|
เลขาฯ ตัวแสบ! ตอน
การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ เตี่ย!!! (ภาค 1)
..ก่อนที่จะผันชีวิตมาเป็น เลขาฯ ตัวแสบ! ฉันเริ่มทำงานกับญาติเป็นครั้งแรกตอนอายุประมาณ 15-16 ขวบ และทำที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งจนอายุ 20 จึงได้เริ่มต้นอาชีพเลขาฯ ตั้งแต่บัดนั้น ฉันจะเล่ารายละเอียดการทำงานในช่วงต้น ๆ พร้อม ๆ กับประวัติการทำงานทั้งหมดในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่ง
ตอนที่ฉันแอบไปสมัครงานใหม่เป็น Junior Secretary ในบริษัทฯ ส่งออกอัญมณี ฉันยังทำงานอยู่กับบริษัท Re-Insurance Broker แห่งหนึ่ง ฉันยังจำวันที่ฉันมาสัมภาษณ์กับบริษัทส่งออกอัญมณีแห่งนี้ได้ดี M.D. ที่นี่เป็นชาวจีนสัญชาติอเมริกัน อายุประมาณ 60 ปี รูปร่างสูงใหญ่ประมาณสัก 190 ซม. เห็นจะได้ ท่าทางภูมิฐานใจดี และเป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษกับนายจ้างท่านนี้ ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก!! ระหว่างการสัมภาษณ์ M.D. ก็บอกฉันว่าเขาเป็นเพื่อนกับนายจ้างที่บริษัทประกันที่ฉันทำอยู่ Oops!! จุดใต้ตำตอซะแล้วซิเรา! และบอกว่าหากฉันสนใจงานที่นี่และพร้อมจะทำงานกับเขาและถ้าฉันไม่ขัดข้อง เขาก็จะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนซึ่งเป็นนายจ้างปัจจุบันของฉันเพื่อแจ้งเรื่องที่ฉันมาสมัครงาน และขออนุญาตรับฉันเข้าทำงานด้วย ฉันตอบตกลงและเขาก็โทรศัพท์หานายจ้างของฉันต่อหน้าฉัน แต่คุยกันเป็นภาษาจีนกลางซึ่งฉันฟังได้เล็กน้อย จากนั้น M.D. ก็แจ้งกับฉันว่าได้คุยกับนายจ้างของฉัน ซึ่งไม่ขัดข้องที่จะให้ฉันลาออกมาทำงานที่นี่ได้ จากนั้นจึงตกลงเรื่องเงินเดือนและขอให้ฉันมาเริ่มทำงานภายในสัปดาห์หน้าได้ไหม ฉันตอบว่าไม่ได้หรอกเพราะฉันคงต้องกลับไปยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ และให้เวลาบริษัทในการหาคนใหม่มาแทนฉันด้วยซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วฉันก็ลากลับ
ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเรียนวิชาการเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ หรือ Business Correspondence กับครูชาวมาเลเซียซึ่งสอนให้เขียนจดหมายขอบคุณทุกครั้งหลังการสัมภาษณ์ ฉันก็ได้นำความรู้ที่ครูสอนมาใช้อีกครั้งหนึ่งในวันนั้น ถึงแม้ว่านายจ้างใหม่จะตอบรับฉันเข้าร่วมงานตั้งแต่วันแรกที่สัมภาษณ์ ซึ่งฉันก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเขียนอะไรเพื่อเรียกคะแนนเพิ่ม แต่ฉันก็ยังอยากจะเขียน โดยเนื้อหาในจดหมายฉันได้เขียนถึงความประทับใจที่ได้พูดคุยกับนายจ้างใหม่ ขอบคุณสำหรับโอกาสในการเข้าสัมภาษณ์ และโอกาสที่ให้ฉันเข้าทำงานในบริษัท พร้อมกับให้คำมั่นว่าฉันจะรีบสะสางงานที่บริษัทเดิมให้เรียบร้อยเพื่อไปเริ่มงานตามนัดหมาย เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับจดหมายตอบจากนายจ้างคนใหม่ โดยข้อความในจดหมายกล่าวว่ายินดีที่ได้ฉันเข้ามาร่วมงานกับบริษัท ซึ่งจากการพูดคุยและการแสดงออกของฉัน เขามั่นใจว่าฉันเป็นคนดีและฉันจะต้องประสบความสำเร็จและมีอนาคตที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
WoW! นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มงานนายจ้างคนใหม่ของฉันยังใช้คำพูดที่ทำให้ฉันปลื้มมาจนถึงทุกวันนี้ แต่คุณรู้ไหมว่านายคนนี้เป็นผู้ที่ฉันมีความผูกพันธ์ทางด้านจิตใจ จากสิ่งที่ฉันได้ถูกอบรมบ่มสอนซึ่งส่งผลต่อวิถีการดำเนินชีวิตของฉันจากวันนั้นจนถึงวันนี้มากที่สุด นายท่านนี้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งมีจริยธรรมและความสุขุมรอบคอบในการทำธุรกิจอย่างน่ายกย่อง ท่านใช้หลักการบริหารบุคลากรและปกครองพนักงานเหมือนพ่อปกครองลูก พนักงานทุกคนในบริษัทจะเรียกท่านว่า เตี่ย
ช่วงที่ฉันเข้าไปทำงานกับเตี่ยใหม่ ๆ เทคโนโลยี่ต่าง ๆ ยังไม่ทันสมัยเหมือนตอนนี้ การจ่ายเงินเดือนไม่ได้ผ่านธนาคารแต่ใส่ซองเป็นเงินสดแทน และทุก ๆ สิ้นเดือนในวันจ่ายเงินเดือนเตี่ยจะจัดให้มีการประชุมพนักงานซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 50-60 คน เตี่ยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงพูดคุยให้ความรู้และพูดถึงปัญหางานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา และเล่าเรื่องประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เตี่ยพบเจอให้พวกเราฟังพร้อมกับจบลงด้วยการแจกซองเงินเดือน ฟังดูแปลก ๆ นะแต่พวกเราก็ชินและรู้สึกดีเพราะในวินาทีที่เตี่ยยื่นซองเงินเดือนให้พนักงานนั้น เตี่ยยื่นซองเงินเดือนให้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขด้วยการแสดงออกที่เหมือนกับจะบอกว่า นี่คือรางวัลสำหรับความทุ่มเทและความขยันหมั่นเพียรในการทำงานด้วยความเหนื่อยยากของพวกเราทุกคน เป็นภาพที่น่าประทับใจและยังอยู่ในความทรงจำของฉันมิรู้ลืม!
นอกจากวันออกเงินเดือนแล้ว ทุก ๆ วันเสาร์ซึ่งพนักงานต้องทำงานครึ่งวันเช้า เตี่ยก็จะเรียกประชุมเพื่อพบปะพูดคุยกับพนักงานทุกเสาร์ด้วยเช่นกัน การบริหารในลักษณะนี้ทำให้พนักงานเกิดความใกล้ชิดกับนายจ้าง เกิดความรู้สึกจงรักภักดี เกิดทีมงานที่แข็งแกร่ง และรักองค์กร ทำให้อัตราการลาออกน้อยมาก และที่สำคัญที่เป็นประโยชน์กับเหล่าพนักงานเช่นฉันก็คือเตี่ยจะพูดเป็นภาษาอังกฤษ เพราะถึงแม้เตี่ยจะอยู่เมืองไทยมานานนับ 20 ปีแต่เนื่องด้วยลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ และพนักงานที่คัดเลือกเข้ามาทำงานในบริษัทจำเป็นต้องมีความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เตี่ยไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดภาษาไทยเหมือนภรรยาและลูก ๆ ของเตี่ย ที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วกันทุกคน ผลพลอยได้ที่ได้รับก็คือพวกเราต่างได้ซึมซับและทำให้หูกระดิกสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องไปเรียนพิเศษให้เสียตังค์ แถมพนักงานคนใดของเตี่ยถ้าไปสมัครงานกับคู่แข่งก็จะไม่ผิดหวัง เพราะจะได้รับการพิจารณาก่อนเพื่อนด้วยเงินเดือนค่าตอบแทนที่สูงขึ้น เพราะใครที่มาจากเตี่ยจะได้รับการการันตีเรื่องคุณภาพอย่างอัตโนมัติด้วยมั่นใจว่า บริษัทเตี่ยเปรียบเหมือนสถาบันฝึกอบรมพนักงานที่ดีเยี่ยมแห่งวงการเลยทีเดียว
นอกจากคุณธรรมในการปกครองคนและจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจที่ฉันได้เรียนรู้และซึมซับจากเตี่ยแล้ว ผลพลอยได้โดยตรงสำหรับฉันที่ได้เรียนรู้จากเตี่ยนอกเหนือจากการพูดและฟังภาษาอังกฤษ โดยไม่ต้องเข้าไปเรียนในสถาบันการศึกษาให้เสียเวลาและเสียเงินแล้วก็คือ การเขียนภาษาอังกฤษ เพราะเตี่ยไม่ได้ใช้ Computer เองเหมือนผู้บริหารทั่ว ๆ ไป ดังนั้นจดหมายทุกฉบับ รวมทั้งการทำบันทึกต่าง ๆ ทั้งถึงลูกค้า ส่วนราชการทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงผู้บริหารภายในองค์กร ทั้งเรื่องที่เป็นทางการและเรื่องลับเฉพาะส่วนตัว เตี่ยจะบอกเล่า (Dictation) โดยฉันจะ take short hand หรือจดเป็นชวเลข แล้วพิมพ์ร่างให้เตี่ยพิจารณาก่อนส่งออกไปทุกครั้งเสมอ บางครั้งฉันต้องมานั่งจดแผนธุรกิจที่เตี่ยต้องส่งให้หุ้นส่วนหรือส่วนราชการในต่างประเทศพิจารณา ฉันได้เรียนรู้ทั้งภาษาและเนื้อหาในสิ่งที่เตี่ยต้องการสื่อสารในหลากหลายรูปแบบ และผลพลอยได้ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือวิธีคิด และความเข้าใจคนและวิธีการสื่อสารกับคน การอ่อนน้อมถ่อมตน การให้เกียรติและเห็นคุณค่าของคนทุกระดับชั้น ฉันเรียนรู้จากเตี่ยเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในหลาย ๆ แง่มุม ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้จากเตี่ยได้หล่อหลอมให้ฉันเป็นฉันในวันนี้ เตี่ยให้อนาคตที่ดีแก่ฉัน
เตี่ยเปรียบเหมือนพ่อคนที่ 2 ของฉัน และเตี่ยยังได้ทำหน้าที่แทนคุณพ่อของฉันในหลายโอกาสซึ่งฉันจะได้กล่าวถึงต่อไป นอกจากนั้นเตี่ยได้กรุณาเป็นเจ้าภาพงานศพบุคคลอันเป็นที่รักของฉันถึง 3 โอกาสด้วยกัน อีกการกระทำหนึ่งที่เตี่ยสามารถซื้อใจฉันและพนักงานทุกคนให้รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากจนเกิดความจงรักภักดีกับบริษัทก็คือ ทุก ๆ วันเกิดของเตี่ยพวกเรามักจะได้รับของขวัญจากเตี่ยติดไม้ติดมือกลับบ้านเสมอ อย่างเช่นในปีที่เตี่ยอายุครบ 60 ปีเตี่ยก็จะให้พนักงานที่มีคุณพ่อคุณแม่อายุ 60 ปีขึ้นไป รับซองบรรจุเงินกลับบ้านเพื่อมอบให้กับคุณพ่อคุณแม่เพื่อความเป็นศิริมงคล และมีอยู่ปีหนึ่งในวันเกิดเตี่ยเช่นกันคุณแม่ของฉันได้รับรางวัลจากเตี่ยในฐานะ คุณแม่ดีเด่น ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากวันหนึ่งฉันและเพื่อนร่วมงานหลายคนได้ติดตามเตี่ยพาลูกค้าไป entertain โดยการไป dinner ด้วยกัน ขากลับบ้านเตี่ยให้คนขับรถไปส่งฉันที่บ้านก่อนโดยมีเตี่ยนั่งไปด้วยทั้งที่จากร้านอาหารไปบ้านเตี่ยใกล้กว่า
คืนนั้นฝนตกพรำ ๆ และฉันไม่สามารถติดต่อทางบ้านได้ว่าจะกลับถึงบ้านกี่ทุ่ม ในขณะที่รถของเตี่ยกำลังจะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ สิ่งที่เตี่ยและฉันพบหน้าทางเข้าหมู่บ้านก็คือภาพที่คุณแม่ของฉันกำลังถือร่มกันฝนพร้อมกับน้องสาวอีกคนหนึ่ง ยืนคอยการกลับบ้านของฉัน
นานนับชั่วโมง! เป็นภาพที่แสดงถึงความรักความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูกถึงแม้จะโตจนทำงานและดูแลตัวเองได้แล้ว (ขอ break ไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาก่อนนะ!) เป็นภาพที่เตี่ยคงมองว่าเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยลงในปัจจุบัน
. มีอีกโอกาสหนึ่งเป็นช่วงที่คุณแม่ของฉันป่วยอยู่โรงพยาบาล เตี่ยและคุณแม่ (ภรรยาของเตี่ย) ได้กรุณาให้เกียรติไปเยี่ยมคุณแม่ของฉันถึงโรงพยาบาลทั้งที่ตอนนั้นฉันได้เนรคุณเตี่ยด้วยการทิ้งเตี่ยไปทำงานที่อื่นแล้ว!!!
เนื่องจากอัญมณีเป็นธุรกิจส่งออกที่ลูกค้าจะเป็นชาวต่างประเทศทั้งหมด ฉันจึงมีโอกาสติดตามเตี่ยและพนักงานขายเจ้าของบัญชีลูกค้าพาลูกค้าไปรับประทานอาหารบ่อย ๆ มีลูกค้ารายหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นซึ่งภายหลังกลายเป็นเพื่อนและเหมือนญาติสนิทของเตี่ย ฉันก็พลอยเป็นที่โปรดปรานของลูกค้ารายนี้ซึ่งฉันเรียกว่า Uncle Uncle มีอายุรุ่นราวเดียวกับเตี่ย และจะต้องเดินทางมาซื้ออัญมณีที่บริษัทปีละหลาย ๆ ครั้ง และทุกครั้ง Uncle จะซื้อเสื้อผ้าสไตล์สาวญี่ปุ่นเป็นโหลมาแจกสาว ๆ ในที่ทำงานรวมทั้งตัวฉันด้วยเสมอ หลังเลิกงานเตี่ยและ Uncle มักจะให้ฉันและพนักงานขายที่ดูแล Uncle ติดตามไปรับประทานอาหารเย็นด้วยเสมอ และจากนั้นเตี่ยก็จะปล่อยให้ Uncle แยกตัวไปเที่ยวสำมะเลเทเมาต่อตามประสาผู้ชายกับสาว ๆ ในผับแถวพัฒน์พงศ์เอง
.
เนื่องจาก Uncle พูดภาษาอังกฤษได้คล่องฉันจึงไม่มีปัญหาที่ต้องสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่นกับ Uncle แต่เพื่อเป็นการประจบสอพลอกับ Uncle ฉันได้พยายามเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นที่จำเป็นบางคำ มาใช้พูดสื่อสารเป็นที่ถูกอกถูกใจของ Uncle เป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นที่โปรดปรานของ Uncle ฉันก็รู้ว่าบ่อยครั้งที่ Uncle ไม่ค่อยปลื้มฉันสักเท่าไร เพราะ Uncle คนนี้เองที่เป็นผู้ที่ตั้งฉายาของฉันต่อเตี่ยและเพื่อนร่วมงานว่าเป็น Stone Head! แปลเป็นไทยว่า หัวหิน? Oops! ไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว Uncle ต้องการจะสื่อว่าฉันเป็นคน หัวดื้อ ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่า Uncle พิจารณาจากอะไร ฉันลองมาคิดทบทวนดูแล้วก็เป็นไปได้ว่า ฉันไม่ค่อยเชื่อฟัง หรือรับฟังความคิดเห็น หรือทำตามในสิ่งที่ Uncle หรือกระทั่งเตี่ย หรือใคร ๆ ก็ตามต้องการ แต่สำหรับตัวเอง
ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเอง หัวดื้อ สักหน่อย แต่ฉันคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้ฉันเห็นด้วยหรือคล้อยตาม ในสิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการต่างหากฉันจึงไม่ได้ทำตาม แล้วอย่างนี้จะมาหาว่าฉัน หัวหิน เอ๊ย
. หัวดื้อ ได้ไง? แต่รู้ไหมว่า Uncle ผู้นี้เป็นอีกท่านหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ซึ่งฉันจะเล่ารายละเอียดในตอนต่อไป
ปกติเตี่ยมักจะต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ๆ ละเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งเป็นเหตุให้ฉันว่างจนสมองเกือบโดนสนิมเกาะกิน ทำให้สาวไฟแรงสูง
เอ๊ย
สาวทำงานที่ต้องการงานที่ท้าทายตลอดเวลาอย่างฉันเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และต้องยื่นใบลาออกหลายครั้งแต่ก็ถูกเตี่ยปฏิเสธทุกครั้ง ครั้งหนึ่งฉันบอกเหตุผลเตี่ยว่าฉันอยากไปหางานทำที่ต่างประเทศ เตี่ยบอกถ้าฉันอยากไปต่างประเทศจริง ๆ เตี่ยก็จะให้ฉันไปดูงานกับบริษัทที่เตี่ยมีหุ้นส่วนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น หุ้นส่วนเตี่ยเป็นอเมริกันเกิดในญี่ปุ่นและทำธุรกิจ Computer software โดยการรับเขียน program ต่าง ๆ เตี่ยให้ฉันไปดูงานโดยไม่มีกำหนดจนกว่าฉันจะเบื่อและให้ฉันไปพักกับญาติของ Uncle ซึ่งสามีเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน ฉันตั้งเป้าว่าจะไปอยู่สัก 3 เดือนเป็นอย่างน้อยเพราะฉันมีที่พักฟรี ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เตี่ยอนุญาตให้สามารถเบิกได้ตามจริงทั้งหมด (สงสัยต้องการจะทดสอบและวัดใจฉัน) บ้านพักของญาติ uncle อยู่ไม่ห่างจากที่ทำงานของหุ้นส่วนเตี่ยและฉันสามารถขี่จักรยานไปได้ ทุกเช้าฉันจึงขี่จักรยานไปที่ทำงานนั่งดูพวกเขาทำงานในบรรยากาศแบบญี่ปุ่นผสมฝรั่งเพราะหุ้นส่วนของเตี่ยหน้าฝรั่งแต่พูดญี่ปุ่น ที่นี่เป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่มีพนักงานไม่ถึง 10 คน ส่วนใหญ่ฉันจะไปนั่งดูและเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ที่เหล่าพนักงานสร้างกันขึ้นมา ตอนนั้นฉันได้รู้จักกับพนักงานสาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจาก USA และได้ทราบข้อมูลมาว่าเธอได้รับเงินเดือน ๆ ละ 120,000 Yen คิดเป็นเงินไทยน่าจะประมาณ 40,000 บาท ? โห
สูงมากสำหรับคนเพิ่งจบใหม่เมื่อเทียบกับบ้านเรา แต่อย่าไปอิจฉาเขาเลยเพราะค่าครองชีพของเขาสูงมากกกกก
ไปอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ก็มีเพื่อนอีกคนจากบริษัทที่เตี่ยส่งมาเยี่ยมลูกค้าซึ่งรวมทั้ง Uncle ด้วย Uncle พาเราไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ พอถึงเวลาอาหาร Uncle ภูมิใจเสนอต้นตำหรับอาหารญี่ปุ่นจากร้านหรูราคาแพง ชิมปลาดิบได้ชิ้นเดียวฉันก็ อ๊วก ต่อหน้า Uncle ให้เห็นเป็นที่เสียอารมณ์แก่ Uncle เป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้! จากนั้นได้พยายามฝึกกินเจ้าปลาดิบและข้าวปั้นหน้า Sushi ต่าง ๆ จนเดี๋ยวนี้ break อาการอยากด้วยอะไรก็ไม่อยู่
ช่วงที่เพื่อนจากเมืองไทยมาอยู่เป็นเพื่อนและพักกับญาติของ Uncle เช่นกันนั้น มีอยู่คืนหนึ่งฉันเกือบช๊อกตายและนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน เพราะห้องนอนของชาวญี่ปุ่นจะไม่มีกลอนประตู แถมประตูยังบอบบางเป็นกระดาษในกรอบไม้สี่เหลี่ยมที่แค่เอาใบมีดมากรีดก็ทะลุแล้ว คืนนั้นฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีเสียงดังกร๊อกแกร๊กบนพื้นในห้องที่ฉันนอนอยู่และเตียงก็โยกเยกให้รู้สึก เปล่า
ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาทำมิดีมิร้ายกับฉันหรอก เพราะญาติ uncle เป็นหญิงม่ายและพักกับลูกสาววัย 4-5 ขวบอีกคนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ฉันต้องกลัวจนหัวโกร๋นเพราะว่าสามีของเธอที่เพิ่งเสียชีวิตไม่กี่เดือนก็เป็นลูกค้าของบริษัทที่ฉันก็รู้จักซะด้วย ฉันคิดว่างานนี้ฉันคงโดนผีญี่ปุ่นเล่นงานซะแล้ว!!! สงสัยมาเผลองีบหลับไปอีกทีตอนใกล้สว่าง พอตื่นขึ้นมาเจ้าของบ้านเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เธอกล่าวทักทายสวัสดีตอนเช้าเป็นภาษาญี่ปุ่นพร้อมกับถามว่า เมื่อคืนรู้ไหมว่าเกิดแผ่นดินไหว? !!!!!!!
เพื่อนที่บริษัทฯ มาอยู่ได้หนึ่งสัปดาห์ก็ได้เวลากลับ ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกา ที่ฝันหวานว่าจะอยู่ให้หนำใจตามที่เตี่ยไฟเขียวสงสัยจะเป็นหมันซะแล้ว อยู่ได้เดือนเดียวฉันก็เผ่น
เอ๊ย
เดินทางกลับเพราะเริ่มคิดถึงบ้านและเบื่อ ขากลับแวะเที่ยวเกาหลีอีก 3-4 วันและเกิดอาการ อ๊วก อีกระลอก!! อ๊ะ
อ๊ะ
คิดอะไรกันอีกแล้ว
ไม่ได้แพ้ท้อง
ยังไม่ได้แต่งงานจะแพ้ท้องได้งัยล่ะ? สาเหตุเพราะฉันเข้าไปสั่งอาหารเกาหลีในร้านแห่งหนึ่งข้าง ๆ โรงแรม Seoul (something จำไม่ได้แล้ว) ดูรายการอาหารแล้วมึน
แต่ยังไม่ได้เวลาอ๊วก
พอเหลือบไปเห็นรายการหนึ่งที่อ่านว่า Noodle
. เอาล่ะ (วะ) ลองกินก๊วยเตี๋ยวเกาเหลา
เอ๊ย
เกาหลีดูดีกว่า คงจะคล้าย ๆ กับ Ramen ของญี่ปุ่นที่ฉันโปรดปราน พอพนักงานนำชามก๊วยเตี๋ยวมาเสริฟฉันเกิดอาการเหมือนไก่ตาแตก เพราะก๊วยเตี๋ยวที่ว่าเสริฟในชามสแตนเลสใบโต เมื่อพนักงานเสริฟเดินจากไปฉันค่อย ๆ เอานิ้วไปแตะข้างชาม แล้วต้องรีบชักมือกลับทันที! นิ้วของฉันไม่ได้พองเพราะความร้อนของชามหรอก แต่มันเย็นนนนนนนนนนน
..วุ๊ยยยยยยยยยยยยยยย!! ก๊วยเตี๋ยวเย็นใส่น้ำแข็งหรือเนี่ย! ฉันคิดว่าไหน ๆ ก็สั่งมาและต้องเสียเงินแล้วและราคาก็ถูกที่ไหนกัน ฉันก็ลองป้อนตัวเองดู
แล้วก็อ๊วกแตกตรงนั้นเลย!!
พอกลับมาถึงบ้านเกิดก็กลับเข้าไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อด้วยความสำนึกในบุญคุณของเตี่ย ฉันทำงานต่อด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ได้สักพักหนึ่งก็เกิดอาการเบื่ออีกแล้ว พอดีช่วงนั้นบริษัทฯ กำลังขยายตัวและต้องรับคนงานเข้ามาเจียระนัยพลอยจำนวนหนึ่ง เตี่ยไม่อยากเสีย (คนดี ๆ?) อย่างฉันไปจึงยอมเสกเลขาฯ ให้ไปเป็นผู้จัดการบุคคล และให้ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของลูกชายเตี่ย ในฐานะผู้จัดการบุคคลหน้าที่หนึ่งของฉันคือการสัมภาษณ์และคัดเลือกบุคลากรเข้ามาทำงาน ช่วงหนึ่งฉันต้องสัมภาษณ์พนักงานระดับคนงานสำหรับโรงงานเจียระไนยพลอยของเตี่ย การสัมภาษณ์และการได้เห็นและคลุกคลีกับชีวิตของคนอีกระดับหนึ่งที่ฉันไม่เคยรับรู้มาก่อน ทำให้ฉันได้เห็นสัมผัสถึงชีวิตที่ลำบากแร้นแค้นและแสนรำเค็ญ ในสังคมของเรายังมีชีวิตแบบนี้อยู่ด้วยหรือ? ฉันรู้สึกสงสารจนกลายเป็นความเครียด เครียดที่ฉันไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ เพราะฉันไม่สามารถรับทุกคนเข้ามาทำงานได้ทั้งหมด นอกจากนี้การเป็นผู้จัดการบุคคลเปรียบเสมือนไส้แซนวิชที่ถูกประกบด้วยขนมปัง 2 แผ่น แผ่นบนคือนายจ้างแผ่นล่างคือพนักงาน ผู้จัดการบุคคลต้องรับนโยบายจากขนมปังแผ่นบนเพื่อนำไปปฏิบัติ หากนโยบายดังกล่าวไม่เป็นที่ถูกใจของพนักงานก็จะถูกขนมปังแผ่นล่างอัดกลับ ผู้จัดการบุคคลจึงอยู่ในสภาพของไส้แซนวิชที่ถูกอัดทั้งขึ้นทั้งล่อง ทีนี้คนทำงานรู้กันหรือยังล่ะว่าชีวิตของผู้จัดการบุคคลน่าเห็นใจแค่ไหน? ถ้ายังไม่รู้อีกก็ลองมาเป็นเองดูสักตั้งไหมล่ะ?
อีกปัญหาหนึ่งที่ฉันพบในฐานะผู้จัดการบุคคลก็คือการทำเรื่องให้คนที่มีปัญหาออกจากงาน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ลูกชายเตี่ยเพิ่งเข้ามาบริหารงานและกำลังอยู่ในช่วงร้อนวิชา และได้มีการพยายาม Reorganize องค์กรพร้อมกับการคัดคนที่มีปัญหาและไม่มีคุณภาพออก การทำเรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของฉันและฉันรู้สึกว่าตัวเองใจไม่แข็งพอที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ตอนนั้นฉันก็มาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปทำงานเป็นเลขาฯ ของเตี่ยได้อีกเพราะเตี่ยมีเลขาฯ คนใหม่แล้ว และเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเครียดและไม่สบายใจมากก็คือ ฉันไม่ชินกับวิธีการบริหารของลูกเตี่ยที่ฉันรู้สึกว่าไม่ได้ใช้ใจ (พระคุณ) ในการบริหารแบบเตี่ย แต่ใช้อำนาจและความเด็ดขาด (พระเดช) แบบฝรั่งในการบริหาร
ทำได้เพียงปีเศษฉันก็ตัดสินใจลาออกด้วยความรู้สึกที่เศร้าและเสียใจเป็นที่สุด โดยที่ไม่ว่าเตี่ยจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ฉุดรั้งฉันไว้ไม่อยู่แล้ว เมื่อลูกเตี่ยถามฉันว่า ฉันลาออกเพราะเขาหรือ ฉันบอกเขาว่าไม่ใช่ แต่กับเตี่ยหรือคุณพ่อของเขา ฉันกลับบอกว่าฉันทำงานร่วมกับเขาไม่ได้ เขาโกรธเคืองฉันมากถึงขนาดชี้หน้าพูดกับฉันก่อนออกว่า คุณ DestinyHurtsMe คุณทำกับผมแบบนี้ ผมจะจำไว้ตลอดชีวิต ฉันยังจำคำพูดของเขาได้ดีจนถึงวันนี้ เพราะเขาโกรธมากที่เตี่ยไปตำหนิเขาว่าเป็นเหตุให้ฉันลาออก
..!!!
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6174623/B6174623.html
โปรดติดตาม เลขาฯ ตัวแสบ! ตอน
การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ เตี่ย!!! (ภาค 2)
อ่านเรื่องราว เลขาฯ ตัวแสบ! ว่าความแสบที่เธอทำไว้กับลูกชายเตี่ยจะได้รับการตอบโต้อย่างไรหลังจากเธอ Come Back กลับมาซบอกเตี่ยใหม่เป็นครั้งที่ 2 แล้วทำไมต้องเธอต้อง Come Back???
ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว:
(1) เลขาฯ ตัวแสบ! ตอน.....วันที่ฉันถูกเลิกจ้าง!!! //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6083075/B6083075.html
(2) เลขาฯตัวแสบ! ตอน.....แสร้งไปทำงานตามปกติ!!! //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6085280/B6085280.html
(3) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....พบทนายความเรื่อง "การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม" พร้อมกับการได้รับ "เงินชดเชย" เกือบแสน!!! //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6095870/B6095870.html
(4) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....วันสัมภาษณ์กับ 12 วันก่อนถูกเลิกจ้าง!!! //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6105777/B6105777.html
(5) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....ชีวิตหลังการตกงาน //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6110725/B6110725.html
(6) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....เย้
! ในที่สุดฉันได้งานใหม่แล้ว!!! ภาค 1 //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6125583/B6125583.html
(7) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....เย้
! ในที่สุดฉันได้งานใหม่แล้ว!!! ภาค 2 //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6131814/B6131814.html
(8) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... 4 เดือนระทึกกับช่วงทดลองงาน!!! //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6136610/B6136610.html
(9) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ CEO เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค 1) //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6152716/B6152716.html
(10) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ CEO เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค 2) //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6159240/B6159240.html
(11) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ CEO เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค3) //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6170648/B6170648.html
ตอนต่อไป:
เลขาฯ ตัวแสบ! ตอน
การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ เตี่ย!!! (ภาค 2)
Create Date : 27 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 31 ธันวาคม 2550 11:44:22 น. |
|
9 comments
|
Counter : 856 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ฟ้าสวยมาก วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:2:03:22 น. |
|
|
|
โดย: แมท (everything on ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:7:35:55 น. |
|
|
|
โดย: หยุ่ยยุ้ย วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:8:08:06 น. |
|
|
|
โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:15:37:06 น. |
|
|
|
โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:15:40:21 น. |
|
|
|
โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:15:42:59 น. |
|
|
|
โดย: SweetYorkie วันที่: 28 ธันวาคม 2550 เวลา:9:25:55 น. |
|
|
|
โดย: Gryffin วันที่: 26 มกราคม 2551 เวลา:23:40:48 น. |
|
|
|
| |
|
|
สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้สุขภาพแข็งแรง มีแต่สิ่งดีดีเข้ามาและมีความสุขมากๆ ค่ะ.