Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2549
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
20 สิงหาคม 2549
 
All Blogs
 
Okinawa (1): Shurijo Castle Park

12 August 2006

สืบเนื่องจากกลางเดือนสิงหาคมมีวันหยุดยาวที่เรียกว่า “โอบ้ง” ก็เลยตกลงใจว่าจะไปเที่ยวที่ Okinawa เกาะทางใต้ของญี่ปุ่นกันค่ะ จังหวัดโอกินาว่าอยู่ระหว่างเกาะญี่ปุ่นและประเทศจีน มีเกาะเล็กเกาะน้อยหลายเกาะค่ะ แต่เกาะที่มีชื่อเสียงคนรู้จักมากก็คือ เกาะโอกินาว่า นั่นเอง และการเดินทางของเราคราวนี้ก็มีเป้าหมายอยู่ที่เกาะหลักของโอกินาว่าค่ะ



แผนที่เกาะหลักของจังหวัดโอกินาว่านะคะ ทางด้านขวามือของภาพจะมีตำแหน่งของโอกินาว่าตั้งอยู่ค่ะ หมายเลขที่และจุดสีแดงที่เห็นในภาพก็คือตำแหน่งสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ไปมานะคะ โดยจะเล่าไล่เรียงลำดับตามหมายเลขไปนะคะ

อ้อ เมืองหลักของจังหวัดโอกินาว่าไม่ใช่ เมืองโอกินาว่าค่ะ แต่ว่าเป็นเมือง Naha (นาฮา) ค่ะ ซึ่งคราวนี้เราจะพักที่เมืองนาฮาทั้งหมดสามคืนค่ะ คือ สองคืนแรก และคืนสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ ระยะเวลาในการทัวร์ครั้งหมดทั้งหมด 4 คืน 5 วันค่ะ

เนื่องจากช่วงโอบ้งตั๋วจะเต็มเร็วมาก และมีราคาแพงกว่าปกติ 2-3 เท่าค่ะ เนื่องจากเป็นวันหยุดยาว ดังนั้นเราจึงเริ่มจองตั๋วก่อนออกเดินทางจริงๆ ร่วมสองเดือน โดยจองทางเนต เป็นทัวร์ค่ะ ตั๋วเครื่องบินไปกลับ + โรงแรม 1 คืน + ทัวร์ที่เกาะร้างผู้คน (เป็นเกาะเล็กๆ กลางทะเล มีมากมายหลายเกาะรอบๆ โอกินาว่า และมีทัวร์ไปยังเกาะต่างๆ นี้ทุกคน) 1 วัน แต่กว่าจะได้ตั๋วจริงๆ ก็ก่อนการออกเดินทาง 1 อาทิตย์เท่านั้นเอง (แบบว่าลุ้นมากๆ) และตั๋วเรือไปเกาะไร้ผู้คนก็ได้ก่อนไปหนึ่งวันเท่านั้นเองค่ะ เพราะวันที่ 13 ที่วางแผนจะไปคนเต็มตลอด แต่ทางบริษัททัวร์สัญญาว่าจะหาให้ แบบว่าต่อสู้กันแทบตายเลยเชียว

เวลา 10.55 น. เครื่องบินของสายการบิน JAL ก็เริ่มเหินฟ้าออกจาก Fukuoka Airport ที่ตั้งอยู่บนเกาะคิวชู ตรงไปยัง Naha Airport บนเกาะโอกินาว่าทันที เที่ยวบินนี้...เต็มค่ะ ไม่มีที่ว่างเหลืออยู่เลย แต่เราโชคดีที่ได้นั่งริมหน้าต่างนะคะ เลยมองออกไปเห็นท้องฟ้าใสๆ เมฆสวยๆ ท้องทะเลและเกาะเล็กๆ เบื้องล่างได้ชัดค่ะ



นั่งตรงปีกเครื่องบินพอดีเลย





เมฆก้อนนี้เหมือนรูปกระต่ายเลยคะ ว่าแต่คนอื่นเห็นเป็นรูปอะไรเอ่ย




ทะเลและเกาะเล็กๆ ร้างผู้คน ระหว่างเดินทางไปยังเกาะโอกินาว่า


ราวๆ เที่ยงนิดๆ ก็มาถึง Naha airport ค่ะ ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 15 นาที โดยประมาณ อากาศข้างนอกร้อนมาก ประมาณ 32-35 องศาเซลเซียส และแดดจัดมาก



Naha Airport

ลงจากเครื่อง ก็เดินไปรอกระเป๋าค่ะ รอนานพอประมาณเลย เพราะคนค่อนข้างเยอะ ในสนามบินเปิดเพลงที่เป็นภาษาโอกินาว่า หรือเรียกว่า Ryukyu (ริวกิว) ค่ะ เพราะก่อนที่จะมาเป็นจังหวัดหนึ่งในญี่ปุ่น โอกินาว่าเคยเป็นประเทศอิสระไม่ได้ขึ้นกับใครเรียกว่า The Kingdom of Ryukyu นะคะ อ่านประวัติคร่าวๆ ของที่นี่แล้วก็น่าสงสารนะ เพราะเป็นอิสระได้ไม่นานเท่าไหร่ เดี๋ยวๆ ก็ถูกจีนลากไป ญี่ปุ่นลากมา ก่อนจะถูกครอบครองด้วยอเมริกาอยู่พักใหญ่ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และเพิ่งกลับมาเป็นของญี่ปุ่นอีกครั้งเมื่อ 35 ปีที่แล้วนี่เอง

ข้างในสนามบินก็จะตกแต่งด้วยศิลปะของชาวริวกิวแบบนี้ค่ะ



หลังจากที่อยู่โอกินาว่าได้ห้าวัน เราว่าริวกิวได้รับอิทธิพลศิลปะต่างๆ จากจีนค่อนข้างเยอะนะคะ

เมื่อรับกระเป๋ามาเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปขึ้น Monorail ค่ะ (ซื้อตั๋ววัน เพราะคำนวณแล้ว ตั๋ววันคุ้มกว่าค่ะ ราคา 600 เยน) ได้บรรยากาศ Sky Train ของบ้านเราเลย แต่รถของเขาจะกลมๆ และสั้นกว่าของเรานะคะ มีแค่สองตู้โดยสารเท่านั้นเอง คนเต็มเพียบเลยค่ะ
เมืองนาฮา (หมายเลข 1 ในแผนที่ข้างบน) ไม่ใหญ่ค่ะ มีประชากรเพียงแค่ 3 แสนคนเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวต่อเดือนเยอะกว่าจำนวนประชากรอีกค่ะ และโมโนเรลก็มีเพียงแค่สายเดียวเท่านั้นค่ะ เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วนี่เอง



ถ่ายบนสถานี Monorail รถกำลังเคลื่อนเข้ามาค่ะ

จัดการลากกระเป๋าไปลงที่สถานีใกล้ๆ กับโรงแรมที่พัก ยัดกระเป๋าใส่ล็อกเกอร์ที่สถานีเรียบร้อยกันเรียบร้อย ก็เดินกลับมาขึ้นโมโนเรลต่อไปลงที่ย่านช้อปปิ้งของเมืองนาฮา เพื่อหาอะไรใส่ท้องเป็นอาหารกลางวัน โดยเป้าหมายของเราก็คืออาหารพื้นเมืองของโอกินาว่าค่ะ

ลงจากสถานีโมโนเรลก็เจอโรงแรมที่จะมาพักคืนสุดท้ายก่อนกลับตั้งอยู่บนร้านสะดวกซื้อ ที่หน้าร้านมีเจ้าตัวนี้นอนสบายอารมณ์ท่ามกลางแดดร้อนอยู่



ชักภาพแมวน้อยเรียบร้อย ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีร้านขายของคล้ายๆ แหล่งท่องเที่ยวชายทะเลบ้านเรามากๆ เห็นแล้วนึกถึงระยอง ภูเก็ต เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดแบบชายทะเลน่ะค่ะ แล้วพวกเราก็ตกลงฝากท้องเอาไว้ที่ร้านหนึ่งในย่านช้อปปิ้ง ซึ่งมีธีมหลักของอาหารเป็น โอกินาว่าโซบะ ซึ่งเส้นโซบะของโอกินาว่าจะมีลักษณะใหญ่และอ้วนกว่าเส้นโซบะปกติทั่วไปของญี่ปุ่นค่ะ นอกจากนั้นสิ่งที่พิเศษของโอกินาว่าก็คือ ที่นี่เขากินหมูทั้งตัวค่ะ คือกินทุกส่วนสัดของหมูเลย ไม่เหมือนเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นที่จะกินแต่เนื้อหมูเท่านั้น ที่นี่กินทั้ง ขา, หู, คอ, หัว ให้อารมณ์เมืองไทยมากๆ เลย นอกจากนั้นของกินที่มีชื่อเสียงอีกอย่างของโอกินาว่าก็คือ Goya (โกย่า) หรือ มะระ นั่นเอง แต่มะระของเขาลูกไม่ใหญ่เหมือนบ้านเรานะคะ นอกจากนั้นสียังเขียวเข้มกว่า แต่ว่า...ขมเหมือนกันเลยค่ะ ^^’’



โอกินาว่าโซบะ มีหมูตุ๋นสามแผ่นหนาๆ วางอยู่ พร้อมด้วยลูกชิ้นปลายาวๆ (เรียกว่าอะไรหว่า ลืมไปแล้ว) หนึ่งชิ้น




โซกิโซบะ หรือโซบะใส่กระดูกหมูตุ๋นนั่นเองค่ะ (กระดูกหมูตุ๋นอร่อยมากๆ เป็นกระดูกอ่อนค่ะ) สังเกตเส้นโซบะนะคะ จะหนากว่าปกติ รสชาติของน้ำซุป เราว่าคล้ายเกี๋ยวเตี๋ยวน้ำบ้านเราเลยนะ

นอกจากนั้นเราก็ยังสั่งมะระผัดไข่ใส่เต้าหู้โอกินาว่ามากินแกล้มกันด้วยค่ะ รสชาติอาหารไทยอีกแล้ว กินแล้วอร่อยจัง (แม้ว่าเราจะไม่กินเต้าหู้ก็ตาม)



เราว่าค่าครองชีพของโอกินาว่าค่อนข้างถูกกว่าเกาะใหญ่มากๆ สังเกตจากโซบะชามข้างบน ราคาเพียง 600-700 เยน เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าเป็นบนเกาะใหญ่ ราคานี้ไม่มีทางได้เนื้อสัตว์เยอะขนาดนี้แน่ๆ ค่ะ

กินกันจนอิ่มหนำ (เราเหมาเนื้อสัตว์คนเดียวเลย เพราะคนไปด้วยไม่ชอบกินหมู เสร็จเรา ฮา) ก็พากันไปเดินตลาดสด ซึ่งลักษณะของตลาดแบบนี้ไม่ใช่ตลาดแบบทั่วไปที่จะพบได้บ่อยนักในญี่ปุ่น แต่เมื่อเข้าไปดูแล้วก็ให้อารมณ์ตลาดสดบ้านเรามากๆ มีชิ้นหมูวางขายชิ้นใหญ่ๆ และมีหลายๆ ส่วนในร่างกาย ให้คนซื้อมาชี้เลือกซื้อเอา ว่าจะซื้อเท่าไหร่ และคนขายก็ตัดแบ่งขาย ซึ่งลักษณะในญี่ปุ่นเป็นของแปลกค่ะ



เจ้าของร้านอารมณ์ดี เอาแว่นกันแดดไปใส่ไว้ที่หัวหมู แถมหมูยังทำท่าเหมือนยิ้มอีกต่างหาก มีขาหมูวางให้เห็นเป็นกลีบๆ ชาวญี่ปุ่นสนใจกันมาก เพราะว่ามันคือของแปลกนั่นเอง

แต่ที่พวกเราสนใจกันมากเห็นจะเป็นผลิตภัณฑ์จากทะเลค่ะ (ตามประสานักวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่ดี) ที่คนญี่ปุ่นตื่นตาตื่นใจเห็นจะเป็นปูทะเลบ้านเรา ที่จะพบในบริเวณป่าชายเลนค่ะ ในญี่ปุ่นไม่มีป่าชายเลนนะคะ ยกเว้นที่โอกินาว่า เพราะญี่ปุ่นเป็นเมืองในเขตหนาว (รูปปูทะเลติดเอาไว้ก่อนนะคะ พอดีวันนั้นไม่ได้ถ่ายมา แต่มาถ่ายเอาวันสุดท้ายก่อนกลับค่ะ) แต่ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจคงเป็นเจ้าตัวนี้ค่ะ



กุ้งมังกรตัวยักษ์ค่ะ ตัวใหญ่มากๆ (ลองเทียบกับกุ้งมังกรตัวอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ นะคะ) เห็นแล้วก็อยากกินจัง ฮา แต่ท่าทีจะราคาเป็นหมื่นอ่ะค่ะตัวนั้น



หอยตาวัวน้ำลึกค่ะ ตัวใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าหน้าเราอีกด้วยซ้ำมั้งนะ บ้านเราไม่มีตัวใหญ่ขนาดนี้ เคยเห็นแต่ตัวเล็กๆ ค่ะ ตัวนี้ก็หลายพันเยนอยู่นะคะ ได้แต่ดูเหมือนเดิม

ชมตลาดกันเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยมีเวลา และกะจะเก็บเอาไว้ชมวันสุดท้ายตามแผนที่วางไว้ พวกเราก็เดินกลับมาขึ้นโมโนเรลที่สถานีเดิม เพื่อจะไปยังปราสาท Shuri ปราสาทที่มีชื่อเสียงของเกาะโอกินาว่าค่ะ (หมายเลข 1 ในแผนที่ข้างบนค่ะ)

ปราสาท Shuri สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 600 กว่าปีที่แล้วค่ะ เป็นที่อยู่ของผู้ครองอาณาจักรริวกิวค่ะ นั่งโมโนเรลไปลงสุดสาย ต่อรถบัสไปอีกสิบนาทีก็ถึง Shurijo ค่ะ (jo แปลว่า ปราสาท) มีนักท่องเที่ยวเยอะพอประมาณค่ะ แต่ไม่เยอะมากอย่างที่คิด อากาศร้อนมากๆๆๆ แดดเปรี้ยง ฟ้าเป็นสีน้ำเงินสดใส พวกเราก็เดินไปตามทางเดิน เริ่มแรกก็จะผ่านประตูทางเข้า ที่มีสีแดงสดใส ยิ่งตอกย้ำความคิดของเราว่า ต้องได้รับอิทธิพลจากเมืองจีนแน่ๆ เลย เพราะปราสาทของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่มีลักษณะแบบนี้เลยค่ะ



กำลังเดินไปถ่ายรูปหน้าประตูค่ะ คนมายืนถ่ายกันเยอะเลย แต่ข้างหลังมีส่วนที่เขาปิดซ่อม เห็นผ้าใบเขียวๆ ด้วยค่ะ อ้อ ระหว่างทางมีจุดให้เปรียบเสื้อผ้าเป็นแบบริวกิวโบราณเพื่อถ่ายรูปด้วยนะคะ แต่แน่นอนว่าต้องเสียเงิน ด้วยความงกก็เลยไม่เปลี่ยนค่ะ



ถ่ายรูปหน้าประตู ขอบอกว่าแดดร้อนมากๆ

จัดการถ่ายรูปเรียบร้อย ก็เดินผ่านประตูเข้าไปตามทาง ระหว่างสองข้างทางก็จะมีต้นชบาขึ้นเต็มค่ะ สำหรับคนไทยอย่างเราๆ ก็ไม่ตื่นเต้นกันอยู่แล้ว เพราะเห็นได้บ่อยมาก แต่สำหรับคนญี่ปุ่นดอกชบา หรือ hibiscus คือดอกไม้ที่ไม่สามารถเห็นได้บ่อยบนเกาะใหญ่ค่ะ ดังนั้นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของโอกินาว่าก็คือดอกชบานั่นเอง




ว่าแล้วก็เอาซะหน่อย ดอกชบาอันงดงาม ฮา


เดินผ่านประตูหลักเข้าไป ก็ไปเจอประตูหินอันนี้



เป็นมรดกโลกค่ะ อ้อ ที่โอกินาว่ามีมรดกโลกทั้งหมด 9 แห่งนะคะ ทำไมถึงเป็นมรดกโลก คาดว่าเพราะเป็นสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่สมัยโบราณที่คงอยู่โดยไม่ได้ผ่านการบูรณะซ่อมแซมค่ะ Shuri Castle ก็เป็นมรดกโลกชิ้นหนึ่งเช่นกันนะคะ

เดินไปตามทางที่แดดร้อนเปรี้ยงผ่านเข้าไปยังรั้ววังชั้นที่สอง (หรือสามก็สุดจะเดา) ก็ไปเจอคุณลุงยามในชุดชาวริวกิวสมัยก่อนยืนอยู่ ก็เลยถ่ายรูปคู่ซะเลย



พร้อมกันนั้นก็รับโบชัวร์ที่เป็นเส้นทางเดินชมวัง พร้อมกับมีหน้าประทับตรายางตามจุดต่างๆ ไว้ด้วยค่ะ เราก็จัดการเดินตามเส้นทางไปเรื่อยๆ พร้อมกับประทับตรามาเป็นที่ระลึกค่ะ (ที่ญี่ปุ่นนิยมมาก ไปแหล่งท่องเที่ยวที่ไหนต้องมี)

ถัดจากคุณลุงยาม ก็เป็นทางเดินขึ้นบันไดหินขึ้นไปข้างบนค่ะ



กำแพงวัง มองเห็นทะเลสีน้ำเงินอยู่ที่ปลายขอบฟ้า




กำแพงวังชั้นเกือบในค่ะ (เพราะยังมีอีกชั้นหนึ่งนะคะ)




คาดว่าจะเป็นหมู่อาคารที่พักของข้าราชบริพารค่ะ


และนี่...อะไรเอ่ย ให้เดาค่ะ



นาฬิกาโบราณนั่นเองค่ะ สมัยก่อนจะใช้เจ้านี่บอกเวลา และมองเลยไปข้างหลังค่อนมาทางซ้ายมือนิดๆ นะคะ จะเห็นระฆังใบใหญ่ เอาไว้ตีบอกเวลาค่ะ


จัดการประทับตรารายทางเรียบร้อย เราก็เดินผ่านกำแพงชั้นเกือบในเข้าไป จะมีจุดพัก มีรายละเอียดต่างๆ ของราชวังให้ศึกษา มีตู้น้ำดื่มให้กด พร้อมทั้งมีห้องน้ำห้องท่าให้เข้าค่ะ นอกจากนั้นก็จะมีเวทีตั้งอยู่ค่ะ มีการแสดงศิลปะร่ายรำของชาวริวกิวให้ดูด้วย ก็เลยไปนั่งดูซะหน่อย แดดร้อนมากๆ แต่ดีที่มีเต้นท์ให้ มีคนนั่งดูประปรายค่ะ



สังเกตว่าเน้นสีแดงกันจริงๆ เลย



มีการแสดงหลายชุดค่ะ



เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็เป็นแบบชาวริวกิวนะคะ ออกจะคล้ายๆ จีน + เกาหลี + ญี่ปุ่น น่ะค่ะ



เพลงประกอบก็เป็นภาษาริวกิวค่ะ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นฟังได้แต่แปลไม่ออก เหมือนเราเลย ฮา



ปิดท้ายด้วยรูปนี้ค่ะ เราว่านางรำทั้งหมดเป็นผู้หญิงนะคะ หรือว่าไงเอ่ย ^^

หลังจากดูการแสดงจบครบชุดแล้ว (มีหลายชุดมาก) ก็เดินไปจ่ายเงินค่าเข้าชมพระราชวังค่ะ พระราชวังชั้นในต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 1200 เยน แต่ว่านั่งเครื่อง JAL มา เขามีแจก Okinawa passport เลยได้ส่วนลดเหลือเพียงคนละ 900 เยนเท่านั้น

จัดการจ่ายค่าเข้าชมส่วนที่ต้องจ่ายแล้ว (ของคนญี่ปุ่นก็ต้องจ่ายนะคะ นึกถึงวัดพระแก้วเลย คนไทยไม่ต้องจ่าย คนต่างชาติเท่านั้นต้องจ่าย แต่ที่นี่เท่าเทียมกันค่ะ ทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นน้า) ก็พากันเดินผ่านเข้าไปยังกำแพงชั้นในค่ะ ราชวังสีแดงตั้งตระหง่านอยู่กลางแดดสวยงาม



ส่วนประดับหลายส่วนประกอบด้วยมังกรค่ะ ทำให้ยิ่งตอกย้ำไปอีกครั้งว่า ต้องได้รับอิทธิพลจากเมืองจีนมาอย่างแน่นอน

ถ่ายรูปนิดหน่อย ก่อนจะนั่งพักที่ข้างกำแพง คนไม่เยอะนัก คงเพราะเย็นแล้ว ช่วงโอบ้ง นักท่องเที่ยวส่วนมากจะมากันเป็นครอบครัวค่ะ เพราะวันหยุดยาวช่วงนี้คล้ายๆ สงกรานต์บ้านเราน่ะค่ะ วันรวมญาติ กลับไปหาพ่อแม่ พาหลานไปหาปู่ย่าตายายนั่นเอง ครอบครัวที่นั่งข้างๆ เราลูกสาวน่ารักมาก เลยแอบถ่ายรูปมาซะเลย



น้องชายข้างหลังยังเดินเตาะแตะอยู่เลย ครอบครัวนี้มาแบบพ่อ แม่ ลูกๆ และคุณปู่หรือคุณตาก็ไม่ทราบอีกหนึ่งคนค่ะ

ทางด้านขวาของวังหลวง จะมีอาคารนี้ตั้งอยู่ค่ะ



ข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมประวัติความเป็นมา ชิ้นส่วนของราชวังเดิม (ที่เห็นในรูปข้างบนผ่านการบูรณะซ่อมแซมแล้วค่ะ ถอดรองเท้าเข้าชมได้ แต่ห้ามถ่ายรูปค่ะ ก็เลยได้แต่เดินดูอย่างเดียว ข้างในมีรายละเอียดต่างๆ มากมาย รวมถึงชุดชาวริวกิวในสมัยก่อนด้วย ค่อนข้างกว้างนะคะ ทางเดินมีต่อไปจนถึงราชวังหลักเลย



ห้ามถ่ายรูปข้างใน เราก็เลยหันกล้องออกมาถ่ายรูปด้านนอกแทน



ฟ้าสีสวยมากๆ ตัดกับราชวังสีแดงได้อย่างงดงาม


จบจากการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ พวกเราก็พากันเดินต่อไปยังราชวังหลัก ที่เปิดให้เข้าชม แต่ห้ามถ่ายรูปเหมือนเดิม ในราชวังแห่งนี้ไม่มีแอร์ค่ะ เพราะเช่นนั้นจึงร้อนมากๆ แต่มีพัดวางเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวหยิบใช้ (และคืนตรงทางออก) ได้ตามสบาย อ้อ ราชวังสร้างจากไม้นะคะ ที่พื้นไม้จะมีช่องกระจกที่มองลงไปเห็นข้างล่างได้ค่ะ ซึ่งพื้นข้างล่างจะเป็นฐานวังโบราณที่สร้างจากก้อนหินใหญ่ค่ะ ซึ่งฐานวังส่วนนี้ต่างหากที่เป็นมรดกโลกของแท้ค่ะ ไม่ใช่ตัววังที่ตั้งตระหง่านอยู่นะคะ (ไม่มีรูปมาอวด เพราะว่าเขาห้ามถ่ายรูปนั่นเอง)

เดินชมทั้งสองชั้นเรียบร้อย เราก็เดินมายังทางออก มีคุณลุงยามในชุดชาวริวกิวเฝ้าอยู่ และแน่นอนต้องมีดอกไม้สัญลักษณ์ของเมืองค่ะ แต่คราวนี้ไม่ได้เป็นชบาอย่างเดียว แต่มีพู่ระหงษ์ด้วย ซึ่งก็เป็นดอกไม้พันธุ์เดียวกับชบาค่ะ



ดูรูปนี้แล้วให้อารมณ์โอกินาว่ามากๆ เลย

ถัดจากราชวังหลักก็จะเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกค่ะ แต่เราก็ยังไม่วายขอถ่ายรูปวังหลวงอีกสักใบก่อนเดินออกไป




ข้างในร้านค้า จะมีประวัติอื่นๆ อีกนิดหน่อยของราชวังนี้ค่ะ พร้อมทั้งโมเดลนี้ด้วย



เป็นการพบปะของพระราชาผู้ครองอาณาจักรริวกิวกับข้าราชบริพารค่ะ พระราชาจะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ ที่อยู่บนชั้นสองของวัง และหันหน้ามาหาข้าราชบริพารที่นั่งเป็นแถวอยู่บนลานด้านหน้าราชวังนะคะ ดูแล้วก็ให้อารมณ์บ้านเราเหมือนกันเนอะ ^^

จัดการซื้อโปสการ์ดเล็กน้อย กับที่คั่นหนังสืออีกหนึ่งชิ้น เราก็พากันเดินกลับค่ะ



ประตูหินสุดท้าย ก่อนออกจาก Shurijo

แม้แดดจะร้อนมากๆ แต่ Shurijo ก็สวยมากๆ เช่นกันค่ะ ประทับใจมากค่ะ

ออกจาก Shurijo แล้ว ก็มายืนรอรถเมล์ที่ป้าย เพื่อต่อไปยังสถานีโมโนเรลค่ะ นั่งโมโนเรลไปลงสถานีใกล้ๆ กับโรงแรม จัดการเอากระเป๋าออกจากล็อกเกอร์ แล้วพากันเดินแบบอย่างเหนื่อยไปยังโรงแรมที่พัก เช็กอินเรียบร้อย ได้ของขวัญวันเกิดย้อนหลังจาก front ของโรงแรมเป็นพวกกุญแจรูปซีซาร์ สัตว์ในตำนาน เทพเจ้าประจำโอกินาว่า (รูปตามมาทีหลังนะคะ) มาหนึ่งชิ้นค่ะ

วันนั้นไม่ได้กินข้าวเย็น เพราะกินเค้กวันเกิดย้อนหลังจนอิ่ม อร่อย แล้วก็นอนสลบในห้องพักอย่างสบายใจค่ะ เพื่อเตรียมพบกับทัวร์เกาะร้างผู้คนที่ชื่อ Nagannu ในวันพรุ่งนี้ค่ะ


เด็กทะเล
06.8.20



Create Date : 20 สิงหาคม 2549
Last Update : 20 สิงหาคม 2549 17:07:38 น. 9 comments
Counter : 4340 Pageviews.

 
ดูรูปมากมาย สวยงามทั้งนั้น

เห็นแล้วอดอิจฉาคนได้ไปเที่ยวไม่ได้เลยอะ

กุ้งมังกรยักษ์น่ากลัวมากมายยยยยยย

หอยก็น่ากลัว

ดีนะคะที่พี่อ้อมไม่กินกุ้งกะหอย

รอทริปทัวร์เกาะร้างนะคะ


โดย: มินต์สวย IP: 58.8.116.122 วันที่: 20 สิงหาคม 2549 เวลา:18:09:00 น.  

 
น่าไปเที่ยวบ้างจัง...

เมืองก็สวย อาหารก็น่ากิน



โดย: zalapao (Beaut ) วันที่: 20 สิงหาคม 2549 เวลา:18:09:49 น.  

 






โดย: shi-sa IP: 203.78.232.131 วันที่: 20 สิงหาคม 2549 เวลา:18:24:07 น.  

 
หะ หอยตัวใหญ่กว่าหน้า


ปราสาทราชวังคล้ายของจีนมาก ๆ เลยเนอะ ตอนแรกนึกถึง จตุรัสแดงเทียนอันเหมินเลยแหละ


โดย: หนูลี IP: 124.121.126.206 วันที่: 20 สิงหาคม 2549 เวลา:18:29:20 น.  

 
สวยดีค่า...อยากไปเที่ยวบ้างจัง อิจฉา


โดย: N"u N"u IP: 202.28.47.11 วันที่: 20 สิงหาคม 2549 เวลา:22:59:35 น.  

 

* พี่อ้อมแต่งตัวน่ารัก (แอบแซวนิดนึง)


โดย: bess* IP: 133.92.115.192 วันที่: 22 สิงหาคม 2549 เวลา:15:49:05 น.  

 
อิจฉา ฮา มาอิจฉาอีกละ ไม่สร้างสรรเลยเดี๊ยน เอิ๊ก
ก็คนมันอยากไปมั่งนี่นา ฟ้าใสสุดยอด
ว่าแต่ เทคนิคการแอบถ่ายรูปลูกคนอื่นเยี่ยมมากจ้า ฮา
ฝึกมาดีใช่ม๊า

ริวกิว นึกถึงปลาริวกิวที่กินตอนเด็กๆ ที่หวานๆ อ่ะ
(เห็นแก่กินอย่างเห็นได้ชัด ฮา)


โดย: small Qpid วันที่: 2 กันยายน 2549 เวลา:21:50:12 น.  

 
อยากไปเที่ยวอะอยากไปอยู่เลยดีกว่า คิดถึงยูกินะ


โดย: ฟีท IP: 124.157.244.243 วันที่: 27 เมษายน 2551 เวลา:23:10:23 น.  

 
รู้สึกว่าภาพรองสุดท้ายจะไม่ใช่ที่บรรยายไว้นะคะ เป็นภาพการต้อนรับผู้แทนของจักรพรรรดิจีน เรียกทูตได้มั๊งค่ะคือสมัยก่อนจีนมีอิทธิพลกับที่นี่มาก การแสดงหลายอย่างก็เริ่มจากการแสดงให้ทูตจีนดู อย่างชุดที่มีกรับอยู่ในมือ บนหัวผู้แสดงเป็นดอกไม้สีแดง (ถ้าจำไม่ผิดคือ Yotsutake)


โดย: avt00 IP: 202.29.129.160 วันที่: 10 พฤษภาคม 2554 เวลา:17:00:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลิปิการ์
Location :
ตอนใต้ Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

ห้ามผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการนำรูปภาพ และบทความงานเขียน รวมทั้งข้อความต่างๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดในบล็อกแห่งนี้ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add ลิปิการ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.