่ ขับรถออกมาจาก อ สังขละบุรี ไม่ไกลประมาณสามสิบกว่ากิโล จะมีทางแยกเลี้ยวขวาเข้าไป ประมาณหนึ่งกิโลเมตร บริเวณภายในมีลานกางเต้นท์บริการนักท่องเที่ยว จุดกางเต้นท์อยู่ริมอ่างเก็บน้ำ บรรยากาศดี ทิวทัศน์สวยงาม มีห้องน้ำสะดวก นอกจากนี้ยังมีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยว จำนวนสามหลัง ต้องทำการสำรองล่วงหน้ากับกรมอุทยานฯ ระเบียงบ้านพักสามารถชมวิวอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลมได้

ผมใช้เวลาเดินถ่ายภาพอีกสักครู่ใหญ่ ก่อนออกเดินทางต่อ ไปแวะเที่ยวน้ำตกเกริงกระเวีย แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งในเขตอุทยานฯ เขาแหลม ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 ทองผาภูมิ – สังขละบุรี ห่างจากจุดชมวิวป้อมปี่มาประมาณสิบกิโลเมตร ระยะทางจากเมืองกาญจน์น่าจะราวๆ ร้อยเจ็ดสิบกว่ากิโล บริเวณโดยรอบมีร้านค้าอยู่ไม่มาก รวมทั้งร้านกาแฟร้านนี้ ด้านขวามือที่เห็นในภาพเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จากถนนสายหลัก มีทางแยกเข้าไปน้ำตกไดช่องถ่อง อีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร แต่ต้องเดินเท้าเข้าไปถึงตัวน้ำตก น้ำตกเกริงกระเวียสามารถมองเห็นจากถนนสายหลักได้อย่างชัดเจน ได้เห็นธรรมชาติที่สวยงาม ทำให้จิตใจอิ่มเอม มีความสุขใจทุกครั้งที่ได้กลับมา ผมใช้เวลาสักครู่ใหญ่นั่งเหม่อมองดูสายน้ำที่รินใหลอยู่ชั่วขณะ พาใจล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย ภาพความทรงจำที่ดีๆในวันวานล่องลอยอยู่ในทุกหนทุกแห่งที่กลับไปเยือน เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า บางทีคนเราได้อยู่กับตัวเองนานๆ ก็ได้หลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำหล่นหายไปในห้วงแห่งเวลากลับมา ผมไม่มีวันลืมภาพดีในวันวานเหล่านั้นเลย จริงๆ

ผมเดินทางกลับบ้าน โดยที่ไม่ได้แวะที่ใดอีกเลย ทั้งๆที่มีหลายแห่งที่น่าสนใจบนเส้นทางสายนี้ น้ำตกไทรโยคใหญ่ น้ำตกไทรโยคน้อย ช่องเขาขาด ฯลฯ แต่ด้วยเวลาอันจำกัดที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กับความเบิกบานใจไปตลอดเส้นทางกลับบ้าน พร้อมที่จะไปเผชิญกับสิ่งต่างๆที่รออยู่ข้างหน้า ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย มีสุขสมหวัง มีความทุกข์ใจปนเปกันไป ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน อย่าเสียเวลากับสิ่งที่ผ่านพ้น ผมจะไม่มีวันท้อแท้หมดกำลังใจ



Create Date : 13 ธันวาคม 2550
Last Update : 13 ธันวาคม 2550 15:13:08 น.
Counter : 2330 Pageviews.

1 comments
  
แวะมาสืบข้อมูลก่อน
กำลังจะไปเสาร์นี้แล้วคับ
โดย: Title_boy วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:18:35:17 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

3KKK
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



New Comments
MY VIP Friend