Seoul ซัด Seoul เซ ตัวคนเดียว แบกเป้เที่ยวเกาหลี : Seoul City Tour ค่ะ
วันหยุดยาวปีนี้ นึกว่าจะไม่ได้เที่ยวซะแล้วสิ ก็ปัญหาเยอะเชียว
ทั้งเศรษฐกิจทั้งไข้หวัด อะไรต่อมิอะไร
แต่ยิ่งเครียด มันก็ยิ่งอึดอัด อยากไปเปิดหู เปิดตา พักสมองบ้างอะเนอะ
ว่าแล้วคนรัศมีการแรดไกล รายได้ต่ำอย่างเรา ก็หวยมาออกที่เกาหลี
ทั้งๆที่ไม่เคยคิดอยากกินอาหารเกาหลี ไม่ได้บ้าซีรี่
ไม่เคยฟังดงบัง พึ่งจะรู้จัก Skin Food
เป็นผู้หญิง เดินทางคนเดียว แต่ ตม. ร่ำลือกันว่าโหดมั่ก ฯลฯ
แต่มันแว้บเข้ามาในสมองอยู่ที่เดียวเลยอะ ก็เลยเอาที่นี่แหละ
ไปซื้อหนังสือมาอ่านเลยทันที
จากประสบการณ์การเที่ยวคนเดียวที่ฮ่องกงปีที่แล้ว
ก็คิดว่าคงไม่ยากเท่าไหร่ หาผัง subway มาดู
แล้วก็ลิสต์ที่ที่อยากไปมาดูเส้นทางวางแผน ได้รายการเที่ยวมาอันนึง
ก็น่าจะโอเคแล้วมั้ง.. ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ
กว่าจะได้พบกับสัจธรรม "จงอยู่บนทางแห่งความไม่ประมาท"
ก็เมื่อเดินทางมาถึงที่แล้ว ได้แต่คร่ำครวญว่าหลวงพ่อคะ
หนูพลาดไปแล้วค่ะ ละใครจะเห็นใจ
พล่ามมาซะยาว (ข้างล่างยาวกว่านี้อีก -_-")
ไปผจญภัยเป็นเพื่อนเราหน่อยละกันนะคะ
เราตีตั๋ว Korean Air ออกจากสุวรรณภูมิตอนเที่ยงคืนครึ่ง
เครื่องแบบแอร์ของสายนี้น่ารักมากอ่า แอร์ก็น่าร้ากก จิ้มลิ้ม
มาถึงเกาหลี 7.30 (เวลาท้องถิ่น) รวมบิน 5 ชั่วโมง
ตลอดคืนหลับๆตื่นๆ ก็เก้าอี้แข็งกระโด๊ก เป็นสมบัติทัวร์ซะขนาดนั้น
พอลงเครื่อง จากหัวฟู ตาโบ๋ ต้องรีบเข้าห้องน้ำ
โบกหน้าจากผีเป็นคนภายใน 15 นาทีให้ประทับใจตม. ที่นู่น
เดี๋ยวเค้าไม่ให้เข้าประเทศอีก
ใจก็เต้นตุ้มๆต่อมๆ เพราะอ่านๆคำขู่จากห้องนี้มาซะเยอะ
แต่จะด้วยพลานุภาพของแป้ง + ลิปสติคของ Skin Food
ที่ลองซื้อมาใช้จากไทยรึเปล่าไม่รู้
ตม. มองหน้า มองพาสปอร์ต มองหน้า มองพาสปอร์ตประมาณ 5 วิ
เรายังไม่ทันจะอันยองเลย ทั้งที่อุตส่าห์ท่องมา
พี่แกก็ปั๊มปึ้ง ให้เราผ่านมาแบบไม่มีคำถามหลุดรอดจากไรฟัน
ง่าย..จนเรางง ว่าจุดที่เราผ่านมานั่นมันใช่ ตม. จริงๆ
หรือเค้ามีตรวจอีกทีตอนโหลดกระเป๋าเสร็จหว่า มันง่ายดายไปมั้ย?
เราเป็นผู้หญิง เดินทางคนเดียว วันนั้นใส่เสื้อแขนยาว
กางเกงยีนส์ขายาวสะพายเป้ ลุคก็ไม่ได้ดูคุณหนูไฮโซแต่อย่างใด??
หรือว่าจะเพราะยิ้มหวานปานน้ำอ้อยเคลือบคาราเมล
ที่เราส่งให้เจ้าหน้าที่ตอนเค้ามองหน้าก็ไม่รู้นะ ฮ่ะฮ่ะ..
โหลดกระเป๋ามาเรียบร้อย ก็ดูป้าย Airport bus ไปเรื่อยๆ
จนเจอ counter ขายตั๋วของเค้า
ปลายทางเรา คือ Seoul Backpacker
ต้องขึ้นสาย 12A ไป Namdaemun ราคาอยู่ที่ 9000 วอน
ได้ตั๋วมาแล้ว ก็ให้ไปขึ้นรถตามป้าย ดูได้จากหน้าตั๋ว เค้าจะวงไว้ให้
เราต้องหาป้าย 5B แล้วก็ขึ้นรถในช่องที่ 6015 ดูตามรูปเลยค่ะ
คนขับจะเดินเล่นอยู่แถวนั้น ให้ชัวร์เอาตั๋วไปให้เค้าดูอีกทีก็ได้ค่ะ
ถ้าเค้าต้อนขึ้นรถก็รีบๆขึ้นซะ เดี๋ยวโดนด่าเป็นภาษาเกาหลี
ฟังไม่รู้เรื่องไม่รู้ด้วย..
บนรถมีที่ให้วางกระเป๋าอยู่ด้านหน้าเลย รถเค้าก็ใหม่ สะดวกสบาย
จากนั้นนั่งไปอีกชั่วโมงครึ่ง จะหลับต่อ หรือจะชมวิวสองข้างทางก็ตามอัธยาศัยค่ะ ทั้งๆที่ตอนแรกก็ง่วงๆเพราะไม่ค่อยได้นอน
แต่พอนั่งในรถบัสแล้วหลับไม่ลงละค่ะ
สงสัย Korea มันจะ Sparkling ใส่เราละแหละ
นั่งชมวิวไป เห็นรถราเกาหลี ที่นี่เค้าใช้แต่รถเกาหลีทั้งนั้นละค่ะ
ดูไปก็สังเกตป้ายทะเบียน มีทั้งสีเขียว สีขาว ไปหาคำตอบได้มาว่า
ป้ายทะเบียนรถบ้านที่นี่เปลี่ยนมา 3 เจเนอเรชั่นละค่ะ
สีเขียวยังเป็นแบบเก่าอยู่ เดี๋ยวนี้ถ้าใครถอยรถใหม่
จะต้องใช้ป้ายสีขาวเหมือนบ้านเรา ข้างล่างนี่ถ่ายเทียบให้ดู
คนที่นี่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากๆนะ
ทั้งเรื่องอาหารการกินที่เน้นผัก และธัญพืช
เรายังเห็นที่ออกกำลังกายตั้งอยู่ทั่วไปในโซล
เพราะงั้นไม่ต้องแปลกใจเลค่ะ
ที่จะเห็นฟิตเนสใต้สะพาน หรือใต้ทางด่วนแบบนี้
กำลังชมวิวเพลินๆก็ถึงจุดหมายซะที จุดจอดรถบัสที่ตลาดนัมแดมุน
พอลงรถปึ๊บ ละ.. แล้วไหนล่ะ Seoul Backpacker เอาสิ.. เคว้งเลยทีนี้
ควักแผนที่มาดูก็แล้ว หน้าตาไม่คุ้นเลย
ไอ้ landmark ต่างๆที่เค้าให้มา ไม่ได้ปรากฏบนถนนเลยซักกะติ๊ด
แต่เอาน่ะ.. ฮ่องกงชั้นก็เจอแบบนี้กับที่ Bridal Tea House
มันต้องอยู่แถวนี้แหละ แค่แอบๆในซอยหรือไร
เลยเอาแผนที่เดินไปถามพ่อค้าขายกระเป๋าแถวนั้น
ณ วินาทีนั้นแหละ เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวผจญภัย
รุงรัง & Korealish language EpisodeI
เราพูดภาษาเกาหลีได้แค่ 3 คำ "อันยองฮะเซโย" "เย" "คัมซาฮัมนีดา"
ส่วน "ซารางเฮโย"ไม่นับ เพราะคงยังไม่ได้ใช้ กร๊ากกก..
ส่วนคุณลุงคนนั้น พูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้เลยยยยย
ลุงแกงมอยู่กะแผนที่ SB (Seoul Backpacker) ของเราประมาณ 5 นาที
เรียกคนหนุ่มกว่ามาช่วยก็แล้ว
กว่าจะได้คำตอบว่า ให้เดินตรงไป แล้วเลี้ยวขวา
เราแทบจะนั่งกลับไปถามแอร์ที่อินชอนได้เลย
มาถึงตรงนี้ ใครที่จะมาเก็บข้อมูล อย่าพึ่งจดนะ! เดี๋ยวจะสรุปให้อีกที
เราเดินตามคำบอกของลุงไป พอเลี้ยวขวาปั๊บ
เอาแผนที่ขึ้นมาเทียบอีกที แล้ว.. อีกละ..
เกาหัวแกรกๆ มันอยู่ไหนว้า.. เดินต่อไปเรื่อยๆ
เท่าที่อ่านรีวิวมา มันต้องอยู่ใกล้ๆกับทางออกของ subway นี่นา
แต่นี่ยังไม่เห็นซักรูเลย เลยเดินต่อไปอีก ไปอีกๆจนตัดสินใจถามอีกทีดีกว่า
เหยื่อคนต่อไปของเรารู้งานมาก ท่าทางจะโดนถามมาหลายคนแล้ว
เห็นเราเดินเก้ๆกังๆ ถือแผนที่ในมือ แกพุ่งเข้ามาหาเลย
แต่เหมือนเดจาวู ลุงทำหน้าเหมือนลุงคนเมื้อกี้เด๊ะๆ
จับแผนที่เราหมุนไปมาเป็นวงล้อกองสลาก
แต่นั่นช่วยอะไรได้มั้ย?.. ก็ไม่
แกเลยเดินเข้าไปถามร้านขายแว่นตาให้ เราเดินตามเข้าไป
ผ่านไป 5 นาที ได้เรื่องป่าว? .. ก็ไม่อีก
ซักแป๊บคุณลุงคว้าข้อมือละลากเราออกไปนอกร้าน
จนเราแอบตกใจว่าลุงเคยดูจำเลยรักด้วยหรอ? (มันใช่เรื่องที่ควรสงสัยมั้ย )
อ่อ.. ลุงเห็นเจ้าหน้าที่ i information นั่นเอง
เท่านั้นแหละ ตาเราเป็นประกายเรืองรอง
เพลง You.. light up my life.. ลอยขึ้นมาทันที
น้อง 2 คนคล่องมาก ท่าทางเหมือนเด็กนักศึกษามารับจ็อบพิเศษ
พอบอกว่าพัก Seoul Backpacker ปึ๊บ น้องเค้าให้เดินตรงไป
จนเห็นsubway gate 6 ตรงตึก SK
สาบานได้ว่า ได้ยินว่า gate 6 จริงๆ เลยคัมซาน้องๆ
แล้วรีบจากมาด้วยความเร็ว 70 กิโลเมตร / ชั่วโมง
เพราะตอนนี้กระเป๋าเริ่มหนักแล้ว อืม เห็นละ..
subway exit นึง แต่มันไม่ใช่ 6 เลยรีบเดินไปเรื่อยๆ
จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นเค้าลาง แง้..... เหนื่อยนาเฟ้ยยย
ไหนต้องรีบไปดูทหารเปลี่ยนเวรยามอีก
ขณะกำลังท้อแท้อยู่กลางกรุงโซลนั้น ปรากฏน้อง i 2 คนนั้น
วิ่งตามเรามาท่าทางกระหืดกระหอบ บอกว่าเราเลยมาแล้ว
เค้าให้เราข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้าม แล้วเลี้ยวขวาไปในซอยเล็กๆ
ทีนี้คงกลัวเราจะหลงซอยอีก เลยเดินเป็นเพื่อน
แล้วคอยส่งสัญญานมือข้ามถนนมาเป็นพักๆ ถ้าเห็นเราทำท่างงกับทางเลี้ยวไหน
จนในที่สุดก็เจอทางเข้า ลิงโลดเกินเหตุ รีบเดินขึ้นเนินไป
จนลืมโบกมือลาน้องๆ พี่ทับใจมาก เหนื่อยยังไง น้ำใจน้องก็กินใจพี่นะจ๊ะ
เจอ SB ซะที หน้าตาเหมือนในรูปที่เค้ารีวิวกันไว้เป๊ะๆ
เข้าไปถึงปรากฏว่าห้องยังไม่เสร็จอยู่ดี
Ryan (ชื่อจริงอาจจะเป็น ยาดองกุ ซอยกันแน มึนมีเฮ หรืออะไรไม่รู้)
เลยบอกให้เราเอากระเป๋าฝากไว้ เราขอห้องสำหรับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย
เค้าเลยอุตส่าห์เปิดห้อง(น้ำ)ของเค้าชั้นล่างให้เราจัดการทำธุระส่วนตัว
ว่าละก็ขอบ่นกะไรอันหน่อยเหอะว่าที่พักยูหายากเนอะ
ไรอันบอกว่าครั้งแรกจะยากหน่อย
แต่เดี๋ยวคุณจะเข้าใจเองว่าทำเลที่นี่ดีมากนะ เดินไปไหนง่ายหมดเลย
ตอนนั้นยังไม่ซึ้งถึงสัจธรรม จนวันที่ 3 เดินตลาดถึงได้รู้ว่า อู๊ววว มันยอดจริงๆล่วย...
อ้อ.. ที่นี่มีเน็ทให้ใช้ฟรี แต่ต้องใช้ที่คอมข้างล่าง
มีเครื่องเดียว เข้าคิวนะจ๊ะ ละอย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเอา thumb drive ไปเสียบล่ะ
ได้ยินมาว่าไวรัสเยอะมากกก หรืออยากได้ของฝากจากเกาหลีแบบไม่ต้องซื้อก็ลอง
ที่ประเสริฐกว่านั้นคือ ที่นี่มีโทรศัพท์ให้โทรกลับไทยฟรี
ได้ทั้งเบอร์บ้านและเบอร์มือถือ
เครื่องตั้งอยู่หน้าเคาน์เตอร์เช็คอินเลย แค่กดบวก แล้วตามด้วย 66 แล้วก็เบอร์
ง่ายดายอะไรเช่นนี้ จะโดยสารรถไฟใต้ดิน เค้าก็มี T-money ให้เช่านะ
เช่าใบละ 5000 วอน เสร็จละก็มาคืนเค้าละรับตังค์คืน
สำหรับเรา สายไปหมดแล้ว วันนี้โปรแกรมให้เก็บอีกเพียบ
ประกอบกับเวลาเที่ยวมีแค่ 4 วัน คิดแล้วก็ประมวลผลออกมา
ว่าวันนี้ใช้แท็กซี่ไปก่อนดีกว่า ไม่งั้นต้องรบกับ Korealish language อีกหลายยก
เก็บแรงไว้ก่อนละกัน ว่าละก็เดินออกไปโบกแท็กซี่หน้าปากซอย
ขณะนั้นเป็นเวลา 11 โมงกว่าแล้ว
นั่งแท็กซี่มาตูดยังไม่ทันจะอุ่นเลย ก็มาถึงที่หมายซะที
แท็กซี่ที่นี่มี 2 แบบ ให้สังเกตุป้ายด้านข้างดีๆ
แบบทั่วไปปกติ มิเตอร์จะเริ่มที่ 2400 วอน
กับอีกแบบ สังเกตดูมักจอดในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ
รถจะดูหรูหน่อย มิเตอร์เริ่มต้นที่ 4800 วอน
กิโลเมตรต่อไป ราคาเท่าไหร่หว่า
ขอประทานอภัยเพราะลืมจด
แต่จากโรงแรมมา ถ็อกซูกุงเสียไปประมาณ 70 บาทค่ะ
พระราชวัง Deoksugung เป็นเจ้าของเดียวกันกับ
อ่า.. ไม่ใช่ คือที่เดียวกันกับ Museum of Art
เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อดูทหารเปลี่ยนเวรยาม
ซึ่งมีทั้งหมด 3 รอบ คือ 11.00, 14.00 ละก็ 15.30
แต่ตัวพระราชวังเปิดถึง 21.00 ตอนนี้เลยเวลารอบแรกไปแล้ว
เลยขอเข้าไปชมพระราชวังด้านในก่อนล่ะ
ซื้อตั๋วเรียบร้อยในราคา 1000 วอน ถูกมากกกก
ตั๋วกรุ๊ปถูกกว่าอีก แค่ 800 วอน แต่ต้อง 20 คนขึ้น
เราไม่ได้ซื้อตั๋ว Museum of Art อะ
เพราะเห็นคิวยาวด้วย เลยไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไหร่ยังไงนะ
พอหลุดเข้าไปข้างในปึ๊บ ทางซ้ายมือจะมีตู้แจกโบรชัวร์อยู่
แต่ตอนเราเข้าไปภาษาอังกฤษดันหมด เลยต้องมึนๆเข้าชมทั้งหยั่งงั้น
ข้างในก็สวยอยู่นะ เป็นวังกลางตึกสูง แปลกดี
ศาลาในรูปตั้งเด่นเป็นสง่า รอให้คนเข้าไปชม
เราก็ไม่พลาดหรอก เดินขึ้นไปมั่ง แต่ต้องชะโงกดู
เพราะเค้ากั้นไว้ห้ามเข้า เพราะด้านในเป็นพระราชบัลลังก์
สวยมั้ย? ก็แบบในรูปเนี้ย ละมีให้ดูแค่นั้นจริงๆนะ prop ข้างในอะ
ส่วนที่อยู่นอกเลนส์กล้องนั่น เป็นที่ว่าง เปล่าดาย..
แอบคิดถึงวัดบ้านเราละอมยิ้มนิดๆ
วัดบ้านชั้นสวยกว่า ดีเทลก็เยอะกว่าย่ะ 555+
จากนั้นก็เดินเรื่อยเปื่อยไปถ่ายรูปวิวของ Museum of Art ข้างๆ
แล้วก็เดินวนเล่นจนไปทะลุด้านหลัง มีเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูอยู่ด้านหลัง
เราเห็นรถที่จอดอยู่ เลยถามเค้าเรื่องสีของป้ายทะเบียนนั่นแหละ
เฮียแกเลยซักไซ้ว่ามาจากไหน พอบอกจากเมืองไทย เค้าท่าทางตื่นเต้น
บอกว่าชั้นไปมา 3 ครั้งแล้ว โห.. แสดงว่าชอบมาก
บอกว่าคนไทยนิสัยดี บ้านเมืองสวย แต่ร้อนโพดๆ
ตอนทำท่าร้อนโพดๆฮาซะจนอยากจะถ่ายคลิปมาฝาก
คุยกันแป๊บนึง เราก็เดินต่อ แอบชมอยู่ในใจว่าภาษาอังกฤษลุงใช้ได้แฮะ
งี้เที่ยวเอง 3-4 วันข้างหน้านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหานิ
แต่.. เราก็ได้บทเรียนว่า อย่ามองโลกในแง่ดีเกินไป ในเวลาต่อมา
(ติดตามรีวิวจนจบด้วยนะง้าบบบบ)
เดินจบรอบภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตั๋ว Museum of Art ก็ไม่ได้ซื้อ
เราเลยเดินออกไปข้างนอกไปหาข้าวเที่ยงกินรอเวลาบ่าย 2 ด้านข้างวังมี 7-11
เลยลองเข้าไปสำรวจเซเว่นเกาหลีดูว่ามีไรแตกต่างจากบ้านเราบ้าง
นอกจากนมกล้วยชื่อดัง ที่หลายๆท่านเคยรีวิวไปแล้ว
packaging ของที่นี่หน้าตาดีมาก
โดยเฉพาะพวกกาแฟ น่ารักซะจนหยิบมาลองซะให้หมด
แต่ยังไม่อยากกาแฟเท่าไหร่ กลัวตาค้าง ประกอบกับอยู่เมืองไทย
ชอบกิน beauty drink เลยขอลอง beauty drink เกาหลีขวดนี้ดีกว่า
น้ำเชอร์รี่ สีส๊ด สด ก็หวานอมเปรี้ยวดีนะ แต่เข้มข้นไปหน่อย
ใส่น้ำแข็งกินน่าจะโอกว่า เหลือบไปเห็นกระป๋องแฟนต้าหน้าตาแปลกๆอยู่ข้างกัน
สงสัยก็เลยหยิบมาลองดูด้วย
ข้างในเป็นเหมือนเยลลี่แต่ซ่า.... ซ่าจนหน้าเบ้เลย
เราว่าถ้าง่วงๆนะ ไม่ต้องหยิบกาแฟหรอก
หยิบอีเนี่ย ป๋องเดียว สว่างไปทั้งเดือน...
ข้างๆเซเว่นมีร้านอาหารเกาหลีอยู่ร้านนึง
มีแต่หม้อไฟ กับปลาหมึกหน้าตาพิลึก
อุตส่าห์มาถึงเกาหลีละ ขอลองซักตั้งจะเป็นไร
ว่าแล้วก็เดินเข้าร้านไปหาที่นั่ง
คนเยอะแฮะ .. ท่าทางอร่อย แต่พอเค้ายื่นเมนูปึ๊บก็งงเต้ก
ไม่มีภาษาอังกฤษ ยังดีมีรูปเล็กๆเป็นไกด์ไลน์ให้หน่อยนึง
จากที่เห็นตู้โชว์ Aquarium หน้าร้าน
เดาเอาว่าร้านนี้เค้าคงขึ้นชื่อเรื่องปลาหมึกล่ะ
เราเลยลองสั่งไอ้ที่หน้าตาเหมือนข้าวต้มปลาหมึก ดูน่ากินดี
มื้อแรกเบาๆ ก่อนละกัน ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน
ผ่านไปซัก 2 นาที เค้าก็เอาเครื่องกิมจิต่างๆมาลงให้
อลังการณ์มากกก หน้าตาดีแบบนี้ ขอโซ้ยก่อนล่ะ
ต่อไปนี้ จะเป็นการรีวิวอาหารในฐานะกะเหรี่ยงคนนึง
ที่ไม่เคยสัมผัสกับอาหารเกาหลีมาก่อนในชีวิต
ถ้าขัดใจใครเข้า ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
ชิมกิมจิหน่อยซิ อืม.. เปรี้ยวๆ กลิ่นแปลกๆ ขื่นๆเนอะ
ละไอ้หน้าตาเหมือนเยลลี่นี่อะไรนะ อืม.. จืดสนิท
สีเหลืองสดหน้าตาน่ากินนี่ล่ะ ผลไม้เชื่อมมั้ง เอ่า กิมจิอีกแบบนี่หว่า
อี๋.. รสชาติพิลึกพิลั่น รสชาติแบบนี้ เป็นอาหารได้ด้วยหรอ !!
กำลังนั่งเซ็งพักนึง ไอ้ที่สั่งไว้ก็มาเสริฟพร้อมข้าว
หลังจากค่อนข้างผิดหวังกับเครื่องเคียง เลยตั้งความหวังกับหม้อนี้เต็มที่เลย
ลองเอาช้อนคนๆดู เป็นซุปปลาหมึกและ หอมใช้ได้
พอเอาเข้าปาก จ๊ากกกก ร้อนเฟร้ยยย
บ้านเราก็กินอาหารร้อนนะ แต่มันจำเป็นต้องขนาดนี้มั้ย?
พอปากหายพองถึงค่อยๆละเลียดกิน รสชาติก็... จืด จืดแค่นั้นจริงๆ
นึกรสอื่นไม่ออกเลย เหมือนซดน้ำร้อนเปล่าๆคาวปลาหมึกเล็กน้อย
มื้อแรก กินไม่หมด ราคาประมาณ 200 บาทได้ แอบเสียงดายตังค์เล็กๆ
ดูนาฬิกา ยังไม่ถึงเวลา เลยเดินเตร่นอกวังต่ออีกหน่อย
ข้างๆกันมีตึกสูงแล้วก็ทางเดินเล่นยาวเลย
แต่ไอ้ที่สะดุดตาเราเข้าอย่างจังคือรูปปั้นผู้ชายแบกไข่อันนี้
จะว่ารูปปั้นก็ไม่ใช่ คือ เค้าเอาเหล็กมาดัด แล้วใส่ก้อนหินเข้าไปด้านใน
ให้เป็นรูปคน ละยืนแบกไข่สีทองอร่ามแบบในรูป
อยากจะบอกว่า ไข่พี่ sparkling จนหนูต้องเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
พร้อมกับถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยความประทับใจ Art มั้ย? Art มากกก
เค้าเป็นตัวแทนของอะไร ต้องการสื่ออะไร แล้วแบกไข่ทำไม
ไข่อะไรจะใหญ่ขนาดนั้น เราจนใจจะหาคำตอบมานำเสนอจริงๆ
เพราะอ่านภาษาเกาหลีไม่รู้เรื่อง
จะหวังขอพี่เกาที่เดินผ่านไปมาช่วยอธิบายให้
คิดว่าแกะภาษาเกาหลีจากป้ายยังจะได้เรื่องกว่า
เก็บความสงสัยไว้ แล้วเดินกลับมาด้านหน้าวัง
อ๋า.. เริ่มกันแล้นนน ก็มีทหารราชองครักษ์แต่งเครื่องแบบสีสดๆเดินขบวน บ้างก็เล่นดนตรี แล้วเค้าจะมีกลองยักษ์ตั้งอยู่ด้านหน้า
ซึ่งตรงนี้ แขกรับเชิญ คือนักท่องเที่ยวที่มุงๆกันอยู่ด้านหน้านั่นล่ะ
สามารถมาแจมได้ด้วยการได้รับเกียรติให้ไปตีกลอง 3 ครั้ง
รอบที่เราดู เป็นฝรั่งวัยรุ่นท่าทางตื่นเต้น
ใส่เข้าไป ป้ากๆๆ ดังใช้ได้นะเราอะ
พอขบวนทำพิธีเสร็จเรียบร้อย เค้าก็จะอนุญาตให้เราไปถ่ายรูปกับทหารราชองครักษ์ได้ด้วย
เป็นโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดหนุ่มเกาหลี มีหรอจะพลาด กร๊ากกก
ล้อเล่น หน้าตาคุณลุงดุ๊ ดุ ตัวสูงใหญ่สมกับเป็นทหารดี
คนเกาหลียุคนี้ ตัวสูงมากนะ ไม่รู้เป็นเพราะนมกล้วยรึเปล่า
ทั้งชาย หญิงหุ่นนายแบบ นางแบบกันทั้งนั้นเลย
เอาล่ะ.. ครบถ้วนกระบวนความละ
เราก็เลยนั่งแท็กซี่ต่อไปที่พระราชวังเคียงบกเลย
(ถ้านั่ง Subway ต้องสาย 3 สายสีส้ม ลงสถานี 327 Gyeongbokgung exit 5 พระราชวังเคียงบก)
อู้หู.. ที่นี่พื้นที่กว้างมากกก รายล้อมด้วยภูเขา
แล้วดูอลังการณ์กว่าถ็อกซูกุงเยอะเลยอะ
พอจะกลับละถึงได้รู้ว่า ตาลุงแท็กซี่มาจอดให้ซะข้างหลังสุดเลย
ที่เราเดินเที่ยวก็เลยเป็นลักษณะ ไล่โซนจากหลังมาหน้า
แต่ก็ถือว่าโอเคนะ เพราะส่วนตัวคิดว่าข้างหลังมีอะไรน่าสนใจกว่าเยอะเลยล่ะ
เราเสียค่าบัตรไป 3000 วอน ไม่ลืมหยิบคู่มือเที่ยวภาษาอังกฤษมาด้วย
พอเข้าไป ก็จะเจออาคารพิพิทธภัณฑ์สวยเด่นเป็นสง่าอยู่
ข้างๆกันมีรูปปั้น 12 นักกษัตร ใครเกิดปีไหน
ก็ไปถ่ายรูปคู่กันได้ วันที่เราไปเป็นวันเสาร์
แต่นักท่องเที่ยวประปราย สงสัยเค้าไปอยู่ด้านหน้ากันหมด
ดีแล้วล่ะ ถ่ายรูปสบายๆ
เดินตามลายแทงเข้ามา อ๋า.. นี่มันสระน้ำอะไรหว่า
ตอนแรกเข้าใจว่าเป็น Secret Garden แต่นั่นมันอยู่ชางด็อกกุง
มั่วได้อีก แต่มันสวยจริงๆแฮะ มีสะพานไม้ข้ามไปด้วย
แต่เค้าปิดห้ามข้ามจ้ะ ให้ถ่ายรูปเฉยๆพอ อย่าเยอะ..
ในน้ำมีปลาตัวโตๆด้วยนะ ถ้าไปยืนริมสระ มันจะว่ายเข้ามาหา
คงนึกว่ามีคนจะเอาอาหารมาให้ล่ะ
ถ่ายรูปหนำใจแล้วก็เดินต่อ ค่อยๆลัดเลาะไปด้านหน้า
นอกจากพื้นที่ใช้สอยกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว
ก็ไม่มีอะไรตื่นตาตื่นใจเราอีกแล้วอะ เพราะหน้าตาสิ่งก่อสร้างทุกหลังเหมือนๆกัน
จนแอบสงสัยว่าสมัยก่อน พระสนมใหม่ๆต้องเดินเข้าผิดบ้านมั่งล่ะ
หลังคาก็แบบเนี้ย เหมือนถ็อกซูกุง
หน้าตำหนักมีถังดับเพลิงประจำตลอดกันไฟไหม้ด้วยนะเพคะ
เดินเรื่อยเปื่อยมาด้านหน้า นักท่องเที่ยวเริ่มหนาตาขึ้นละ
มีน้องๆลูกเสือ เนตรนารีมาทัศนศึกษาด้วยนะ
เด็กๆหน้าใส๊ ใส เด้กผู้ชายเกาหลีจะใส่แว่น 80%
หน้าตาจะ nerd ๆหน่อยแบบหนอนหนังสือ
อ๋ออออ ที่คนเยอะที่นี่ เพราะตำหนักนี้เค้าเปิดให้ดูข้างใน
เป็นห้องทรงงาน ตกแต่งแบบมินิมัลลิสต์ ก็เรียบๆ
ถ่ายรูปไป พร้อมยิ้มให้กับวัดไทยอีก 1 เหยาะ
เพราะถามว่าน่าสนใจมั้ย? ร้านอาหารญี่ปุ่นบ้านชั้นก็หน้าตาแบบนี้แหละย่ะ
เดินมาด้านหน้าสุด เอ่า.. ที่นี่ก็มีทหารเปลี่ยนเวรยามนิ
แต่เราอิ่มมาจากถ็อกซูกุงแล้ว เลยไม่แวะดูต่อ
เลยเดินเลยไปที่ขายของที่ระลึก เพราะขาเริ่มล้าแล้ว
ร้องเท้ากีฬาที่เตรียมมาไม่ไหวแฮะ พื้นแข็งเป้ก
เดินแล้วเจ็บเท้าชะมัด เลยเดินสไตล์เป๋ห่าว หาที่นั่งพักเหนื่อยก่อน
พักซักครึ่งชั่วโมง แล้วก็เดินดูของที่ระลึก (แพงหูฉี่) ของเคียงบ็อกกุง
แล้วก็เอาแผนที่มาถามพนักงานเสิร์ฟว่าอยากไปถนนซัมชองดง
น้องคนแรกอึ้งๆ ประมาณตั้งตัวไม่ทัน วิ่งไปเรียกพนักงานอีกคนมาชี้จุดแทน
ก็ได้เรื่องว่า จากที่ร้านนี้ ให้เดินออกไปทางประตูฝั่งตะวันออก
ที่เค้าเปลี่ยนเวรยามกันเมื่อกี้ จากนั้น ข้ามถนนไปอีกฟาก
แล้วตลอดแนวก็เป็นซัมชองดงแล้วล่ะ
เราก็เดินไปตามลายแทงที่น้องให้มา
ต้องบอกเลยว่าใครชอบสไตล์การแต่งร้าน อาร์ตๆ แนวๆ
อย่าพลาดมาเดินถนนเส้นนี้ ข้ามฟากไป ก็เจอกับป้ายแนวๆแบบนี้เลยแชะไว้ซะ
ตลอดทางเดิน จะมี Gallery อยู่เยอะแยะไปหมด
คนที่นี่ให้ราคากับศิลปะมาก ไม่แปลกใจเลยที่ Art Gallery ของ Rodin เลือกตั้งในเกาหลี
เราเดินลัดเลาะเข้าไปในซอกตึก เพราะเห็นโคมสวยๆแว้บๆ
ไม่รู้ว่าเป็นที่วิปัสสนาหรืออะไรเหมือนกัน
แต่เห็นคนเกาหลีมานั่งสมาธิกันอยู่ 2-3 คน
เดินแถวนี้ เพลินมากๆ นอกจากร้านน่ารักๆที่เค้าเข้าใจสรรหาไอเดียมาแต่งเรียกลูกค้าแล้ว
ยังเพลินตากับสาวๆเกาหลีที่แวะมาช็อปปิ้งกันอย่างคับคั่งอีกด้วย
สาวเกาหลียุคนี้ แต่งตัว แต่งหน้าเป็น กล้าโชว์ขึ้น แล้วก็น่าดูจริงๆแหละ
เพราะเค้าขาวมากกกก ขาวเหมือนกระปุกแป้งเลย
ขาอาจจะไม่สวยเท่าสาวไทย แต่ความขาวกินขาด
เดินจนขาลากแล้วตอนนี้ ใจนึงก็อยากกลับโรงแรม
อีกใจก็ยังอยากแรดต่อ โปรแกรมเย็นนี้ที่แปลนไว้คือจะไป N Seoul Tower
ถ้าไม่ไปเย็นนี้ก็ไม่รู้จะเอาไปใส่วันไหนแล้ว เพราะแน่นทุกวัน
ว่าแล้วก็แข็งใจไปโบกแท็กซี่ต่อ กีซซซซ เอาอีกแล้วเจ้าค่ะ
แท็กซี่ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จัก N Seoul Tower เราก็ไม่ได้พกรูปไปชี้ให้ดูซะด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวถ้าเป็นภาษาอังกฤษ พูดให้ตายก็ไม่รู้เรื่องค่ะ
เค้าไล่เราลงรถ แล้วชี้ให้ข้ามไปถนนฝั่งตรงข้ามที่เราจากมา
อีตาบ้า นั่นมันเคียงบ็อกกุง ชั้นพึ่งไปมา อย่ามามั่วนะ
แต่ก็จนใจจะเถียง เค้าไม่ยอมให้เราไปต่อ ไล่ลงท่าเดียว ไม่ชิ่วๆก็บุญแล้ว
เจ็บขาก็เจ็บ ก็ต้องลากสังขารต่อไป เดินไป ถามไปก็มีแต่คนส่ายหน้า
Pronunciation ลองมันทุกรูปแบบ ทาว-เอ้อ ทาว-เว๊อ ทาว-เว่อออ ฯลฯ
ไม่มีใครบอกเราได้เลย เลยเดินไปถามเด็กเกาหลี น่าจะอยู่ ม.ปลาย
ท่าทางมีการศึกษา ต้องฟังรู้เรื่องมั่งแหละ โอ้ววว น้องเค้ารู้จักค่ะ
แต่ตอบกลับมาว่า Sorry, I can not tell you...กีซซซซ
คือ พี่ต้องการเส้นทาง ไม่ได้จะให้น้องบอกรักพี่นะคะ
มันยากขนาดนั้นเลยหรอ กำ.. เราเลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่อีกที
อย่างน้อยก็ยังได้นั่งเพราะขาเราเริ่มไม่มีความรู้สึกแล้วตอนนี้
พอขึ้นปั๊บ อ๊า..สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้น
คนขับฟังรู้เรื่อง เค้าโอเคมา เราด้วยความไม่เชื่อหูก็เลยย้ำว่า cable car นะ
แล้วก็ทำมือว่าขึ้นไปสูงๆ เค้าก็อืมๆ เหมือนพระมาโปรด
ตอนนั้นฝนเริ่มตกแล้วด้วย จะไล่เราลงไปหาคันอื่นอีก ไม่ไหวแล้วนะ กลับโรงแรมจริงๆด้วย
ในที่สุดก็มาถึงซะที เราขึ้นไปชั้น 2 ซื้อตั๋ว cable carไป-กลับอยู่ที่ 7500 วอน
ขึ้นไป Seoul Tower คิวยาวมากกก คนเยอะมากกก
ส่วนมากก็เป็นคู่รักวัยรุ่นเกาหลีนั่นแหละ
คิวยาวก็จริง แต่ก็รอไม่นานนะ แป๊บนึงก็ได้ขึ้นละ
ก่อนขึ้นไม่วายแวะช็อปปิ้งขนมขบเคี้ยวที่ร้านข้างใน
ลองซื้อข้าวพองหน้าตาจืดๆมาลองดู ภายหลังก็ได้รู้ว่าจืดสนิทอย่างที่คิด -_-" ทำไมไม่มี surprise อะไรดีๆเกิดกับชั้นบ้างนะ
พอรถมาปึ๊บ สะแหร๋นไปยืนหน้ากระจกทันที
ประมาณว่าชั้นต้องได้เห็นวิวดีกว่าพวกเธอ อะไรเงียะ
แต่นาทีถัดจากนั้นถึงได้สำนึกว่าพลาดมาก กีซซซซ
ลืมไปว่าชั้นกลัวความสูง...
แล้วนี่เป็นกระจกรอบคันเลย รถพาขึ้นไปสูงอีก สูงอีก
เรางี้บีบเสาแน่นจนแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเหล็กละ
รู้ตัวเลยว่าขาสั่น แต่ไม่ได้สั่นเพราะเดินเยอะแบบเมื่อกี้แน่นอน
เลยไม่ได้รูปวิวในรถเลย เพราะแค่จะยืนยังลำบากแล้ว 5555+
พี่น้องเกาหลีก็มาช่วยส่งเสียงบิ๊วอีก อู๊ววววๆๆอยู่ได้ เสียวเฟร้ยยย
ซักอึดใจใหญ่ หน้าซีดไปพอประมาณ เคเบิลก็จอด
นี่ยังไม่อยากคิดถึงขาลงนะ เอาไว้ก่อน
ถ้ามันทำใจลำบาก อาจจะตั้งรกรากอยู่บนนี้ถาวรไปเลย เดินตุปัดตุเป๋ลงจากรถ สภาพเหมือนพึ่งผ่านสงครามครูเสด
พอขึ้นมาเห็นวิวข้างบนค่อยหายเหวอหน่อย อากาศก็ดี๊ดี
เสียแต่ฝนตกปรอยๆ ทำอรรถรสในการถ่ายรูปลดลงไป 50%
แถมต้องไปต่อคิวถ่ายกะคู่รักเกาหลีข้างหน้าๆอีก
ตร๊ายยย กอดกันอยู่ได้ ไม่อายฟ้าดิน
อิจฉาละพาลหมั่นไส้ชาวบ้าน 555+ นิสัย... เค้าเข้าใจหา prop มาใส่ให้จุดที่ถ่ายรูปมันมีอะไรขึ้นมานะ
เราชอบเกาหลีตรงนี้มาก รู้สึกว่าเค้าคิดเยอะ
และเป็นประเทศที่มีไอเดียดี ได้ยินว่าญี่ปุ่นเจ๋งกว่าแต่ไม่เคยไป
แค่เห็นเกาหลีก็ปลื้มละนะเนี่ย นี่อีก จุดขายของที่นี่ ที่วัยรุ่นเกาหลีดั้นด้นกันมาก็เพื่อสิ่งนี้
เข้าใจทำดีเนอะ เอากุญแจมาคล้องใจไว้ด้วยกัน
แล้วก็โยนลูกมันลงเขาข้างล่าง เพื่อสองเรา รักนี้ นิรันดร
ฮิ้วววว แหวะได้อีก 55555+ ของเราไม่รู้จะไปคล้องกับใคร
กุญแจก็ไม่ได้เตรียมมา จะดึงผมมาซักกระจุกมัดรั้วไว้ก็เพื่ออะไรฟระ?
เลยได้แต่ดูชาวบ้านเค้าเงียบๆ
มองฟ้า ถอนใจ อยากซดใบบัวบกซักแก้ว..
นอกจากกุญแจก็ยังมีกระเบื้องแผ่นเล็กๆ เขียนความในใจมีหลายสี
เอาแปะๆๆไว้ พอมองภาพรวมมันก็มีสีสันไง Art ได้อีก
แค่นี้ N Seoul Tower ก็มีอะไรมากกว่าแค่จุดชมวิวแล้วอะ
บ้านเราน่ามีบ้าง สำหรับ Teddy Bear Museum อย่าไปคาดหวังอะไรมากนะ
แบบนี้บ้านเราเรียกร้านขายตุ๊กตาหมีอะ อย่าใช้คำว่า museum เลย
แค่ไปถ่ายรูปกับหมียักษ์ก็โอเคละ กับจุดนี้
ฝนเริ่มหนาเม็ดแล้ว ประกอบกับยังทำใจลงเคเบิล คาร์ไม่ได้
ยิ่งฝนตกลื่นๆแบบนี้ แอร๊ยยย บังคับให้ชั้นกินข้าวต้มปลาหมึกอีกรอบยังง่ายกว่า
เลยต้องนั่งหาไรกินข้างบน แพงหูฉี่ สั่งเสต็คมากิน เบๆที่สุดแล้วนะ
ยังหาความอร่อยไม่ได้เลย เชื่อมั้ย?
เสต็ครสชาติจืดๆ อีกละ บอกไม่ถูก ทั้งที่ปกติเราลิ้นจระเข้มากเลยนะ ทุกคนคอนเฟิร์ม
กินอะไรอร่อยทุกอย่าง แต่ 2 มื้อแรกของที่นี่ ยังไม่ได้ใจเราเลย
นั่งเขี่ยๆไป กินฆ่าเวลารอฝนหยุดยังไง๊ ก็ยังไม่ยอมหยุด หรือแม้แต่จะซา
เริ่มค่ำแล้วด้วย คิดถึงน้ำอุ่นกะเตียงนิ่มๆแล้ว ก็เลยฮึดขึ้นมาอีกเฮือก เอาฟะ จะขึ้นเคเบิลละ
แต่คราวนี้ ใครจะมาดูวง ดูวิวอะไรข้างหน้าก็เชิญนะ
ชั้นขอไปแอบอยู่ตรงกลาง ที่มันมองเห็นรอบๆไม่ได้แทนละกัน 5555+
แล้วก็ได้ผล ขาลงมาไม่หวาดเสียวอีกต่อไป อิอิ
ฝนยังไม่ยอมหยุด เราเลยรีบวิ่งขึ้นแท็กซี่ข้างหน้านั่นแหละ
กลับโรงแรม เอาแผนที่ SB ให้แท็กซี่ดู
อย่านะ.. อย่าทำหน้าแบบนี้ใส่ชั้นอีก เจอมาทั้งวันแล้ว กุอยากกลับบ้านนนน
เค้าไม่รู้จัก เลยเอาแผนที่ของเราไปนั่งวิเคราะห์วิจารณ์กะเพื่อนแท็กซี่อีกพักใหญ่ๆ
จนแน่ใจแล้ว ว่ารู้ทาง ถึงได้พาเรากลับมาถูก เราก็มาร์คจุดไว้แล้วล่ะ
ถ่ายรูปด้านหน้าทางเข้าโรงแรมไว้แล้วด้วย เผื่อหลงอีก
สรุปว่า Seoul Backpacker จากจุดที่ลง Airport bus น่ะ
ให้หันหน้าเข้าตลาด แล้วเดินเข้าตลาดไปเลยให้มาทะลุอีกด้านนึง
หาป้ายที่บอกว่า Numdaemun Gate 6 ข้าง Treksta ให้เจอ
แล้วเดินออกมา มองมาฝั่งตรงข้าม จะเห็นซอยเล็กๆ
ให้เดินข้ามถนนเข้าซอยนั้นไป แล้วเดินขึ้นเนิน ตรงไปเรื่อยๆประมาณ 100 เมตร
ดูซ้ายมือไว้ ก็จะเจอในที่สุดจ้ะ
สภาพภายในห้อง ห้องก็ใช้ได้เลยนะ สะอาด facilities ดีด้วย
ที่สำคัญ พนักงานสื่อสารภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี
สรุปเราประทับใจที่นี่ล่ะ ถึงห้อง หลับเป็นตายเพราะเพลียจัด
ความจริงคืนนี้ต้องเอาแปลนของพรุ่งนี้มาทบทวนดู แต่ไม่ไหวจริงๆอะ
แล้วมันก็ทำความเดือดร้อนให้เราในวันต่อมาจริงๆด้วย..
จบรีวิววันแรกแล้ว ยาวเนอะ.. เหนื่อยมั้ย ยังไม่เหนื่อยไปต่อตอน 2 กัน
Free TextEditor
Create Date : 28 สิงหาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 29 สิงหาคม 2552 10:16:09 น. |
Counter : 4436 Pageviews. |
|
|
|