|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
ตะลุยเคนยา ตามล่าบิ๊กไฟส์ ตอนที่8
เยือนเมืองนรก
ตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่นเช่นเคย ในขณะที่กำลังทานอาหารเช้าก็ได้มีการปรึกษาหารือเปลี่ยนแปลงโปรแกรมกันนิดหน่อย ว่าทางทีมงานยังได้ภาพนกฟลามิงโก้ไม่จุใจเลย เลยอยากไปถ่ายรูปนกฟลามิงโก้กันอีกครั้งหลังอาหารเช้านี้ พวกเราทุกคนก็ไม่มีใครขัดข้อง เพราะต่างอยากเห็นนกฟลามิงโก้ก่อนจากอุทยานนากุรูกันอยู่แล้ว ทางนิโคลัสนั้นดูไม่มีปัญหาอะไรแต่ดูทางคนขับรถของทีมงานจะไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่ บอกว่าโปรแกรมของเราจะคลาดเคลื่อนไปหมดและไปถึงที่พักของเราในตอนค่ำเกินไป ซึ่งภายหลังมันก็เป็นอย่างที่เค้าว่าจริงๆ
เมื่อมาถึงริมทะลสาบสีชมพูเป็นครั้งที่ 3 ดูนกฟลามิงโก้สวยงามกว่าเมื่อวานซะอีกครับ ผมว่าช่วงเช้าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการชมนกฟลามิงโก้เลย แสงแดดยามเช้าส่องลงมาที่ตัวนกมองเห็นเป็นสีชมพูอย่างชัดเจน พวกเราใช้เวลาเก็บภาพนกฟลามิงโก้กันเกือบ 2 ชั่วโมง เมื่อออกจากอุทยานนากุรู ก็มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
ตามระหว่างทางผมยังคงเห็นเด็กชาวพื้นเมืองโบกไม้โบกมือให้ ทำให้ตลอดการเดินทางของเราไม่น่าเบื่อเลย เพราะนอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว เรายังต้องคอยโบกมือตอบเด็กๆเหล่านั้นด้วย ผมรู้สึกเหมือนกำลังเป็นฮีโร่เพิ่งได้เหรียญทองโอลิมปิกกลับมา แต่เมื่อผมยื่นกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายพวกเค้า อาการที่กำลังดีใจก็เปลี่ยนเป็นความโมโหโวยวาย ชี้หน้าแล้วแบมือวิ่งไล่ตามรถขึ้นมาทันที ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีจึงเลิกถ่าย
พักใหญ่ก็เริ่มเข้าสู่เขตเมืองกันอีกครั้ง เมืองนี้ดูเป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญอยู่พอสมควร ผมมองเห็นธนาคาร ปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร มีชาวพื้นเมืองแต่งตัวดีเหมือนพนักงานออฟฟิศ ชาวบ้านบางคนก็จูงสัตว์เลี้ยงอย่างแพะ แกะ มาขาย บ้างก็นำข้าวโพด แป้งสาลี พืชผักต่างๆ ดูคึกคักไม่ต่างจากตลาดนัดบ้านเราเลยครับ เมื่อมองดูป้ายที่อยู่ข้างทางแล้วเราก็ได้รู้ว่าเราได้มาเยือนเมืองนรกแล้ว
จริงๆแล้วชื่อเมืองน่าจะอ่านว่าเมืองนาร็อค (Narok Town) แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวคนไทยมักจะเรียกกันว่าเมืองนรก นิโคลัสเลี้ยวเข้าไปเติมน้ำมันในปั๊มในเมืองนรก มีป้ายบอกราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 72 ชิลลิ่ง หรือราว 40 บาท ถูกกว่าน้ำดื่มซะอีก สาวๆในรถต้องการเข้าห้องน้ำ ขาไปก็เดินไปอยู่ดีๆแต่ขากลับนี่วิ่งกลับมาบอกว่าส้วมที่นี่โหดร้ายกับเค้ามาก จึงได้ความรู้ใหม่มาว่าในเคนยาห้องน้ำที่สะดวก สะอาดที่สุดและไม่เสียตังค์ อยู่ที่ตามร้านขายของพื้นเมือง ไม่ใช่ที่ปั๊มน้ำมัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ซื้อของเค้าก็ไม่ว่า เค้าถือว่าเป็นการบริการ
ด้านหน้ารถมีชาวมาไซเดินถือหอกยาวเดินอยู่ริมถนน แน่ใจได้ว่าเรามาเจอชาวมาไซตัวจริงเข้าแล้ว ไม่ใช่พนักงานใส่ชุดมาไซเหมือนในรีสอร์ทที่ผ่านมา เมื่อรถเคลื่อนตัวผ่านเค้าไป ก็มีเพื่อนในรถคนหนึ่งยื่นมือออกไปถ่ายรูปมาไซคนนั้นแบบจะๆ ก็ได้ยินเสียงโวยวายดังลั่น พร้อมกับเสียงเหมือนมีก้อนหินลอยมากระทบหลังคารถตู้ดัง ปัง.. หันไปดูด้านหลังมาไซคนนั้นกำลังวิ่งถือหอกตามรถพวกเรามาติดๆ มองไปข้างทางก็ดูผู้คนหยุดทำกิจกรรมอย่างอื่นแล้วหันมาสนใจภาพชาวมาไซกำลังวิ่งไล่รถเรามาติดๆ ดีที่เส้นทางพอขับไปได้ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ นิโคลัสจึงขับรถหนีออกมาได้ พร้อมกับเตือนพวกเราอย่างนิ่มๆว่าอย่าถ่ายรูปชาวมาไซและชาวพื้นเมืองข้างทางเด็ดขาด นิโคลัสก็ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนักว่าเพราะอะไร แต่ก็เดาได้ว่าคงเพราะชาวมาไซเค้าไม่ต้องการให้ใครมาถ่ายรูปโดยที่เค้าไม่ได้รับสิ่งตอบแทน หรือไม่ก็คิดว่ากล้องเราจะดูดวิญญาณเขาไม่ให้ไปผุดไปเกิดก็ไม่รู้ ใครอยากถ่ายรูปชาวมาไซผมแนะนำให้ไปถ่ายตามหมู่บ้านชาวมาไซเถอะครับ จ่ายเงินแล้วไปถ่ายรูปเค้าในหมู่บ้านจะสะดวกและปลอดภัยกว่าเยอะ
เลยจากเหตุการณ์ตื่นเต้น ที่เกือบโดนยมบาลเอาหอกทิ่มพุงที่เมืองนรก ตอนนี้เราเริ่มหิวข้าวกันแล้ว ตามแผนเราจะต้องไปทานข้าวกลางวันกันที่ Keekorok Lodge ในเขตอนุรักษ์มาไซมารา นี่ก็เกือบบ่ายโมงแล้วทีมงานก็ปรึกษาว่าเราควรทานอาหารกลางวันกันที่เมืองนรกนี่แหล่ะ คนขับรถจึงพามาจอดที่ร้านอาหารริมทาง ติดกับร้านขายของพื้นเมือง เป็นร้านอาหารขนาดเล็ก หน้าร้านมีกระดานดำที่เขียนบอกว่าเมนูในวันนี้มีอยู่อย่างเดียวนั่นคือสตูเนื้อ ข้าวก็เป็นข้าวผัดกับถั่วลันเตาและเครื่องเทศรสเลี่ยนๆ ยังดีที่ได้น้ำพริกนรกกับน้ำพริกแมงดามาช่วยให้อาหารมื้อนี้อร่อยขึ้นเยอะ พ่อครัวเห็นว่าเรากินอะไรกันก็เลยมาขอลองชิมบ้างเราก็บอกว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของบ้านเรา พอชิมเข้าไปเท่านั้นแหล่ะเจอพิษสงแมงดาของเราเข้าไปรีบวิ่งหาน้ำกันใหญ่ เดินจมูกแดงออกมายังมีหน้าบอกว่าอร่อย สังเกตดูจะรู้ว่าคนที่นี่อยากรู้อยากเห็นอยากลองกันทั้งนั้นเลย เมื่อวานที่รีสอร์ทก็ทีนึงแล้วพนักงานเรียงคิวมาขอวิสกี้จากเรากันจนเกือบหมดขวด
เมื่อทานเสร็จยังพอมีเวลาก็เลยเดินชมร้านค้าของคนพื้นเมืองที่อยู่ติดกัน ดูสินค้าแต่ละอย่างก็ไม่ต่างอะไรจากร้านที่ผ่านๆมา คนขายเค้าสนใจหมวกของผมมาก เค้าบอกให้ผมเดินไปเลือกสินค้าชิ้นไหนในร้านก็ได้เพื่อแลกกับหมวกของผม แต่ผมไม่เอาด้วย ก่อนหน้านี้ผมได้หน้ากากตั้งโชว์มาจากรีสอร์ท เมื่อลองเทียบคุณภาพดูแล้วที่ผมซื้อมาถึงจะแพงกว่าแต่ก็มีคุณภาพมากกว่าเยอะเลย ผมเห็นหินแกะสลักอันเล็กเป็นรูปฮิปโปสีฟ้าต่อราคาได้นิดหน่อยจึงซื้อมา แต่เพื่อนผมกลับซื้อมาได้ราคาถูกกว่าผม 2 เท่า มียีราฟแกะสลักอันหนึ่งผมอยากได้เค้าตั้งราคาที่ 1000 ชิลลิ่งเพื่อนผมต่อให้เหลือแค่ 200 ชิลลิ่งเท่านั้นเอง ผมเห็นชาวมาไซในชุดสีแดงอีกหลายคนเดินจับจ่ายซื้อของ เห็นได้ว่าทุกคนจะมีร่างกายที่ผอมสูงแตกต่างจากพื้นเมืองคนอื่นๆมาก ในมือถืออาวุธติดตัวกันทุกคนดูน่ากลัวจริงๆ หวังว่ามาไซที่วิ่งไล่เราคนนั้นคงไม่เดินมาเจอพวกเรา คิดแล้วก็เสียวๆ
ออกจากเมืองนรกเราก็ผ่านแม่น้ำ Ewaso Ngiro มีป้ายบอกทางไปยังเขตอนุรักษ์มาไซมาราอีก 70 กิโลเมตร ดูเหมือนไม่ไกลแต่นิโคลัสบอกว่าภายในอุทยานนั้นทางไม่ค่อยจะดี ยิ่งมีฝนตกเยอะช่วงนี้ด้วยอาจจะทำให้เราถึงช้ากว่ากำหนดมาก อากาศเริ่มรู้สึกเย็นขึ้น เส้นทางเริ่มไต่ระดับสูง ผมลองเช็คนาฬิกาที่ข้อมือดูก็มีความสูงถึง 2,000 เมตรเลยครับ อุณหภูมิในช่วงบ่ายๆอยู่ที่ 20 องศาเซลเซียส ธรรมชาติด้านนอกสวยงามจนเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการเอาไว้ว่านี่คือแอฟริกา ดูไม่ต่างจากเส้นทางถนนภาคเหนือบ้านเราเลย มีภูเขาน้อยใหญ่สลับกัน มีต้นไม้ขึ้นเขียวขจี บางช่วงถนนแคบรถก็ชลอลัดเลาะไปตามขอบเหวดูหวาดเสียวดี จากบรรยากาศเชิงเขาก็ลงมาสู่ที่ราบ ทางเริ่มแย่ลงเรื่อยๆบวกกับฝนที่ตกลงมาในตอนกลางคืน ทำให้การเดินทางลำบากขึ้นไปอีก รถของเราลื่นไถลจะออกนอกถนนอยู่หลายครั้ง แต่ก็พอทรงตัวอยู่ได้ ก็ต้องขอบคุณนิโคลัสที่ควบคุมรถได้อย่างชำนาญ ในตอนนี้เริ่มเห็นชาวมาไซเยอะขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าเราเริ่มที่จะเข้าเขตหมู่บ้านของชาวเผ่ามาไซ และใกล้เขตอนุรักษ์มาไซมาราเข้าไปทุกทีแล้วครับ
Create Date : 29 ตุลาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2552 15:11:03 น. |
Counter : 481 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: moccachan วันที่: 29 ตุลาคม 2552 เวลา:16:45:54 น. |
|
| |
|
Devilkae |
|
|
|
|