คนเรามักจะรู้สึกง่วงนอนหลังจากทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จ

ดังคำกล่าวเล่นๆที่ว่า “พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน”

และโดยเฉพาะในเวลาตั้งแต่บ่ายสองโมงเป็นต้นไป

จะเป็นช่วงที่คนเราจะง่วงนอนมากที่สุด

ยิ่งถ้าเป็นคนที่ทำงานในออฟฟิศด้วยแล้ว

ก็ยิ่งมีโอกาสง่วงนอนมากกว่าคนที่ทำงานในสถานที่อื่นๆเสียอีก

เมื่อรู้สึกง่วงจึงมักพึ่งการดื่มกาแฟเพื่อกระตุ้นให้ตื่นตัว

แต่บางครั้งและกับบางคนกาแฟก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก

หากง่วงนอนแต่ยังฝืนทำงานต่อไป

นอกจากจะไม่มีสมาธิในการทำงานแล้ว

ยังอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดตลอดจนผลเสียหายต่องานอีกด้วย

ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น “การงีบหลับ” ไปเลยจะดีกว่า

การงีบหลับในช่วงบ่ายนั้นสอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย

ซึ่งได้ตั้งเวลาง่วงนอนไว้สองช่วงคือ ช่วงที่หนึ่งเวลาประมาณ 02.00 น.

และช่วงที่สองเวลาประมาณ 14.00 น.

การงีบหลับก่อนที่จะเริ่มทำงานอีกครั้งนี้เรียกว่า “เซียสต้า” (Siesta)

มาจากภาษาสเปน เป็นพฤติกรรมเก่าแก่ที่มนุษย์ทั้งในเขตร้อน

และเขตหนาวปฏิบัติกันมายาวนานนับร้อยปี อาทิเช่น ประเทศฝรั่งเศส

สเปน อาร์เจนตินา อิตาลี ลาว กัมพูชา เวียดนาม

บางส่วนของจีนและอินเดีย ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น

ในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

เหตุผลดั้งเดิมของ Siesta คือ

อากาศที่ร้อนในตอนบ่ายจนทำงานไม่ได้ต้องนอนพัก

แต่อีกเหตุผลหนึ่งจากงานวิจัยทางชีววิทยาระบุว่า

หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว น้ำตาลในอาหาร

ได้ไปกีดขวางไม่ให้เซลล์สมองได้ทำหน้าที่ผลิตโปรตีนขนาดเล็ก

ที่จำเป็นสำหรับการควบคุมสภาวะการตื่นตัวของมนุษย์

ดังนั้นจึงทำให้การตื่นตัวลดลงและเกิดอาการง่วงนอนตามมา

จึงเป็นที่มาของ Siesta และเลียนแบบกันไปในหลายพื้นที่

การงีบหลับไม่ใช่ส่งเสริมให้คนขี้เกียจ หรืออู้งาน

หรือเสียเวลาในการทำงาน แต่กลับกลายเป็นผลดีต่างๆ มากมาย

ทั้งด้านร่างกายและการทำงานดังนี้

1. เป็นการทบทวนความจำในสมอง ทำให้ระบบความจำดีขึ้น

สามารถพัฒนาความจำในระยะยาว

2. มีความตื่นตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

ส่งผลให้เกิดการรับรู้ การเรียนรู้ใหม่ๆ

การเพิ่มทักษะ และปฏิกิริยาตอบสนอง

3. สุขภาพจิตดีขึ้น รู้สึกสดชื่นขึ้น สมองปลอดโปร่ง

และช่วยปรับปรุงด้านอารมณ์

4. ช่วยลดอุบัติเหตุและข้อผิดพลาดจากการทำงาน

5. มีผลดีต่อระบบหลอดเลือดหัวใจในการช่วยลดความดันเลือด

ลดโอกาสเจ็บป่วยจากโรคหัวใจ

6. ช่วยเสริมเวลาพักฟื้นในร่างกายได้มากกว่าการนอนหลับแบบรวดเดียว

7. ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงในระยะยาว

การรับรองถึงผลดี การยอมรับ และการให้ความสำคัญเรื่องการงีบหลับ

อ้างอิงได้จาก

-บทความของ Dr.Matthew A. Tucker จากโรงเรียนการแพทย์ฮาวาร์ด

-ผลการศึกษาของ Patricia Murphy และ Scott Campbell

จาก Human Chronobiology Laboratory ในนิวยอร์ก

-Pro.Avi Karni และ Dr.Maria Korman จากศูนย์วิจัยสมองและพฤติกรรม

แห่ง University of Haifa

-เกรเกอรี่ เบเลนกี้ ศาสตราจารย์ศึกษาวิจัยและ

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการนอนหลับและปฏิบัติการ

ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตท

-การทดลองนักบิน โดยดร.มาร์ค โรสไคด์

ประธานและหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านการแก้ปัญหาการตื่นตัว

ในแคลิฟอร์เนียและอดีตผู้อำนวยการกลุ่มมาตรการรับมือความอ่อนล้า

ที่องค์การน่าซ่า

-และอื่นๆ อีกมากมาก

นอกจากการงีบหลับของคนทั่วไปแล้ว

ยังมีนักงีบตัวยงซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์

เช่น นโปเลียน โบนาปาร์ท, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์,

ลิโอนาร์โด ดาวินชี่ และคนอื่นๆ

แสดงให้เห็นว่า การงีบหลับให้ผลดีกว่าการฝืนทำงานเป็นแน่

โดยระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ Siesta คือ

ไม่เกิน 30 นาที ของช่วงเวลา 13.00 - 16.00 น.

หากเกินกว่านี้จะกลายเป็นหลับลึก

ที่พอตื่นขึ้นมาจะทำให้งัวเงียมากกว่าสดชื่น

และส่งผลต่อการนอนในเวลากลางคืน

ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นและบางประเทศทางตะวันตก

สนับสนุนการ Siesta โดยจัดให้มีห้องสำหรับงีบหลับโดยเฉพาะ

บริษัทยักษ์ใหญ่เช่น BASF และ โอเปิ้ล

ทั้งสองบริษัทก็มีห้องเฉพาะกิจให้พนักงานสำหรับการงีบหลับเช่นกัน

สำหรับคนทั่วไปสามารถงีบหลับได้ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ทำงาน

นั่งซบกับโต๊ะ นอนโซฟาในบ้าน ในรถยนต์ ฯลฯ

สำหรับประเทศไทยของเรายังไม่เป็นที่ยอมรับกัน

แต่ในอนาคตข้างหน้าเจ้าของบริษัทหรือเจ้าของกิจการต่างๆ

อาจสนใจข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาก็ได้ คงต้องรอดูกันไปค่ะ

Create Date : 11 ตุลาคม 2557
Last Update : 11 ตุลาคม 2557 22:24:07 น.		0 comments
Counter : 1223 Pageviews.
Share Tweet