|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
แสบซ่าส์วาสนา แจ๋ว! ตอนที่ 2
แจ๋วไฮเทคฮัลโหล ๆๆๆ
..ปกติฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเม้าท์โทรศัพท์ถ้าไม่มีธุระที่จำเป็นจริง ๆ จึงไม่ค่อยเห็นความสำคัญของโทรศัพท์มือถือเท่าไร แต่ในยุคโลกาภิวัฒน์แบบนี้ครั้นจะไม่มีมือถือเลยก็คงจะทำให้การติดต่อสื่อสารไม่สะดวก และคงจะวุ่นวายกันน่าดูหากมีธุระเร่งด่วนแล้วตามหาตัวกันไม่ได้จริงไหมท่านผู้อ่าน?
จำได้ว่าตอนกลับจากกรีซใหม่ ๆ ได้มือถือฟรีจากน้องเป็นเครื่อง PCT แต่ช่วงนั้นสัญญาณยังครอบคลุมพื้นที่ได้น้อยเช่นถ้าเป็นพื้นที่นอกเขตกทม. หรือที่จอดรถชั้นใต้ดินตามห้างร้านต่าง ๆ ก็จะใช้งานติดต่อสื่อสารกันไม่ได้
ปีต่อมาพี่สาวของฉันติดตั้ง UBC และได้โทรศัพท์ Nokia 3310 ฟรีมาหนึ่งเครื่อง และได้ยกเครื่องให้ฉันทำให้ฉันมีมือถือใช้เป็นของตัวเองกับเขาเป็นครั้งแรกจริง ๆ ก่อนหน้านี้สักปีพี่ชายซื้อเครื่องรุ่นเดียวกันนี้ตอนออกใหม่ ๆ ราคาหมื่นเศษ ๆ เชียวแหละ เป็นรุ่นที่อึดมากเพราะตอนนี้พี่ชายก็ยังใช้เครื่องที่ว่านี้อยู่ร่วม 7-8 ปีแล้วเห็นจะได้ เนื่องด้วยเป็นคนไม่ค่อยได้ใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะโทรออกหรือรับสายเข้า ฉันก็เลยใช้โทรศัพท์แบบ 1-2 call นาทีละ 5 บาทตอนเริ่มใช้ใหม่ ๆ และมีค่ารายเดือนขั้นต่ำประมาณ 300 บาทซึ่งเทียบกับรายเดือนประมาณ 500 บาท ประหยัดได้ตั้ง 200 บาทต่อเดือนและตอนนี้ก็ยังคงใช้แบบนี้อยู่ แต่ราคาลดเหลือประมาณนาทีละ 2-3 บาทและไม่มีค่ารายเดือนเหมือนตอนออกใหม่ ๆ
ฉันใช้ Nokia 3310 ที่ได้ฟรีจากพี่สาวมาสัก 3-4 ปีก็เริ่มมีโทรศัพท์ใหม่ ๆ ออกมากันเพียบ มี function มากมายทั้งเป็น organizer, calendar ดูหนังฟังเพลง และที่สำคัญถ่ายรูปที่ resolution ที่สูง ๆ เป็นล้าน pixels เป็นต้น เนื่องจากฉันเป็นคนชอบถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพเป็นความทรงจำมากเป็นพิเศษ ก็เริ่มเกิดกิเลสอยากได้มือถือเครื่องใหม่เพื่อใช้ function ต่าง ๆ ที่ยั่วยวนอย่างว่า
ฉันค่อย ๆ ใช้เวลาเกือบ 2 ปีศึกษามือถือรุ่นที่สามารถใช้งานได้ดีและคุ้มค่าที่สุด พร้อมกับการหยอดกระปุกเตรียมไว้ซื้อด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ จนกระทั่ง Nokia 6630 ออกมาและคิดว่าจะไม่เสียเวลาคอยรุ่นอื่นอีกแล้ว รุ่นที่ว่านี้เป็นรุ่นที่เขาเรียกกันว่ารุ่นขนมปังปอนด์ถ่ายรูปได้ 1.23 Megapixel ราคาเปิดตัวตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 23,300 บาท
ตอนนั้นฉันเริ่มเก็บเงินพอที่จะซื้อเครื่องได้แล้วแต่กะว่าจะคอยอีกสักพักให้ราคาลงอีกเล็กน้อย แต่จู่ ๆ ภายในไม่ถึงสัปดาห์ CEO ของฉันก็ซื้อมือถือรุ่นดังกล่าวมาอวดในที่ทำงาน ให้ตายซิ
โดนเจ้านายตัวเองตัดหน้าไปจนได้ ฉันก็ต้องรีบกลับลำนะซิและเปลี่ยนใจไม่คิดจะซื้อรุ่นนี้อีกแล้ว ด้วยเหตุผลสองสามประการคือ
ประการที่หนึ่งเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะไปเทียบรัศมีกับ CEO ระดับพันล้าน ประการที่สองกลัวจะโดนเพื่อน ๆ หาว่าบ้าเห่อตามนาย ประการที่สามนายบอกให้รีบ ๆ ไปซื้อรุ่นเดียวกันนี่แหละจะได้มาช่วย update ตารางนัดของนายผ่านมือถือของฉันแล้วมา synchronize ข้อมูลให้ตรงกัน
ชะอุ๋ยยย
..!! เหตุผล 2 ข้อแรกยังพอแหกกฏได้แต่เจอเหตุผลข้อที่ 3 ฉันก็รีบหาเหตุบอกนายว่า ฉันอยากคอยรุ่นที่ถ่ายรูปได้ resolution สูง ๆ กว่านี้อ่ะ นายจะรู้สึกยังไงฉันก็ไม่รู้หรอกรู้แต่ว่าตัวเองโล่งอกและรอดตัวแล้ว เพราะขืนบ้าจี้ทำตามคำแนะนำของนายมีโอกาสที่จะเผลอ copy บันทึกส่วนตัว ติดไปกับเครื่องนายสูงมั๊ก ๆๆ ยิ่งถ้าเผอิญเป็นบันทึกที่นินทานายด้วยแล้ว อื๋อออ..แค่คิดก็หนาวแล้ววว!!
สรุปแล้วฉันก็เลยยังไม่ได้ซื้อมือถือที่ต้องการแต่ได้คอยรุ่นใหม่ ๆ มาอีกเกือบปีเห็นจะได้ และก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะซื้อรุ่นไหนดี จนมาวันหนึ่งหลังจากกลับจากที่ทำงานมาถึงบ้านก็ตรงไปห้องอาหารเพื่อกินอาหารเย็น เหมือนเช่นที่ทำเป็นปกติหลังเลิกงาน สายตาฉันพลันสะดุดเห็นมือถือเครื่องหนึ่งวางใกล้ ๆ โต๊ะอาหาร
เฮ๊ยยยย
นั่นมัน Nokia 6630 รุ่นเดียวกับของ CEO ของฉันนี่นา แล้วเจ้าเครื่องนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและเป็นของใครล่ะนี่? ฉันเดินเข้าไปในครัวขณะที่ นังแจ๋ว กำลังล้างจานและถามว่า มือถือนั่นของใครห๋า แจ๋ว? นังแจ๋วรีบตอบว่า ของนู๋เองค่ะ!
ห๋า
อะไรนะ
ของเธอเหรอ?
หล่อนหัวเราะ คริกกก ๆๆๆ ตามแบบฉบับเช่นเคยแล้วตอบว่า แม่นแล้ว
ของข้อยเอ๊งงง! นังแจ๋วทำท่าลอยหน้าลอยตาได้น่าหมั่นไส้มากจนอยากเข้าไปเขกกระบาล นังแจ๋วนะนังแจ๋ว
หนอยแน่..บังอาจมาตัดหน้าฉันอีกจนได้ ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเอาซะเลย!! ทีฉันจะซื้อบ้างในตอนที่ CEO ของฉันเพิ่งซื้อฉันยังไม่กล้าเทียบรัศมี แต่นี่นังแจ๋วทำได้โดยไม่ต้องคิดเห็นแก่หน้าฉันเลยซักนิด
มีอย่างที่ไหนที่ฉันเป็นนายจ้างแท้ ๆ แต่ใช้โทรศัพท์ขาวดำทำอะไรก็ไม่ได้ นอกจากรับเข้าโทรออกแล้วจะเจ๋งหน่อยก็ตรงที่สามารถใช้เป็นนาฬิกาปลุก และเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าหรือเสียงรอสายได้เท่านั้นแหละ
แต่เครื่องใหม่ของนังแจ๋วทำได้หลาย ๆ อย่างที่มือถือไฮเทครุ่นใหม่ ๆ พึงจะมีกัน ถึงแม้ว่าหลังจากซักไซ้ไล่เรียงแล้วจะรู้ว่าเจ้าหล่อนซื้อต่อเครื่องมือสอง ในสนนราคาพิเศษด้วยความสิเน่หาจากน้องเขยเป็นเงิน 8,000 บาทก็ตามเถอะ (ตอนนั้นราคาเครื่องใหม่เริ่มตกจากสองหมื่นกว่าตอนออกใหม่เหลือประมาณหมื่นสามหมื่นสี่)
จากที่คิดว่าจะค่อย ๆ ศึกษารุ่นที่เหมาะสมคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดพร้อมกับมีเวลาหยอดกระปุกไปด้วย พอนังแจ๋วมีเครื่องใหม่ที่ฉันเคยหมายตามาก่อน ฉันก็เริ่มใจแตกกิเลสแผ่ซ่านไปทั่วกายอยากได้บ้าง ตอนนั้นกลางปี 2549 มีรุ่นใหม่ออกมาแล้วสักพักเป็นเครื่อง Nokia N70 เอาวะเก็บเงินได้พอแล้วนี่
ว่าแล้วก็รีบไปซื้อมาสนองตัณหาตัวเองโดยไม่รอช้า
โอ๊ย
ตื่นเต้น ๆๆ มือถือสุดโก้เครื่องแรกในชีวิตราคา 21,500 บาท Full option ทำได้ทุกอย่างที่ฉันใฝ่ฝันมานาน อะห่า
เดี๋ยววันจันทร์ฉันก็จะได้นำไปอวด CEO และเพื่อน ๆ ในออฟฟิศแล้วววว เพราะที่ผ่านมาฉันไปคุยโวไว้เป็นปีสองปีว่าจะซื้อเครื่องใหม่ จนเพื่อน ๆ หลายคนเปลี่ยนกันไปหลายรุ่นแล้วแต่ฉันก็ยังคงปักหลักอยู่กับ เจ้ารุ่นลายคราม 3310 ที่ได้ฟรีมาจากพี่สาว เช๊อะ..คราวนี้ทุกคนจะได้เลิกแซวและแขวะฉันซะทีไม่งั้นจะหาว่าฉันมีแต่ราคาคุย!!
หลังจากเอามือถือไปอวดเพื่อน ๆ ในออฟฟิศจนหน้าบานเรียบร้อยแล้ว เวลาผ่านไปหลายวันก็ยังไม่มีสายเรียกเข้ามาในโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ของฉันแม้แต่ครั้งเดียว พอปลาย ๆ สัปดาห์ขณะที่ฉันกำลังยืนสั่งงานผู้ช่วยอยู่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันรีบวิ่งกลับมาที่โต๊ะทำงานจนหัวแทบคะมำแล้วรีบคว้ามือถือพร้อมกับพูดว่า สวัสดีค่ะ
เสียงพูดจากปลายทางทำให้ฉันต้องกดโทรศัพท์ทิ้งหลังจากพูดว่า ขอโทษนะคะ
คุณโทรผิดค่ะ!!
จากนั้นอีกไม่นานก็เป็นช่วงเทศกาล Valentines Day ฉันได้ส่ง SMS อวยพรวันเทศกาลแห่งความรักให้กับเพื่อน ๆ ที่มีชื่อ ในโทรศัพท์รวมแล้วเกือบร้อยคนเห็นจะได้ซึ่งบ้างก็ตอบกลับบ้างก็ไม่ได้ตอบ มีคนหนึ่งโทรกลับมาพร้อมกับบอกว่าได้รับ SMS จากฉันและสงสัยว่าฉันเป็นใคร และทำไมจึงส่งข้อความอวยพรวันวาเลนไทน์ไปให้
คุยไปคุยมาก็ได้ความว่าเธอเป็นเจ้าของร้านขายของฝากในจังหวัดที่บริษัทฉันตั้งโรงงานอยู่ ก็เลยขอโทษขอโพยว่าอาจจะบันทึกเบอร์ผิดเพราะเป็นชื่อของเพื่อนอีกคน แต่การได้คุยกับเธอก็ทำให้รู้สึกดีเหมือนได้เพื่อนใหม่ นี่ถ้าเป็นชายหนุ่มและมีการสานต่อมิตรภาพคงจะทำให้คำว่าพรหมลิขิตมีมนต์ขลังขึ้นก็เป็นได้นะเนี่ย!!
พอคุยโทรศัพท์ข้างต้นจบฉันได้รับ SMS ตอบกลับมาอีกหนึ่งฉบับมีข้อความสั้น ๆ ว่า Thanks! อ่านจบขำกลิ้งงงง!!! เพราะเป็น SMS จากนังแจ๋วตอบขอบคุณที่ฉันส่งข้อความไปให้อีกเช่นกัน
ยังขำกลิ้งไม่ทันไรก็ได้รับ SMS อีกฉบับเป็นรูปดอกกุหลาบช่องาม ลงชื่อผู้ส่งว่า
แจ๋ว!!! ฉันจะบ้าตายกับความไฮเทคเกินหน้าเกินตาฉันของนังแจ๋วคนนี้เสียจริ๊ง ๆ!!
หลังจากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่มาด้วยความภาคภูมิใจแล้ว ฉันใช้เวลาคร่ำเคร่งกับการศึกษาเรียนรู้วิธีการใช้นานเกือบสัปดาห์ ถึงแม้เครื่องจะเพรียบพร้อมไปด้วย full option แต่จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มร้อย ที่ใช้มากที่สุดเห็นจะเป็นการถ่ายรูปและถ่าย VDO เพราะฉันได้ซื้อ memory card ขนาด 1 GB มาเพิ่มเพื่อสามารถเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดด้วย นอกนั้นก็เป็นการโหลดเพลงและทำบันทึกทั้งสำหรับปัจจุบันและอนาคตเป็นสิบ ๆ ปี
นับเป็นของเล่นชิ้นที่ทำให้ฉันปลื้มและมีความสุขกับการใช้มาตลอด 5-6 เดือนเห็นจะได้ ซึ่งในระหว่างใช้บ่อยครั้งที่น้องพอลขอไปเล่นเกมส์เวลานั่งอยู่ในรถฉันก็ไม่อนุญาต เพราะนอกจากหวงกลัวว่าปุ่มทำงานจะเสียแล้วก็ไม่อยากส่งเสริมกลัวจะเสียสายตา และก็เกรงว่าแบตฯ จะหมดไม่สามารถใช้ติดต่อธุระที่สำคัญได้
ผิดกับนังแจ๋วที่มักจะตามใจเด็ก ๆ และให้เด็ก ๆ ยืมเครื่องเล่นเกมส์ ถ่ายรูปถ่าย VDO เป็นที่สนุกสนาน มิหนำซ้ำยังมาสอนฉันส่งภาพ เพลง และข้อมูลผ่าน Blue Tooth ซะอีกแน่ะ!
แต่วันนี้ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์สุดหวงเครื่องใหม่ของฉันมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตัวฉันเองหลังจากใช้มาได้ไม่ถึงปี เมื่อวันเสาร์ที่ 4 ส.ค. 2550 ที่ผ่านมาฉันได้ไปเดินห้าง Central สาขาหนึ่ง เมื่อทำธุระและซื้อของเสร็จแล้วก็กลับบ้านตามปกติเหมือนทุกครั้ง เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนออกจากบ้านก็พบว่าซองใส่โทรศัพท์ถูกรูดซิปและโทรศัพท์หายไป (ท่าทางจะเป็นนักเม้าท์โทรศัพท์ตัวยงนะเนี่ย..โทรศัพท์หายไปทั้งคืนไม่รู้เรื่องเลย) ฉันได้พยายามค้นหาโทรศัพท์ทั่วบ้านและสอบถามสมาชิกในบ้านแล้วก็ไม่พบว่ามีใครเอาไปใช้ จึงได้พยายามนึกทบทวนก็จำได้ว่ามีการใช้โทรศัพท์ครั้งสุดท้าย เมื่อวานนี้ประมาณบ่ายโมงขณะที่เดินซื้อของอยู่ในห้าง Central จากนั้นไปเดินซื้อของที่ Tops Supermarket ระหว่างเวลา 14.00-15.00 น. เสร็จแล้วจึงกลับบ้าน..
คิดได้ดังนั้นฉันจึงได้ลองโทรเข้าเครื่องตัวเองและได้ยินเสียงบันทึกว่า "ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก" ด้วยความไม่แน่ใจก็ลองโทรอีกหลายครั้งก็ได้ยินเสียงบันทึกเหมือนเดิม จึงมั่นใจว่าโทรศัพท์ถูกมือดีฉกไปเรียบร้อยแล้ว!!
ฉันจึงรีบโทรไป 1175-AIS Call Center เพื่อให้เขาระงับสัญญาณโทรศัพท์ และเจ้าหน้าที่ได้บอกให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจด้วยเพื่อนำหลักฐานใบแจ้งความ ไปที่ศูนย์บริการ AIS เพื่อขอรับ Sim ใหม่เบอร์เดิม
ต่อมาฉันก็นึกได้ว่าเคยจด Serial number ของมือถือเครื่องนั้นเก็บไว้ด้วย เพราะฉันจำได้ว่าเคยอ่านพบใน e-mail ว่าในกรณีมือถือหาย เราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ Lock เครื่องเพื่อไม่ให้คนร้ายนำเครื่องไปใช้หรือขายต่อได้ ฉันจึงรีบโทรไป 1175-AIS Call Center อีกครั้งหนึ่งเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการ แต่ได้รับคำแนะนำว่าต้องโทรไปที่ศูนย์ Nokia (02 255 2111) ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่อง
ทางศูนย์แจ้งว่าโดยเทคนิคแล้วโทรศัพท์ Nokia ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ สิ่งที่จะทำได้ก็คือให้เราไปแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำบันทึกประจำวัน พร้อมระบุข้อมูลซึ่งประกอบด้วยเบอร์โทรศัพท์, รุ่น, serial number ชื่อ และเบอร์ติดต่อกลับ และให้ Fax ใบแจ้งความไปยังศูนย์ Nokia (02 673 8999) เพื่อบันทึกข้อมูลเครื่องดังกล่าวใน Black List ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่คนร้ายนำเครื่องมาซ่อม หรือมีการตรวจพบก็จะยึดของคืนและติดต่อกลับเจ้าของตามชื่อที่อยู่ในใบแจ้งความต่อไป จากข้อมูลทั้งของ AIS & NOKIA ฉันจึงตัดสินใจไปสถานีตำรวจใกล้บ้าน โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการแจ้งความและเสียค่าเขียนคำร้อง 20 บาท เมื่อได้ใบแจ้งความมาแล้วก็รีบไปที่ศูนย์ AIS เพื่อยื่นเรื่องขอ SIM ใหม่เบอร์เดิม
อ้อ! ก่อนเข้าศูนย์ฉันได้แวะไปหาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่เพื่อจะได้มีเครื่องไปใส่ซิม คราวนี้ลดเกรดตัวเองลงไปมากจาก NOKIA N70 เครื่องละสองหมื่นกว่า ที่ใช้งานไม่ถึงปีแล้วโดนฉกและที่ผ่านมาก็จำความได้ว่าใช้ไม่คุ้มกับ function ที่ทำให้เครื่องราคาสูง
แถมรูปถ่ายจำนวนมากในเครื่องพร้อมข้อมูลที่บันทึกเอาไว้จำนวนมากต้องอันตรธานหายไป แล้วไม่รู้ว่าเจ้าคนร้ายจะนำข้อมูลที่มีอยู่มาทำมิดีมิร้ายอะไรภายหลังหรือไม่ รู้สึกขยาดจึงขอซื้อแค่รุ่น 6233 ราคาเจ็ดพันกว่าบาทซึ่งสามารถใช้งานได้ตามความต้องการทุกประการ แถมปุ่มใช้งานยังใช้ได้ง่ายกว่าและตัวหนังสือตัวโตดูง่ายและชัดเจนมากกว่าด้วยซ้ำ
เรื่อง spec. และรุ่นโทรศัพท์ก็เป็นอีกบทเรียนหนึ่งว่า ถ้าไม่ได้ใช้ function ให้คุ้มค่า it's such a waste และเสียสตางค์โดยไม่มีประโยชน์ กลับมาต่อเรื่องการติดต่อศูนย์ AIS ซึ่งโชคดีที่ก่อนหน้านี้ฉันได้เคยทำเรื่อง ฝากข้อมูลชื่อและเบอร์โทรศัพท์ 200 กว่าเบอร์ใน SIM ไว้ที่ Server ของศูนย์มาก่อน จึงได้ SIM ใหม่เบอร์เดิมพร้อมกับการต้องเติมเงินเพิ่มอีกหนึ่งพันบาทเพราะเงินถูกคนร้ายใช้หมดแล้ว Sim ใหม่เบอร์เดิมที่ได้มาใหม่จึงมีเบอร์โทรที่มีอยู่ทั้งหมดของเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง คนรู้จักทั้งสนิทและไม่สนิทรวมทั้งสถานที่สำหรับใช้ติดต่อเรื่องต่าง ๆ กลับมาเหมือนเดิม เรื่องนี้ก็ขอฝากเพื่อน ๆ ไว้ให้ยอมเสียเวลาไปติดต่อศูนย์แล้วฝากข้อมูลไว้กับ server ของศูนย์ หรือที่เขาเรียกกันว่าฝาก bank โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะไม่มีใครรู้ว่าเราจะเป็นเหยื่อรายต่อไปเมื่อไรหรือเราจะไปลืมเครื่องหรือเครื่องจะหายเมื่อไร จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาบันทึกเบอร์เพื่อน ๆ กันใหม่ให้ปวดหัวและเสียเวลา นอกจากนั้นฉันได้ให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบด้วยว่าคนร้ายได้มีการใช้โทรศัพท์อย่างไรบ้าง พบว่ามีการใช้โทรศัพท์ครั้งแรกเวลา 15.19 น., 20.44 น., 21.09 น. และวันรุ่งขึ้น 08.10 น. รวมจำนวน 4 ครั้งโดยทั้งหมดโทรไปประเทศเวียดนามรวมทั้งเบอร์มือถือในประเทศอีก 1 ครั้งด้วย WoW! ไม่ได้เป็นโจรกระจอกนะเนี่ยแถมยังเป็นโจร Inter ซะด้วย!
เพราะเป็นโจร Inter นี่กระมังที่ทำให้เงินที่ฉันเพิ่งเติมไปก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมงจำนวนหนึ่งพันบาท รวมกับยอดเดิมที่เหลืออยู่รวมเป็น 1,200 กว่าบาทเกือบหมดเกลี้ยงเหลือเพียง 35 บาท นี่ถ้าเป็นโทรศัพท์แบบชำระรายเดือนฉันคงได้ช่วยเจ้าโจร Inter จ่ายค่าโทรศัพท์เป็นหลักหมื่นเป็นแน่! ฉันได้ขอให้เจ้าหน้าที่พิมพ์ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ให้เพื่อว่าจะได้นำไปเป็นหลักฐาน ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในภายหลังซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พยายามสั่งพิมพ์แต่เครื่องไม่รับ เจ้าหน้าที่จึงอธิบายว่าหากเป็นโทรศัพท์แบบชำระรายเดือนจะมีรายละเอียดครบถ้วนมากกว่านี้ และจะสามารถสั่งพิมพ์ออกมาเป็นรายงานให้ได้ เจ้าหน้าที่จึงช่วยได้แค่จดเบอร์และเวลาที่โทรออกไปต่างประเทศดังกล่าวให้เท่านั้น
ในระหว่างติดต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์ AIS เรื่อง SIM หายฉันได้คุยเล่าเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ฟัง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่สาวสวยหัวเราะฮึ.. ฮึ.. บอกว่าหนูก็เพิ่งโดนมาหมาด ๆ เช้านี้เหมือนกัน เจ้าคนร้ายเข้าไปถึงห้องนอนเปิดกระเป๋าสะพายหยิบกระเป๋าสตางค์ และมือถือที่วางบนหัวเตียงตอน 7 โมงเช้านี่เอง!!
เธอบอกว่าตอนแรกคิดว่าเป็นสมาชิกในบ้านเข้ามาในห้องซึ่งเธองัวเงียอยู่จึงไม่ได้สนใจและหลับต่อ แต่คิดว่าเป็นคนรู้จักในละแวกนั้นเพราะเขาคงรู้ว่าเช้านั้นคุณพ่อและน้องชาย จะต้องออกจากบ้านแต่เช้าและเธออยู่บ้านคนเดียวแต่ก็นับเป็นโชคดีของเจ้าหล่อนที่ไม่ได้ถูกทำร้าย เธอยังได้เล่าให้ฟังอีกว่าเมื่อสักครู่ก็มีผู้หญิงอีกคนมาแจ้งเรื่องโทรศัพท์ถูกคนร้ายชิงไป โดยขณะที่เธอกำลังจอดรถหน้าบ้านแถวถนนนราธิวาสและกำลังไขกุญแจจะเข้าบ้าน จู่ ๆ มีคนร้ายเข้ามาผลักเธอล้มลงและชิงกระเป๋าไปซึ่งมีเงินสองหมื่นกว่าบาทและมีมือถือ 2 เครื่อง!! เห็นไหมว่ามีอันตรายรอบด้านที่เราควรจะต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา หลังจากเสร็จเรื่องจากศูนย์ AIS ฉันก็ไปติดต่อ Tops Supermarket เพื่อขอดูเทปจากวงจรปิด ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่ได้เข้าทำงานเนื่องจากเป็นวันหยุด ฉันจึงได้ฝากจดหมายพร้อมรายละเอียดเวลาที่เดินซื้อสินค้าใน Tops พร้อมรูปพรรณสันฐานของฉันเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบหาตัวคนร้ายจากจากเทปบันทึกภาพ
วันนั้นขนาดฉันได้ถอดคราบ working woman มาใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ สะพายเป้และห้อยซองโทรศัพท์กับเป้ด้านซ้ายมือค่อนไปข้างหลังเล็กน้อย ทำตัวเป็นวัยรุ่น (เดอะ) เดินทอดน่องเลือกของสำหรับจัดกระเช้าของขวัญแบบสบาย ๆ ไอ้เจ้าคนร้ายยังอุตส่าห์เห็นแววเข้ามาประกบตัวรูดซิปซองใส่มือถือและฉกไปเมื่อไรไม่รู้สึกตัวเลย โชคดีที่ฉกแต่มือถือไปทิ้งซองของโปรดให้ไว้เป็นที่ระลึกสำหรับใช้งานต่ออีก ต่อไปฉันคงต้องเอามาแขวนคอไว้ไม่ห้อยกับเป้อีกแล้ว!! จากนั้นฉันก็ขอเบอร์เจ้าหน้าที่ของ Tops และเช้าวันจันทร์ได้โทรไปติดตามเรื่อง ได้รับคำตอบว่าจะสามารถเปิดเทปดูได้หลังห้างเลิกตอน 3 ทุ่ม เพราะมีเครื่องแค่เครื่องเดียวซึ่งถ้านำมาเปิดดูจะทำให้การอัดเทปในระหว่างนั้นต้องหยุดชะงัก (อืมมม...เป็นเหตุผลที่ทำให้สงสารห้างที่ต้องประหยัดงบประมาณขนาดนี้เลยนะเนี่ย!!) ฉันไม่อยากเสียเวลาต่อร้อต่อเถียงก็เลยบอก OK และให้เบอร์ติดต่อไว้ แม้ในใจคิดว่าห้างฯ ทำแบบนี้ไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไรผลัดวันประกันพรุ่งตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แล้วนี่ถ้าเป็นกรณีร้ายแรงและมัวแต่คอยเจ้าหน้าที่มาจัดการเรื่องป่านนี้คนร้ายมิลอยนวลไปถึงไหนแล้วหรือ เผอิญฉันมีงานด่วนต้องรีบจัดการต่อในที่ทำงานก็เลยไม่ได้ไปกดดันอะไรเขามาก เพราะคิดว่าโอกาสที่จะได้เครื่องคืนแทบไม่มีเพียงแต่อยากเล่นเกมส์ตามล่าหาคนร้าย เพื่อไม่ให้ไปทำกับเหยื่อรายอื่น ๆ อีกเท่านั้น พอได้เวลา 3 ทุ่มครึ่งฉันโทรไปหาเจ้าหน้าที่ Tops 2 ครั้งแต่ไม่มีคนรับสาย สักพักมีเจ้าหน้าที่โทรกลับและแจ้งว่าได้ตรวจสอบ VDO จากกล้องวงจรปิดแล้วและพบฉันเดินแผนกใดบ้าง แต่บางช่วงกล้องส่องไม่ถึงจับภาพไม่ได้โดยเฉพาะช่วงที่ฉันคิดว่าถูกคนร้ายฉกมือถือ ไม่ปรากฏในเทปบันทึกภาพ
ใจหนึ่งก็ไม่ค่อยอยากเชื่อเพราะห้างฯ อาจจะตั้งใจปกปิดเกรงจะเสียชื่อเสียง ฉันก็ได้แต่สั่งสอนและย้ำเตือนให้เขาเพิ่มมาตรการให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้นกว่านี้ เป็นอันว่าห้างไม่สามารถช่วยอะไรได้จึงเหลือเพียงหลักฐานเรื่องเบอร์ที่คนร้ายโทรออก ที่ฉันกำลังคิดว่าวันอาทิตย์นี้ถ้ามีเวลาฉันจะลองไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าฉันจะสามารถตามตัวคนร้าย จากเบอร์ที่คนร้ายโทรไปเวียดนามได้หรือไม่มิเช่นนั้นก็คงต้องยุติเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้......
ที่จริงได้ไปพบเจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่งและได้คุยกับเจ้าหน้าที่ที่สถานีตำรวจนานทีเดียว ตอนแรกบอกให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปตามเบอร์ที่คนร้ายใช้โทรภายในประเทศ เจ้าหน้าที่บอกไม่ได้มีหน้าที่ทำอย่างที่ต้องการซึ่งหากจะทำจริง ต้องไปติดต่อที่กองข้อมูล
อะไรสักอย่าง (ที่ฉันจำไม่ได้แล้ว) อีกที่หนึ่งซึ่งมีหน้าที่ทำเรื่องนี้โดยตรง และอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะถึงคิวที่เจ้าหน้าที่จะสามารถเข้ามาดูแลเรื่องให้
ฉันเริ่มโวยวายว่าทำไมเจ้าหน้าที่ทำงานแบบปัดภาระเช่นนี้ ทั้งที่ฉันมีหลักฐานอยู่ในมือซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่เพียงแค่โทรไปก็อาจจะได้เบาะแสแล้วทำไมไม่ทำ ที่จริงฉันสามารถทำเองก็ได้แต่ไม่อยากเสี่ยงให้เพื่อนหรือญาติคนร้ายรู้เบอร์เพิ่มอีก แต่ที่นี่เป็นสถานีตำรวจไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัวหรือทำไม่ได้
ฉันพยายามอธิบายและชี้แจงเหตุผลจนเจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนั้น ยอมหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวขึ้นมายื่นให้ฉันและพูดว่า เพื่อแสดงให้พลเมืองอย่างฉันเห็นว่าถึงแม้เจ้าหน้าที่ก็มีครอบครัวที่คนร้ายอาจจะตามมา ทำมิดีมิร้ายเหมือนที่ฉันกลัวเหมือนกันแต่เพื่อปกป้องประชาชนท่านยินดีให้ใช้มือถือส่วนตัว โทรตรวจสอบตามเบอร์ที่ฉันได้มาได้เลย
เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนั้นพูดแบบน้อยใจว่าทำไมประชาชนไม่เข้าใจเจ้าหน้าที่ตำรวจบ้าง และที่จริงท่านเองก็เป็นแค่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้ตามต้องการ ทุกอย่างต้องผ่านขั้นตอนและกฏระเบียบพร้อมทั้งได้พูดระบายความในใจ ที่บางครั้งต้องถูกประชาชนกดดันทำให้รู้สึกเสียใจเช่นกัน
เจอมุขนี้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนั้นแล้ว ฉันเริ่มใจอ่อนและคิดว่าถ้าต้องมีขั้นตอนอะไรมากมายอย่างที่ว่า และกว่าจะถึงตอนนั้นคนร้ายก็คงลอยนวลไปแล้ว ฉันก็ไม่อยากจะเสียเวลามากไปกว่านี้ แต่การได้เข้ามาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนั้นทำให้ฉันเข้าใจและประทับใจกับการบริการประชาชน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
.
ถึงแม้ฉันจะไม่ได้มือถือคืนแต่ก็ดีใจที่ได้นำประสบการณ์มาเล่าให้ฟัง ซึ่งหวังว่าประสบการณ์จริงในเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ บ้างไม่มากก็น้อย ขอให้ระวังทรัพย์สินโดยเฉพาะความปลอดภัยของพวกเราทุกคนด้วยนะ
Create Date : 21 เมษายน 2551 |
Last Update : 21 เมษายน 2551 6:58:20 น. |
|
2 comments
|
Counter : 533 Pageviews. |
|
|
|
โดย: sommos IP: 192.193.164.8 วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:7:56:07 น. |
|
|
|
| |
|
|