Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
23 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
เที่ยวบนเส้นทางรถไฟสายมรณะ กาญจนบุรี


ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมมีวันหยุดยาวอยู่หลายวันเลยทีเดียว นับตั้งแต่วันแรงงาน วันวิสาขบูชา เพื่อนที่รับราชการบางคนยังได้หยุดวันพืชมงคล แถมวันจันทร์ที่ 15 ที่รัฐบาลประกาศให้เป็นวันหยุดราชการเพิ่มอีกหนึ่งวันด้วย รวมแล้วก็ 5 วันต่อเนื่องกันเลย น่าอิจฉาจริงๆ นะครับ และในช่วงนี้นี่เองหลายคนคงจะได้มีความสุขกับวันหยุด ไปเที่ยวพักผ่อนกันมาบ้างนะครับ ตูนเองก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวกับเค้าบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปไหนไกลมากหรอกครับ พาเพื่อนมาเที่ยวกันที่จังหวัดกาญจนบุรีนี่เอง ตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ก็เคยพานั่งรถไฟไปเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อยกันมาแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ก็เด็กมากจำอะไรไม่ได้มากนัก กลับมาเที่ยวนี้ก็เหมือนได้ทบทวนความทรงจำตอนเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ไม่ได้นั่งรถไฟมาเที่ยวเหมือนก่อนนะครับ เพราะมาครั้งนี้ตั้งใจจะขับรถไปเที่ยวที่อื่นต่อด้วยให้คุ้มค่ากับวันหยุดยาวที่นานๆ จะได้มีสักครั้ง



เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ กันตั้งแต่เช้า ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงตัวอำเภอเมืองกันแล้ว ผ่านตัวเมืองมานิดหน่อยก็จะเห็นสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรักอยู่ทางด้านซ้ายมือเยื้องกับสถานีรถไฟกาญจนบุรี ชาวบ้านมักจะเรียกกันว่าป่าช้าฝรั่ง เป็นสุสานของเชลยศึกที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะนี่เอง ก่อนอื่นขอเล่าเกี่ยวกับทางรถไฟสายมรณะไว้เล็กน้อยเผื่อใครที่ยังไม่ทราบที่มาของชื่อนี้ เส้นทางรถไฟที่ว่านี้เป็นเส้นทางที่เริ่มต้นจากชุมทางหนองปลาดุกในจังหวัดราชบุรีไปยังสถานีทันบูซายัดในประเทศพม่า ระยะทางรวมทั้งหมด 415 กิโลเมตร ด้วยขณะนั้นญี่ปุ่นได้ใช้บ้านเราเป็นเส้นทางในการขนส่งลำเลียงกองทัพ เชลย ยุทธนูปกรณ์ต่างๆ จากสิงคโปร์ไปยังประเทศพม่า และได้เกณฑ์เชลยศึกจำนวนมากมาใช้ในการสร้างทางรถไฟ แต่ด้วยการก่อสร้างที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก นอกจากเป็นเส้นทางตัดผ่านป่าเขาแล้ว ทหารเชลยยังต้องเผชิญกับไข้ป่า อากาศที่ร้อนจัดจนล้มป่วยตายเป็นจำนวนมาก และเมื่อญี่ปุ่นต้องการเร่งการก่อสร้างให้เสร็จทันตามเวลาที่กำหนด เชลยศึกก็ยิ่งถูกใช้ให้ทำงานหนักถึงวันละ 18 ชั่วโมง บางคนถูกเฆี่ยนตี ในขณะที่เสบียง ข้าวของเครื่องใช้ที่ส่งมาจากกาชาดกลับถูกกองทัพญี่ปุ่นกักเก็บไว้และไม่ได้รับการช่วยเหลือ ทางรถไฟสายนี้ใช้ระยะเวลา 1 ปีจึงแล้วเสร็จ มีเชลยต้องเสียชีวิตในระหว่างการก่อสร้างกว่า 8,000 คน ศพของพวกเขาเหล่านี้ บางส่วนได้ถูกเก็บไว้ที่สุสานดอนรัก ปัจจุบันได้ทำการตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ในแต่ละปียังคงมีญาติๆ ของเชลยมาเยี่ยมหลุมศพของบรรพบุรุษอยู่เสมอ



หลังจากขับรถเลยสุสานมาไม่ไกลจะมีป้ายบอกเลี้ยวไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว ใกล้ๆ สะพานมีลานสามารถจอดรถได้ฟรี บริเวณนี้คึกคักหนาตามากทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทย ใครที่อยากไปดูวิวบนสะพานแต่ไม่อยากเดินก็สามารถนั่งรถรางบริการนำเที่ยวข้ามสะพานได้โดยขึ้นที่ป้ายหยุดรถสะพานข้ามแม่น้ำแควใกล้ๆ ที่จอดรถนั่นแหละครับ ส่วนใครที่อยากเดิน ก่อนจะออกไปเดินเที่ยวเล่น ถ่ายรูปอยู่บนสะพานก็อย่าลืมพกแว่นกันแดด ร่ม หมวกไปด้วย สะพานเหล็กร้อนจัด แดดแรงๆ จะทำให้เป็นลมตกน้ำเอาได้ ใกล้ๆ สะพานนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์สงครามให้ชมอีกด้วย ส่วนใครที่หิวก็มีร้านอาหารเยอะแยะมากมาย รวมถึงแพร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่จะได้นั่งชมทิวทัศน์ของสะพานและแม่น้ำอีกด้วย แต่ราคาจะสูงหน่อยนะครับ เมื่อเดินมาอยู่บนสะพานแล้วนี่สามารถมองเห็นทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำได้ไกลเลยทีเดียว แม้จะคึกคักเต็มไปด้วยแพร้านอาหาร แต่ก็ยังได้ภาพที่สวยงามเหมือนเดิม สมัยเด็กๆ ผมก็เคยมาเดินเล่นที่สะพานนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นทางเดินบนสะพานยังไม่ได้ปูแผ่นเหล็กให้เดินกันได้สบายๆ แบบนี้ ต้องเดินไปตามแผ่นไม้ที่ปูเฉพาะตรงกลาง พอมีรถจักรยานหรือมอเตอร์ไซด์ผ่านก็ต้องคอยยืนหลบบนไม้หมอนข้างๆ เดินกว่าจะไปถึงตรงกลางสะพานนี่ก็หวาดเสียวใช่เล่นเลย



สำหรับที่มาของชื่อสะพานนั้นก็มีประวัติน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว ลองค้นหาประวัติอ่านจึงได้ทราบว่า สะพานข้ามแม่น้ำแควนั้นเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะถูกสร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำแควใหญ่ (ชื่อเดิมคือแม่น้ำแม่กลอง) ในปี ค.ศ. 1943 ภายหลังการก่อสร้างทางรถไฟแล้วเสร็จไม่ทันไร ก็ถูกโดนทิ้งระเบิดพังเสียหายจากฝ่ายสัมพันธมิตร ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุดลงทางรถไฟสายนี้ก็ตกเป็นของอังกฤษ แล้วรัฐบาลได้ซื้อต่อจากอังกฤษอีกทีเป็นเงิน 50 ล้านบาท ทางรถไฟและสะพานจึงได้ถูกซ่อมแซมใหม่เพื่อใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน แต่เดิมนั้นสะพานนี้ก็ไม่ได้มีชื่ออะไรหรอกครับ ชาวบ้านก็มักเรียกสะพานนี้ว่าสะพานท่ามะขามตามชื่อของตำบลที่ตั้ง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1960 ได้มีภาพยนตร์อังกฤษเรื่อง The Bridge on the River Kwai ดัดแปลงมาจากหนังสือนวนิยายชื่อเรื่องเดียวกัน ซึ่งแต่งโดยชาวฝรั่งเศสชื่อ Pierre Boulle ในหนังสือนั้นได้กล่าวถึงการสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควโดยเหล่าทหารอังกฤษที่ตกเป็นเชลยแก่กองทัพญี่ปุ่น แต่อันที่จริงแล้วสะพานนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำแม่กลอง ส่วนแม่น้ำแควนั้นคือแม่น้ำแควน้อยที่แตกสาขาบแยกจากแม่น้ำแม่กลองอีกทีทางตอนเหนือของอำเภอเมือง ด้วยผู้แต่งอาจเห็นว่าทางรถไฟนี้สร้างเลาะตามไปกับแม่น้ำแควเลยคิดว่าเชลยได้สร้างสะพานนี้เพื่อข้ามแม่น้ำแควด้วย เมื่อหนังเรื่องนี้ออกฉายจึงมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกจำนวนมากมาถามกับชาวบ้านหาสะพานข้ามแม่น้ำแควที่ว่านี้ ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าคือสะพานไหนเพราะไม่มีสะพานรถไฟไหนข้ามแม่น้ำแคว เพื่อป้องกันการสับสน ทางการไทยจึงแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนชื่อแม่น้ำแม่กลองช่วงที่ไหลก่อนมาบรรจบกับแม่น้ำแควน้อยว่าแม่น้ำแควใหญ่ และตั้งแต่นั้นมาสะพานท่ามะขามจึงได้มีชื่อว่าสะพานข้ามแม่น้ำแควตามบทภาพยนตร์นี่เอง



กลับมาหาปัจจุบันกันต่อ ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ก่อนที่จะเดินข้ามสะพานกลับไปหาอะไรกิน ผมเห็นคุณลุงคนหนึ่งสีไวโอลินเปิดหมวกกำลังเรียกความสนใจจากชาวต่างชาติให้มาดูแกโชว์ แน่นนอนว่าทำนองที่แกสีนั้นคือเพลง Colonel Bogey March ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ตอนที่เหล่าเชลยผิวปากตอนเดินมาร์ชนั่นเอง หลังเสียงเพลงจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้น แล้วแกก็เปลี่ยนไปสีเพลงของสุรพล สมบัติเจริญต่อซะงั้น หันหลังกลับไปดูอีกทีตอนนี้แกกำลังเอาใจกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยที่กำลังเดินผ่านแกนั่นเอง หลังข้ามกลับมาถึงฝั่งแล้วผมก็เดินลงไปยังแพร้านอาหารด้านล่าง แวะไปเก็บภาพอีกมุมหนึ่งของสะพานก่อนจะกลับไปขึ้นรถ มุ่งหน้าไปชมทางรถไฟอีกช่วงหนึ่งตรงถ้ำกระแซครับ



ถ้ำกระแซตั้งอยู่ในอำเภอไทรโยค ห่างจากอำเภอเมืองมา 48  กิโลเมตร จากตัวเมืองให้ขับรถมาตามทางหลวงหมายเลข 323 (ถนนแสงชูโต) จะมีป้ายแยกบอกเลี้ยวซ้ายไปอำเภอไทรโยค ทางช่วงนี้จะเป็นทางลงเขาลาดชัน ระยะทางสั้นๆ แต่ไม่ควรประมาท ลงเขาแล้วก็ข้ามทางรถไฟ ขับตามป้ายที่เขียนว่าถ้ำกระแซไปจนสุดถนน มีลานจอดรถและร้านขายของที่ระลึกตั้งเรียงรายอยู่ตรงทางเดินไปยังถ้ำ ที่ถ้ำกระแซนั้นเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทางรถไฟถูกสร้างด้วยความยากลำบาก เพราะต้องเลาะไปตามหน้าผาบนสะพานไม้ที่มีความยาวกว่า 400 เมตร ส่วนตัวถ้ำกระแซนั้นเป็นถ้ำโปร่งที่ใช้เป็นที่พักของเชลยศึกในระหว่างก่อสร้าง ปากถ้ำอยู่ตรงใกล้ๆ กับตรงป้ายหยุดรถไฟนั่นละครับ พอไปถึงก็เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังนั่งคอยรถไฟเพื่อจะได้ขึ้นไปชมทิวทัศน์แม่น้ำแควน้อยบนสะพานไม้นี้ อ่านตารางรถไฟที่ป้ายบอกว่าจะมีรถไฟจากสถานีน้ำตกมาถึงตอน 13.26 น. เหลือบดูนาฬิกาตอนนี้ก็น่าจะใกล้เวลาที่รถไฟมาแล้ว เลยตัดสินใจเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยคอยรถไฟ ติดรถไฟไปสักเที่ยวคงจะดีกว่าเดินทั้งไปและกลับแน่ๆ ทั้งที่รู้แก่ใจว่ารถไฟต้องมาถึงช้าแน่ๆ คิดว่าขาล่องออกจากสถานีต้นทางมาได้ไม่ไกลก็ไม่น่าจะช้ากว่าตารางมากนัก  แต่ผิดคาดเพราะกว่ารถไฟจะมาก็ปาไปบ่ายสองโมงกว่า นั่งบ่นว่าเมื่อไหร่จะมาก็เท่านั้น ทำไงได้ ไหนๆ ก็รอแล้ว จะเดินไปตอนนี้เดี่ยวได้วิ่งโกยตอนรถไฟมา อึดใจใหญ่ก็ได้ยินเสียงรถไฟมา เราก็เดินไปขึ้นรถคันสุดท้าย กะว่าจะถ่ายวิวท้ายขบวนสักหน่อย กำลังจะขึ้นตู้ว่างๆ ท้ายขบวนซะแล้ว ข้างในมีฝรั่งไม่กี่คนนั่งอยู่ แต่ช้าก่อนสายตาเหลือบไปเห็นป้ายเขียนว่าตู้พิเศษราคา 100 บาท เลยต้องเดินกลับไปขึ้นตู้กลางขบวนแทน แล้วก็เลือกที่นั่งฝั่งขวาติดแม่น้ำไว้ (ถ้านั่งฝั่งซ้ายจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหน้าผา) ภาพที่รถไฟกำลังเข้าโค้งไต่ผาบนสะพานไม้เป็นภาพที่สวยงามมากๆ รถไฟจะเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เก็บภาพจนเป็นที่พอใจก่อนที่จะหยุดตรงปลายสะพานอีกครั้งเพื่อให้นักท่องเที่ยวลง





ลงจากรถไฟก็เดินย้อนกลับมาตามสะพานไม้อีกครั้ง หลายคนนั่งโพสท่านั่งบนรางรถไฟกันเลย บางคนยอมลงทุนไปยืนถ่ายบนตอม่อซะด้วย คงอาจจะลืมหรืออาจจะไม่กลัวความสูงก็ได้ แค่เวลาเดินบนสะพานนี้ก็ต้องระวังกันอยู่แล้ว เพราะสะพานตรงนี้ไม่ได้ปูแผ่นเหล็กให้เดินสบายๆ เหมือนตรงสะพานข้ามแม่น้ำแคว แผ่นไม้ที่ปูตรงกลางบางชิ้นก็มีกระดกอยู่บ้าง ที่สำคัญไม่มีที่ให้หลบเวลารถไฟมาด้วย ตกลงไปคือเหวอย่างเดียวนะครับ หลังจากค่อยๆ เดินย้อนมาเรื่อยๆ ก็จะมาถึงปากทางเข้าถ้ำกระแซอีกครั้ง เข้าไปกราบไหว้พระพุทธรูปที่ตั้งประดิษฐานอยู่ภายในก่อนจะกลับไปที่รถ



จากถ้ำกระแซ ผมขับรถย้อนกลับไปทางเดิมถึงทางแยกที่ทางหลวงหมายเลข 323 วิ่งผ่าน เลี้ยวขวาแล้วขับต่อไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตรก็จะถึงปลายทางสถานีรถไฟน้ำตก รวมระยะทางเส้นทางรถไฟสายมรณะนี้ทั้งสิ้น 130 กิโลเมตรจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ที่ปลายสุดของทางรถไฟมีหัวรถจักรไอน้ำเก่าเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่การสร้างรถไฟสายมรณะสายนี้ เดินจากจุดนี้ไปนิดเดียวก็จะถึงน้ำตกไทรโยคน้อยหรือน้ำตกเขาพัง น้ำตกนี้ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ตัวน้ำตกอยู่ริมทางหลวง 323 เลย จะขับรถมากันเองหรือนั่งรถไฟมาก็สะดวก จัดเป็นน้ำตกที่สวยอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี แม้วันที่ไปเป็นช่วงหน้าร้อน น้ำอาจจะน้อยไปบ้าง แต่ถ้ามาช่วงหน้าฝนระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม น้ำจะตกเต็มผาและสวยกว่านี้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะมาช่วงฤดูไหนก็ไม่เคยแล้งผู้คน เพียงแค่จอดรถอยู่ริมถนนก็ได้ยินเสียงเด็กๆ กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานกันแล้ว หากจะขึ้นไปเล่นน้ำตกด้านบน ต้องเดินระวังด้วยเพราะทางค่อนข้างลื่น



การเดินทางบนเส้นทางรถไฟสายมรณะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ทางรถไฟช่วงต่อจากนี้ถูกรื้อออกด้วยเหตุผลที่ว่าไม่สร้างประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ บางส่วนจมอยู่ใต้เขื่อนวชิราลงกรณ์ในอำเภอทองผาภูมิ อย่างไรก็ตามยังมีอนุสรณ์อีกที่หนึ่งที่ทางรถไฟสายนี้เคยตัดผ่านคือช่องเขาขาด จุดหมายที่เราจะไปกันต่อ อยู่ห่างจากน้ำตกไทรโยคน้อยไปอีก 22 กิโลเมตร เหลือบดูนาฬิกาอีกทีตอนนี้ก็บ่ายคล้อยเสียแล้วได้เวลาไปหาที่พัก แช่น้ำให้เย็นชื่นใจ แล้วค่อยกลับมาเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้นดีกว่าครับ



สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป หากขับรถจากตัวเมืองมายังอำเภอไทรโยค สองฟากถนนแสงชูโตนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายที่สามารถจัดโปรแกรมเที่ยวไว้ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านเก่า หรืออุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทเมืองสิงห์ กว่าจะเที่ยวครบก็น่าจะเย็นค่ำพอดี หารีสอร์ทนอนพักสักคืน จะเป็นบ้านแพริมแม่น้ำแควน้อยก็มีให้เลือกมากมาย พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยกลับกรุงเทพฯ วันรุ่งขึ้น.-




Create Date : 23 พฤษภาคม 2554
Last Update : 1 มิถุนายน 2554 17:17:12 น. 6 comments
Counter : 3326 Pageviews.

 






อรุณสวัสดิ์เช้าวันจันทร์ เริ่มต้นการทำงานวันแรกด้วยจิตใจ
ที่แจ่มใสนะค่ะ นำความรักความคิดถึงมาฝากจ้ะ

ตามไปเที่ยวเมืองกาญจน์ด้วยค่ะ


โดย: KeRiDa วันที่: 23 พฤษภาคม 2554 เวลา:8:56:37 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ตอนสายๆ เช่นกันครับ คุณ KeRiDa ขอบคุณที่ติดตามครับ


โดย: เดินตามตูน วันที่: 23 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:05:20 น.  

 
มาเยี่ยมชม ครับ


โดย: Kavanich96 วันที่: 24 พฤษภาคม 2554 เวลา:8:02:19 น.  

 
ขอบคุณครับ คุณ Kavanich96 ที่มาเยี่ยมชม
Blog ของพี่น่าสนใจดี ขอเก็บ link ไว้ใน Friends Blog นะครับ


โดย: เดินตามตูน วันที่: 24 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:43:39 น.  

 
แวะมาชมบรรยากาศเก่าๆที่เคยไปค่ะ


โดย: นู๋ที วันที่: 26 พฤษภาคม 2554 เวลา:10:31:02 น.  

 
ขอบคุณครับ คุณนู๋ที


โดย: เดินตามตูน วันที่: 26 พฤษภาคม 2554 เวลา:12:40:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อาตูน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกน้องใหม่ของ Bloggang ใช้ชีวิตเดินทางมาจนใกล้ถึงหลัก กม.ที่ 30 แล้ว ยังไม่เคยได้เขียนบันทึกเป็นของตัวเอง ทั้งที่มีเรื่องราวใหม่ๆ น่าจดจำเกิดขึ้นตลอดเวลา ถึงตอนนี้อยากเก็บความทรงจำดีๆ ไว้รำลึกบ้าง และคงดีไม่น้อยที่ได้บอกเล่าเรื่องราวที่พบ ให้คนอื่นได้เดินไปพร้อมกัน

☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆

ภาพและบทความทั้งหมดใน Blog นี้ ผมไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใดสามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้แต่ต้องไม่ใช้เพื่อการค้า (ยกเว้นภาพและบทความบางส่วนที่อ้างอิงมาจากแหล่งอื่นหรือได้รับอนุญาตให้เผยแพร่เป็นการเฉพาะจากเจ้าของลิขสิทธิ์ โปรดตรวจสอบก่อนทำการเผยแพร่ต่อนะครับ) บทความทั้งหมดเป็นทัศนคติส่วนบุคคลและผู้จัดทำไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านค้าหรือบริษัทฯ ที่ปรากฎใน Blog นี้ หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อผมหลังไมค์ได้ ขอบคุณทุกๆ ท่านที่มาเยี่ยมบ้านผมนะครับ.-

☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
Friends' blogs
[Add อาตูน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.