OUR LIFE IS SIMPLY A REFLECTION OF OUR ACTIONS. IF YOU WANT MORE LOVE IN THE WORLD, CREATE MORE LOVE IN YOUR HEART!!
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
“เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ “เตี่ย”!!! (ภาค 1)

…..ก่อนที่จะผันชีวิตมาเป็น “เลขาฯ ตัวแสบ!”
ฉันเริ่มทำงานกับญาติเป็นครั้งแรกตอนอายุประมาณ 15-16 ขวบ
และทำที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งจนอายุ 20 จึงได้เริ่มต้นอาชีพเลขาฯ ตั้งแต่บัดนั้น
ฉันจะเล่ารายละเอียดการทำงานในช่วงต้น ๆ พร้อม ๆ กับประวัติการทำงานทั้งหมดในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่ง

ตอนที่ฉันแอบไปสมัครงานใหม่เป็น Junior Secretary ในบริษัทฯ ส่งออกอัญมณี
ฉันยังทำงานอยู่กับบริษัท Re-Insurance Broker แห่งหนึ่ง
ฉันยังจำวันที่ฉันมาสัมภาษณ์กับบริษัทส่งออกอัญมณีแห่งนี้ได้ดี
M.D. ที่นี่เป็นชาวจีนสัญชาติอเมริกัน อายุประมาณ 60 ปี
รูปร่างสูงใหญ่ประมาณสัก 190 ซม. เห็นจะได้ ท่าทางภูมิฐานใจดี
และเป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษกับนายจ้างท่านนี้
ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก!!
ระหว่างการสัมภาษณ์ M.D. ก็บอกฉันว่าเขาเป็นเพื่อนกับนายจ้างที่บริษัทประกันที่ฉันทำอยู่
Oops!! จุดใต้ตำตอซะแล้วซิเรา!
และบอกว่าหากฉันสนใจงานที่นี่และพร้อมจะทำงานกับเขาและถ้าฉันไม่ขัดข้อง
เขาก็จะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนซึ่งเป็นนายจ้างปัจจุบันของฉันเพื่อแจ้งเรื่องที่ฉันมาสมัครงาน
และขออนุญาตรับฉันเข้าทำงานด้วย
ฉันตอบตกลงและเขาก็โทรศัพท์หานายจ้างของฉันต่อหน้าฉัน
แต่คุยกันเป็นภาษาจีนกลางซึ่งฉันฟังได้เล็กน้อย
จากนั้น M.D. ก็แจ้งกับฉันว่าได้คุยกับนายจ้างของฉัน
ซึ่งไม่ขัดข้องที่จะให้ฉันลาออกมาทำงานที่นี่ได้
จากนั้นจึงตกลงเรื่องเงินเดือนและขอให้ฉันมาเริ่มทำงานภายในสัปดาห์หน้าได้ไหม
ฉันตอบว่าไม่ได้หรอกเพราะฉันคงต้องกลับไปยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ
และให้เวลาบริษัทในการหาคนใหม่มาแทนฉันด้วยซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วฉันก็ลากลับ

ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเรียนวิชาการเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ หรือ Business Correspondence
กับครูชาวมาเลเซียซึ่งสอนให้เขียนจดหมายขอบคุณทุกครั้งหลังการสัมภาษณ์
ฉันก็ได้นำความรู้ที่ครูสอนมาใช้อีกครั้งหนึ่งในวันนั้น
ถึงแม้ว่านายจ้างใหม่จะตอบรับฉันเข้าร่วมงานตั้งแต่วันแรกที่สัมภาษณ์
ซึ่งฉันก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเขียนอะไรเพื่อเรียกคะแนนเพิ่ม
แต่ฉันก็ยังอยากจะเขียน
โดยเนื้อหาในจดหมายฉันได้เขียนถึงความประทับใจที่ได้พูดคุยกับนายจ้างใหม่
ขอบคุณสำหรับโอกาสในการเข้าสัมภาษณ์
และโอกาสที่ให้ฉันเข้าทำงานในบริษัท
พร้อมกับให้คำมั่นว่าฉันจะรีบสะสางงานที่บริษัทเดิมให้เรียบร้อยเพื่อไปเริ่มงานตามนัดหมาย
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับจดหมายตอบจากนายจ้างคนใหม่
โดยข้อความในจดหมายกล่าวว่ายินดีที่ได้ฉันเข้ามาร่วมงานกับบริษัท
ซึ่งจากการพูดคุยและการแสดงออกของฉัน
เขามั่นใจว่าฉันเป็นคนดีและฉันจะต้องประสบความสำเร็จและมีอนาคตที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย

WoW! นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มงานนายจ้างคนใหม่ของฉันยังใช้คำพูดที่ทำให้ฉันปลื้มมาจนถึงทุกวันนี้
แต่คุณรู้ไหมว่านายคนนี้เป็นผู้ที่ฉันมีความผูกพันธ์ทางด้านจิตใจ
จากสิ่งที่ฉันได้ถูกอบรมบ่มสอนซึ่งส่งผลต่อวิถีการดำเนินชีวิตของฉันจากวันนั้นจนถึงวันนี้มากที่สุด
นายท่านนี้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งมีจริยธรรมและความสุขุมรอบคอบในการทำธุรกิจอย่างน่ายกย่อง
ท่านใช้หลักการบริหารบุคลากรและปกครองพนักงานเหมือนพ่อปกครองลูก
พนักงานทุกคนในบริษัทจะเรียกท่านว่า “เตี่ย”

ช่วงที่ฉันเข้าไปทำงานกับเตี่ยใหม่ ๆ เทคโนโลยี่ต่าง ๆ ยังไม่ทันสมัยเหมือนตอนนี้
การจ่ายเงินเดือนไม่ได้ผ่านธนาคารแต่ใส่ซองเป็นเงินสดแทน
และทุก ๆ สิ้นเดือนในวันจ่ายเงินเดือนเตี่ยจะจัดให้มีการประชุมพนักงานซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 50-60 คน
เตี่ยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงพูดคุยให้ความรู้และพูดถึงปัญหางานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
และเล่าเรื่องประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เตี่ยพบเจอให้พวกเราฟังพร้อมกับจบลงด้วยการแจกซองเงินเดือน
ฟังดูแปลก ๆ นะแต่พวกเราก็ชินและรู้สึกดีเพราะในวินาทีที่เตี่ยยื่นซองเงินเดือนให้พนักงานนั้น
เตี่ยยื่นซองเงินเดือนให้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขด้วยการแสดงออกที่เหมือนกับจะบอกว่า
นี่คือรางวัลสำหรับความทุ่มเทและความขยันหมั่นเพียรในการทำงานด้วยความเหนื่อยยากของพวกเราทุกคน
เป็นภาพที่น่าประทับใจและยังอยู่ในความทรงจำของฉันมิรู้ลืม!

นอกจากวันออกเงินเดือนแล้ว ทุก ๆ วันเสาร์ซึ่งพนักงานต้องทำงานครึ่งวันเช้า
เตี่ยก็จะเรียกประชุมเพื่อพบปะพูดคุยกับพนักงานทุกเสาร์ด้วยเช่นกัน
การบริหารในลักษณะนี้ทำให้พนักงานเกิดความใกล้ชิดกับนายจ้าง
เกิดความรู้สึกจงรักภักดี เกิดทีมงานที่แข็งแกร่ง และรักองค์กร
ทำให้อัตราการลาออกน้อยมาก และที่สำคัญที่เป็นประโยชน์กับเหล่าพนักงานเช่นฉันก็คือเตี่ยจะพูดเป็นภาษาอังกฤษ
เพราะถึงแม้เตี่ยจะอยู่เมืองไทยมานานนับ 20 ปีแต่เนื่องด้วยลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ
และพนักงานที่คัดเลือกเข้ามาทำงานในบริษัทจำเป็นต้องมีความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง
จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เตี่ยไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดภาษาไทยเหมือนภรรยาและลูก ๆ ของเตี่ย
ที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วกันทุกคน
ผลพลอยได้ที่ได้รับก็คือพวกเราต่างได้ซึมซับและทำให้หูกระดิกสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องไปเรียนพิเศษให้เสียตังค์
แถมพนักงานคนใดของเตี่ยถ้าไปสมัครงานกับคู่แข่งก็จะไม่ผิดหวัง
เพราะจะได้รับการพิจารณาก่อนเพื่อนด้วยเงินเดือนค่าตอบแทนที่สูงขึ้น
เพราะใครที่มาจากเตี่ยจะได้รับการการันตีเรื่องคุณภาพอย่างอัตโนมัติด้วยมั่นใจว่า
บริษัทเตี่ยเปรียบเหมือนสถาบันฝึกอบรมพนักงานที่ดีเยี่ยมแห่งวงการเลยทีเดียว

นอกจากคุณธรรมในการปกครองคนและจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจที่ฉันได้เรียนรู้และซึมซับจากเตี่ยแล้ว
ผลพลอยได้โดยตรงสำหรับฉันที่ได้เรียนรู้จากเตี่ยนอกเหนือจากการพูดและฟังภาษาอังกฤษ
โดยไม่ต้องเข้าไปเรียนในสถาบันการศึกษาให้เสียเวลาและเสียเงินแล้วก็คือ
การเขียนภาษาอังกฤษ เพราะเตี่ยไม่ได้ใช้ Computer เองเหมือนผู้บริหารทั่ว ๆ ไป
ดังนั้นจดหมายทุกฉบับ รวมทั้งการทำบันทึกต่าง ๆ ทั้งถึงลูกค้า
ส่วนราชการทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงผู้บริหารภายในองค์กร
ทั้งเรื่องที่เป็นทางการและเรื่องลับเฉพาะส่วนตัว
เตี่ยจะบอกเล่า (Dictation) โดยฉันจะ take short hand หรือจดเป็นชวเลข
แล้วพิมพ์ร่างให้เตี่ยพิจารณาก่อนส่งออกไปทุกครั้งเสมอ
บางครั้งฉันต้องมานั่งจดแผนธุรกิจที่เตี่ยต้องส่งให้หุ้นส่วนหรือส่วนราชการในต่างประเทศพิจารณา
ฉันได้เรียนรู้ทั้งภาษาและเนื้อหาในสิ่งที่เตี่ยต้องการสื่อสารในหลากหลายรูปแบบ
และผลพลอยได้ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือวิธีคิด และความเข้าใจคนและวิธีการสื่อสารกับคน
การอ่อนน้อมถ่อมตน การให้เกียรติและเห็นคุณค่าของคนทุกระดับชั้น
ฉันเรียนรู้จากเตี่ยเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในหลาย ๆ แง่มุม
ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้จากเตี่ยได้หล่อหลอมให้ฉันเป็นฉันในวันนี้
เตี่ยให้อนาคตที่ดีแก่ฉัน…เตี่ยเปรียบเหมือนพ่อคนที่ 2 ของฉัน
และเตี่ยยังได้ทำหน้าที่แทนคุณพ่อของฉันในหลายโอกาสซึ่งฉันจะได้กล่าวถึงต่อไป
นอกจากนั้นเตี่ยได้กรุณาเป็นเจ้าภาพงานศพบุคคลอันเป็นที่รักของฉันถึง 3 โอกาสด้วยกัน

อีกการกระทำหนึ่งที่เตี่ยสามารถซื้อใจฉันและพนักงานทุกคนให้รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากจนเกิดความจงรักภักดีกับบริษัทก็คือ
ทุก ๆ วันเกิดของเตี่ยพวกเรามักจะได้รับของขวัญจากเตี่ยติดไม้ติดมือกลับบ้านเสมอ
อย่างเช่นในปีที่เตี่ยอายุครบ 60 ปีเตี่ยก็จะให้พนักงานที่มีคุณพ่อคุณแม่อายุ 60 ปีขึ้นไป
รับซองบรรจุเงินกลับบ้านเพื่อมอบให้กับคุณพ่อคุณแม่เพื่อความเป็นศิริมงคล
และมีอยู่ปีหนึ่งในวันเกิดเตี่ยเช่นกันคุณแม่ของฉันได้รับรางวัลจากเตี่ยในฐานะ “คุณแม่ดีเด่น”
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากวันหนึ่งฉันและเพื่อนร่วมงานหลายคนได้ติดตามเตี่ยพาลูกค้าไป entertain โดยการไป dinner ด้วยกัน
ขากลับบ้านเตี่ยให้คนขับรถไปส่งฉันที่บ้านก่อนโดยมีเตี่ยนั่งไปด้วยทั้งที่จากร้านอาหารไปบ้านเตี่ยใกล้กว่า

คืนนั้นฝนตกพรำ ๆ และฉันไม่สามารถติดต่อทางบ้านได้ว่าจะกลับถึงบ้านกี่ทุ่ม
ในขณะที่รถของเตี่ยกำลังจะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่
สิ่งที่เตี่ยและฉันพบหน้าทางเข้าหมู่บ้านก็คือภาพที่คุณแม่ของฉันกำลังถือร่มกันฝนพร้อมกับน้องสาวอีกคนหนึ่ง
ยืนคอยการกลับบ้านของฉัน…นานนับชั่วโมง!
เป็นภาพที่แสดงถึงความรักความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูกถึงแม้จะโตจนทำงานและดูแลตัวเองได้แล้ว
(ขอ break ไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาก่อนนะ!)
เป็นภาพที่เตี่ยคงมองว่าเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยลงในปัจจุบัน….
มีอีกโอกาสหนึ่งเป็นช่วงที่คุณแม่ของฉันป่วยอยู่โรงพยาบาล เตี่ยและคุณแม่ (ภรรยาของเตี่ย)
ได้กรุณาให้เกียรติไปเยี่ยมคุณแม่ของฉันถึงโรงพยาบาลทั้งที่ตอนนั้นฉันได้เนรคุณเตี่ยด้วยการทิ้งเตี่ยไปทำงานที่อื่นแล้ว!!!



เนื่องจากอัญมณีเป็นธุรกิจส่งออกที่ลูกค้าจะเป็นชาวต่างประเทศทั้งหมด
ฉันจึงมีโอกาสติดตามเตี่ยและพนักงานขายเจ้าของบัญชีลูกค้าพาลูกค้าไปรับประทานอาหารบ่อย ๆ
มีลูกค้ารายหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นซึ่งภายหลังกลายเป็นเพื่อนและเหมือนญาติสนิทของเตี่ย
ฉันก็พลอยเป็นที่โปรดปรานของลูกค้ารายนี้ซึ่งฉันเรียกว่า “Uncle”
Uncle มีอายุรุ่นราวเดียวกับเตี่ย และจะต้องเดินทางมาซื้ออัญมณีที่บริษัทปีละหลาย ๆ ครั้ง
และทุกครั้ง Uncle จะซื้อเสื้อผ้าสไตล์สาวญี่ปุ่นเป็นโหลมาแจกสาว ๆ ในที่ทำงานรวมทั้งตัวฉันด้วยเสมอ
หลังเลิกงานเตี่ยและ Uncle มักจะให้ฉันและพนักงานขายที่ดูแล Uncle ติดตามไปรับประทานอาหารเย็นด้วยเสมอ
และจากนั้นเตี่ยก็จะปล่อยให้ Uncle แยกตัวไปเที่ยวสำมะเลเทเมาต่อตามประสาผู้ชายกับสาว ๆ ในผับแถวพัฒน์พงศ์เอง….

เนื่องจาก Uncle พูดภาษาอังกฤษได้คล่องฉันจึงไม่มีปัญหาที่ต้องสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่นกับ Uncle
แต่เพื่อเป็นการประจบสอพลอกับ Uncle ฉันได้พยายามเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นที่จำเป็นบางคำ
มาใช้พูดสื่อสารเป็นที่ถูกอกถูกใจของ Uncle เป็นอย่างมาก
ถึงแม้จะเป็นที่โปรดปรานของ Uncle ฉันก็รู้ว่าบ่อยครั้งที่ Uncle ไม่ค่อยปลื้มฉันสักเท่าไร
เพราะ Uncle คนนี้เองที่เป็นผู้ที่ตั้งฉายาของฉันต่อเตี่ยและเพื่อนร่วมงานว่าเป็น “Stone Head!”
แปลเป็นไทยว่า “หัวหิน”?
Oops! “ไม่ใช่”
จริง ๆ แล้ว Uncle ต้องการจะสื่อว่าฉันเป็นคน “หัวดื้อ” ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่า Uncle พิจารณาจากอะไร
ฉันลองมาคิดทบทวนดูแล้วก็เป็นไปได้ว่า ฉันไม่ค่อยเชื่อฟัง หรือรับฟังความคิดเห็น
หรือทำตามในสิ่งที่ Uncle หรือกระทั่งเตี่ย หรือใคร ๆ ก็ตามต้องการ
แต่สำหรับตัวเอง…ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเอง “หัวดื้อ” สักหน่อย
แต่ฉันคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้ฉันเห็นด้วยหรือคล้อยตาม
ในสิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการต่างหากฉันจึงไม่ได้ทำตาม
แล้วอย่างนี้จะมาหาว่าฉัน “หัวหิน” เอ๊ย…. “หัวดื้อ” ได้ไง?
แต่รู้ไหมว่า Uncle ผู้นี้เป็นอีกท่านหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ซึ่งฉันจะเล่ารายละเอียดในตอนต่อไป

ปกติเตี่ยมักจะต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ๆ ละเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
ซึ่งเป็นเหตุให้ฉันว่างจนสมองเกือบโดนสนิมเกาะกิน
ทำให้สาวไฟแรงสูง…เอ๊ย…สาวทำงานที่ต้องการงานที่ท้าทายตลอดเวลาอย่างฉันเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย
และต้องยื่นใบลาออกหลายครั้งแต่ก็ถูกเตี่ยปฏิเสธทุกครั้ง
ครั้งหนึ่งฉันบอกเหตุผลเตี่ยว่าฉันอยากไปหางานทำที่ต่างประเทศ
เตี่ยบอกถ้าฉันอยากไปต่างประเทศจริง ๆ เตี่ยก็จะให้ฉันไปดูงานกับบริษัทที่เตี่ยมีหุ้นส่วนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น
หุ้นส่วนเตี่ยเป็นอเมริกันเกิดในญี่ปุ่นและทำธุรกิจ Computer software โดยการรับเขียน program ต่าง ๆ
เตี่ยให้ฉันไปดูงานโดยไม่มีกำหนดจนกว่าฉันจะเบื่อและให้ฉันไปพักกับญาติของ Uncle ซึ่งสามีเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน
ฉันตั้งเป้าว่าจะไปอยู่สัก 3 เดือนเป็นอย่างน้อยเพราะฉันมีที่พักฟรี
ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เตี่ยอนุญาตให้สามารถเบิกได้ตามจริงทั้งหมด (สงสัยต้องการจะทดสอบและวัดใจฉัน)
บ้านพักของญาติ uncle อยู่ไม่ห่างจากที่ทำงานของหุ้นส่วนเตี่ยและฉันสามารถขี่จักรยานไปได้
ทุกเช้าฉันจึงขี่จักรยานไปที่ทำงานนั่งดูพวกเขาทำงานในบรรยากาศแบบญี่ปุ่นผสมฝรั่งเพราะหุ้นส่วนของเตี่ยหน้าฝรั่งแต่พูดญี่ปุ่น
ที่นี่เป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่มีพนักงานไม่ถึง 10 คน
ส่วนใหญ่ฉันจะไปนั่งดูและเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ที่เหล่าพนักงานสร้างกันขึ้นมา
ตอนนั้นฉันได้รู้จักกับพนักงานสาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจาก USA
และได้ทราบข้อมูลมาว่าเธอได้รับเงินเดือน ๆ ละ 120,000 Yen
คิดเป็นเงินไทยน่าจะประมาณ 40,000 บาท ?
โห…สูงมากสำหรับคนเพิ่งจบใหม่เมื่อเทียบกับบ้านเรา
แต่อย่าไปอิจฉาเขาเลยเพราะค่าครองชีพของเขาสูงมากกกกก

ไปอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ก็มีเพื่อนอีกคนจากบริษัทที่เตี่ยส่งมาเยี่ยมลูกค้าซึ่งรวมทั้ง Uncle ด้วย
Uncle พาเราไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ พอถึงเวลาอาหาร Uncle ภูมิใจเสนอต้นตำหรับอาหารญี่ปุ่นจากร้านหรูราคาแพง
ชิมปลาดิบได้ชิ้นเดียวฉันก็ “อ๊วก” ต่อหน้า Uncle ให้เห็นเป็นที่เสียอารมณ์แก่ Uncle เป็นอย่างมาก
ฉันรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้!
จากนั้นได้พยายามฝึกกินเจ้าปลาดิบและข้าวปั้นหน้า Sushi ต่าง ๆ จนเดี๋ยวนี้ break อาการอยากด้วยอะไรก็ไม่อยู่

ช่วงที่เพื่อนจากเมืองไทยมาอยู่เป็นเพื่อนและพักกับญาติของ Uncle เช่นกันนั้น
มีอยู่คืนหนึ่งฉันเกือบช๊อกตายและนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน
เพราะห้องนอนของชาวญี่ปุ่นจะไม่มีกลอนประตู
แถมประตูยังบอบบางเป็นกระดาษในกรอบไม้สี่เหลี่ยมที่แค่เอาใบมีดมากรีดก็ทะลุแล้ว
คืนนั้นฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีเสียงดังกร๊อกแกร๊กบนพื้นในห้องที่ฉันนอนอยู่และเตียงก็โยกเยกให้รู้สึก
เปล่า…ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาทำมิดีมิร้ายกับฉันหรอก
เพราะญาติ uncle เป็นหญิงม่ายและพักกับลูกสาววัย 4-5 ขวบอีกคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ที่ฉันต้องกลัวจนหัวโกร๋นเพราะว่าสามีของเธอที่เพิ่งเสียชีวิตไม่กี่เดือนก็เป็นลูกค้าของบริษัทที่ฉันก็รู้จักซะด้วย
ฉันคิดว่างานนี้ฉันคงโดนผีญี่ปุ่นเล่นงานซะแล้ว!!!
สงสัยมาเผลองีบหลับไปอีกทีตอนใกล้สว่าง
พอตื่นขึ้นมาเจ้าของบ้านเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
เธอกล่าวทักทายสวัสดีตอนเช้าเป็นภาษาญี่ปุ่นพร้อมกับถามว่า
“เมื่อคืนรู้ไหมว่าเกิดแผ่นดินไหว?” !!!!!!!

เพื่อนที่บริษัทฯ มาอยู่ได้หนึ่งสัปดาห์ก็ได้เวลากลับ
ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกา
ที่ฝันหวานว่าจะอยู่ให้หนำใจตามที่เตี่ยไฟเขียวสงสัยจะเป็นหมันซะแล้ว
อยู่ได้เดือนเดียวฉันก็เผ่น…เอ๊ย…เดินทางกลับเพราะเริ่มคิดถึงบ้านและเบื่อ
ขากลับแวะเที่ยวเกาหลีอีก 3-4 วันและเกิดอาการ “อ๊วก” อีกระลอก!!
อ๊ะ…อ๊ะ…คิดอะไรกันอีกแล้ว…ไม่ได้แพ้ท้อง…ยังไม่ได้แต่งงานจะแพ้ท้องได้งัยล่ะ?
สาเหตุเพราะฉันเข้าไปสั่งอาหารเกาหลีในร้านแห่งหนึ่งข้าง ๆ โรงแรม Seoul (something จำไม่ได้แล้ว)
ดูรายการอาหารแล้วมึน…แต่ยังไม่ได้เวลาอ๊วก…
พอเหลือบไปเห็นรายการหนึ่งที่อ่านว่า “Noodle….”
เอาล่ะ (วะ) ลองกินก๊วยเตี๋ยวเกาเหลา…เอ๊ย…เกาหลีดูดีกว่า
คงจะคล้าย ๆ กับ Ramen ของญี่ปุ่นที่ฉันโปรดปราน
พอพนักงานนำชามก๊วยเตี๋ยวมาเสริฟฉันเกิดอาการเหมือนไก่ตาแตก
เพราะก๊วยเตี๋ยวที่ว่าเสริฟในชามสแตนเลสใบโต
เมื่อพนักงานเสริฟเดินจากไปฉันค่อย ๆ เอานิ้วไปแตะข้างชาม
แล้วต้องรีบชักมือกลับทันที!
นิ้วของฉันไม่ได้พองเพราะความร้อนของชามหรอก
แต่มันเย็นนนนนนนนนนน…..วุ๊ยยยยยยยยยยยยยยย!!
ก๊วยเตี๋ยวเย็นใส่น้ำแข็งหรือเนี่ย!
ฉันคิดว่าไหน ๆ ก็สั่งมาและต้องเสียเงินแล้วและราคาก็ถูกที่ไหนกัน
ฉันก็ลองป้อนตัวเองดู…แล้วก็อ๊วกแตกตรงนั้นเลย!!

พอกลับมาถึงบ้านเกิดก็กลับเข้าไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อด้วยความสำนึกในบุญคุณของเตี่ย
ฉันทำงานต่อด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ได้สักพักหนึ่งก็เกิดอาการเบื่ออีกแล้ว
พอดีช่วงนั้นบริษัทฯ กำลังขยายตัวและต้องรับคนงานเข้ามาเจียระนัยพลอยจำนวนหนึ่ง
เตี่ยไม่อยากเสีย (คนดี ๆ?) อย่างฉันไปจึงยอมเสกเลขาฯ ให้ไปเป็นผู้จัดการบุคคล
และให้ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของลูกชายเตี่ย
ในฐานะผู้จัดการบุคคลหน้าที่หนึ่งของฉันคือการสัมภาษณ์และคัดเลือกบุคลากรเข้ามาทำงาน
ช่วงหนึ่งฉันต้องสัมภาษณ์พนักงานระดับคนงานสำหรับโรงงานเจียระไนยพลอยของเตี่ย
การสัมภาษณ์และการได้เห็นและคลุกคลีกับชีวิตของคนอีกระดับหนึ่งที่ฉันไม่เคยรับรู้มาก่อน
ทำให้ฉันได้เห็นสัมผัสถึงชีวิตที่ลำบากแร้นแค้นและแสนรำเค็ญ
ในสังคมของเรายังมีชีวิตแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?
ฉันรู้สึกสงสารจนกลายเป็นความเครียด
เครียดที่ฉันไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้
เพราะฉันไม่สามารถรับทุกคนเข้ามาทำงานได้ทั้งหมด

นอกจากนี้การเป็นผู้จัดการบุคคลเปรียบเสมือนไส้แซนวิชที่ถูกประกบด้วยขนมปัง 2 แผ่น
แผ่นบนคือนายจ้างแผ่นล่างคือพนักงาน
ผู้จัดการบุคคลต้องรับนโยบายจากขนมปังแผ่นบนเพื่อนำไปปฏิบัติ
หากนโยบายดังกล่าวไม่เป็นที่ถูกใจของพนักงานก็จะถูกขนมปังแผ่นล่างอัดกลับ
ผู้จัดการบุคคลจึงอยู่ในสภาพของไส้แซนวิชที่ถูกอัดทั้งขึ้นทั้งล่อง
ทีนี้คนทำงานรู้กันหรือยังล่ะว่าชีวิตของผู้จัดการบุคคลน่าเห็นใจแค่ไหน?
ถ้ายังไม่รู้อีกก็ลองมาเป็นเองดูสักตั้งไหมล่ะ?

อีกปัญหาหนึ่งที่ฉันพบในฐานะผู้จัดการบุคคลก็คือการทำเรื่องให้คนที่มีปัญหาออกจากงาน
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ลูกชายเตี่ยเพิ่งเข้ามาบริหารงานและกำลังอยู่ในช่วงร้อนวิชา
และได้มีการพยายาม Reorganize องค์กรพร้อมกับการคัดคนที่มีปัญหาและไม่มีคุณภาพออก
การทำเรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของฉันและฉันรู้สึกว่าตัวเองใจไม่แข็งพอที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้
ตอนนั้นฉันก็มาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปทำงานเป็นเลขาฯ ของเตี่ยได้อีกเพราะเตี่ยมีเลขาฯ คนใหม่แล้ว
และเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเครียดและไม่สบายใจมากก็คือ
ฉันไม่ชินกับวิธีการบริหารของลูกเตี่ยที่ฉันรู้สึกว่าไม่ได้ใช้ใจ (พระคุณ) ในการบริหารแบบเตี่ย
แต่ใช้อำนาจและความเด็ดขาด (พระเดช) แบบฝรั่งในการบริหาร

ทำได้เพียงปีเศษฉันก็ตัดสินใจลาออกด้วยความรู้สึกที่เศร้าและเสียใจเป็นที่สุด
โดยที่ไม่ว่าเตี่ยจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ฉุดรั้งฉันไว้ไม่อยู่แล้ว
เมื่อลูกเตี่ยถามฉันว่า ฉันลาออกเพราะเขาหรือ ฉันบอกเขาว่าไม่ใช่
แต่กับเตี่ยหรือคุณพ่อของเขา ฉันกลับบอกว่าฉันทำงานร่วมกับเขาไม่ได้
เขาโกรธเคืองฉันมากถึงขนาดชี้หน้าพูดกับฉันก่อนออกว่า
“คุณ DestinyHurtsMe คุณทำกับผมแบบนี้ ผมจะจำไว้ตลอดชีวิต”
ฉันยังจำคำพูดของเขาได้ดีจนถึงวันนี้
เพราะเขาโกรธมากที่เตี่ยไปตำหนิเขาว่าเป็นเหตุให้ฉันลาออก…..!!!

//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6174623/B6174623.html


โปรดติดตาม “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ “เตี่ย”!!! (ภาค 2)

อ่านเรื่องราว “เลขาฯ ตัวแสบ!” ว่าความแสบที่เธอทำไว้กับลูกชายเตี่ยจะได้รับการตอบโต้อย่างไรหลังจากเธอ Come Back กลับมาซบอกเตี่ยใหม่เป็นครั้งที่ 2 แล้วทำไมต้องเธอต้อง Come Back???


ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว:


(1) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน.....วันที่ฉันถูกเลิกจ้าง!!!
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6083075/B6083075.html

(2) “เลขาฯตัวแสบ!” ตอน.....แสร้งไปทำงานตามปกติ!!!
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6085280/B6085280.html

(3) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....พบทนายความเรื่อง "การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม" พร้อมกับการได้รับ "เงินชดเชย" เกือบแสน!!!
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6095870/B6095870.html

(4) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....วันสัมภาษณ์กับ 12 วันก่อนถูกเลิกจ้าง!!!
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6105777/B6105777.html

(5) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....ชีวิตหลังการตกงาน
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6110725/B6110725.html

(6) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....เย้…! ในที่สุดฉันได้งานใหม่แล้ว!!! ภาค 1
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6125583/B6125583.html

(7) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....เย้…! ในที่สุดฉันได้งานใหม่แล้ว!!! ภาค 2
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6131814/B6131814.html

(8) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... 4 เดือนระทึกกับช่วงทดลองงาน!!!
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6136610/B6136610.html

(9) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ “CEO” เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค 1)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6152716/B6152716.html

(10) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ “CEO” เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค 2)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6159240/B6159240.html

(11) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ “CEO” เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค3)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6170648/B6170648.html



ตอนต่อไป:

“เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ “เตี่ย”!!! (ภาค 2)



Create Date : 27 ธันวาคม 2550
Last Update : 31 ธันวาคม 2550 11:44:22 น. 9 comments
Counter : 856 Pageviews.

 
ได้มาอ่านคนแรกหรือเปล่าคะ ดีใจจังเลย เปิดคอมมาก็ได้เห็นเลยรีบเข้ามาอ่านเลยค่ะ.. เสียดายจังนะคะ ที่ไม่ได้ทำงานกับนายจ้างอย่างเตี่ยอีกแล้วเนอะ...อ่านแล้ว สนุกนะคะ แล้วก็ชอบการบริหารใจคนมากเลย จะติดตามตอนต่อไปอย่างแน่นอนค่ะ



สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้สุขภาพแข็งแรง มีแต่สิ่งดีดีเข้ามาและมีความสุขมากๆ ค่ะ.




โดย: ฟ้าสวยมาก วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:2:03:22 น.  

 
ชอบการดูแลลูกน้องของ เตี่ย มากมากเลยครับ


โดย: แมท (everything on ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:7:35:55 น.  

 
สนุกจัง น่าสนใจมาก

ขอแอดบล็อกไว้อ่านตอนหยุดปีใหม่เลยละกันนะคะ



โดย: หยุ่ยยุ้ย วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:8:08:06 น.  

 
อ้าวคุณ ฟ้าสวยมาก นั่นเอง
ไหงวันนี้มาอ่านและเม้นท์ใน blog แทนกระทู้เสียล่ะ?

ขอบคุณสำหรับคำอวยพรและภาพน่ารัก ๆ
และขอให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับคุณ ฟ้าสวยมาก และครอบครัวในปีใหม่นี้และตลอดไปด้วยนะ

:D


โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:15:37:06 น.  

 
คุณแมท (everything on)

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและแสดงความเห็น
ถ้าชอบเตี่ยก็อย่าลืมติดตามภาค 2 ต่อเร็ว ๆ นี้

:D


โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:15:40:21 น.  

 
คุณ หยุ่ยยุ้ย

ขอบคุณที่สนใจติดตามอ่านและยินดีที่จะแอดบลอกไว้อ่านตอนหยุดปีใหม่
แล้วจะไม่ไปเที่ยวที่ไหนเลยเหรอ?

สุขสันต์วันปีใหม่


โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:15:42:59 น.  

 
อยากให้ถึงตอนใหม่เร็วๆจัง จะได้ป่วนอีก เฮ้ยไม่ใช่

ชอบการเขียนของเจ๊จัง อ่านง่าย สนุก มีสาระ


โดย: รักนะแต่ไม่แสดงออก วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:23:49:50 น.  

 
อ่านแล้วน่าคิดดีนะคะ ชนิดคุณมันส์ไม่ใช่เล่นนะนี่ สู้ๆ
เขียนให้อ่านอีกนะคะ Happy Ney Year 2008 ค่ะ


โดย: SweetYorkie วันที่: 28 ธันวาคม 2550 เวลา:9:25:55 น.  

 
อ่านแล้วซึ้งใจค่ะ เรื่องที่คุณแม่ยืนรอตอนฝนตก น่ารักมากๆ T_T ซึ้งน้ำตาท่วมจอเลย อิ อิ

แล้วก็ประทับใจเรื่อง เตี่ย เป็นนายในฝันเลยนะคะเนี่ย
เคยมีหัวหน้าคนหนึ่งค่ะ สัมผัสได้เลยถึงความใจดี และวิสัยทัศน์ รู้สึกได้เลย
หัวหน้าแบบนี้ดีนะคะ สร้างอำนาจด้วยใจ สิ่งที่ได้กลับไปก็คือใจของพนักงาน ^_^ แน่นอนว่าการทำงานให้ด้วยใจ ย่อมดีกว่าทำๆไปเพราะอำนาจหน้าที่


โดย: Gryffin วันที่: 26 มกราคม 2551 เวลา:23:40:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Destinyhurtsme
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add Destinyhurtsme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.