|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
- 'Winter in Furano, Hokkaido' - 1
- Satou Steak House at Kichijoji, Tokyo
- Ikura Cave & Takahashi Town - Okayama
- Saijo Inari - Okayama
- บันทึกการเดินทาง Fukuyama -> Okayama -> Hokkaido -> Okayama
- บันทึกการเดินทาง Kansai Airport -> Kobe -> Kagawa -> Okayama -> Kumamoto -> Okayama
- Tottori Sand Dune (鳥取砂丘)
- Moss Pink & Tulip - Hokkaido, Japan
- Yakushima (2): Jomon sugi ตอนท้าย
- Yakushima (1): Jomon sugi ตอนต้น
- Summer in Hokkaido (2) - จบ
- Summer in Hokkaido (1)
- Kansai Trip (จบ): Houryuuji - Nara
- Kansai trip (1): Kyoto
- Japan: Shirakawago - Gifu (จบ)
- Japan: Shirakawago - Gifu (4)
- Japan: Bokka no Sato - Gifu (3)
- Japan: Takayama - Gifu (2)
- Japan: Takayama - Gifu (1)
- Tokyo (5): Shibuya & Akihabara (จบ)
- Tokyo (4): Ueno Park
- Tokyo (3): Shinjuku & Sumidakawa - Asakusa
- Tokyo (2): Asakusa
- Tokyo (1): Akihabara
- Nara (1): Japan
- Kurushima Straits Bridge, Ehime-Japan
- Hiroshima Part II (จบ): Miyajima
- Hiroshima, Japan (Part I: Hiroshima city)
- Okinawa (5): Sayo-nara...Okinawa
- Okinawa (4): Ikei-island, Glass boat and Memorial of World War II
- Okinawa (3): Manzamo, Pineapple Park and Okinawa Churaumi Aquarium
- Okinawa (2): Nagannu Island
- Okinawa (1): Shurijo Castle Park
- Sea and Sky: Amakusa, Kumamoto
- White winter in Sapporo
- White illumination - Odori Park, Sapporo
- Eki-ben
- Kouyou, Hokkaido University
- "Asahiyama Zoo" Asahigawa, Hokkaido
- พาเที่ยว "Ghibli Museum, Mitaka"
- "มาเจาะน้ำแข็งกันเถอะ"
- เส้นทางชมธรรมชาติกับบ่อโคลนเดือดริมทะเลสาบ
- Akan Natural Park: Part I มาริโมะน้อยกลอยใจ
- เริ่มแรก
|
|
|
|
|
Nara (1): Japan
สวัสดีปีใหม่ค่ะ มีอัพเรื่องราวที่ไปเที่ยวมาเมื่อตอน ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ นะคะ ^^
ทริปของคราวนี้เป็น Nara-prefecture หรือ จังหวัดนารา อันเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นค่ะ อ้อ ขออธิบายนิดหนึ่ง เผื่อใครจะสงสัยว่าเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นไม่ใช่ เกียวโตหรือ นาราเป็นเมืองหลวงก่อนเกียวโตค่ะ ดังนี้ นารา เกียวโต โตเกียว นั่นเอง ^^
สืบเนื่องมาจากปีที่แล้วได้ไปเที่ยวเกียวโต และเกิดอาการแปลกใจ ที่บ้านเมืองต่างๆ ของเกียวโตไม่เหมือนกับที่คิดไว้ คือคิดเอาไว้ว่าน่าจะเป็นบ้านเมืองเก่าๆ ให้สมกับเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นเสียหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ ใครบางคนก็เลยแนะนำว่างั้นไปนาราน่าจะตรงใจมากกว่า สรุปปีนี้ก็เลยไปนารากัน โดยจะค้างที่นาราสองคืนค่ะ คืนวันที่ 30 และ 31 โดยไฮไลท์ของทริปนี้ก็คือการ สวดมนตร์ขอพรครั้งแรกของปี หรือ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า hatsumode (hatsu = ครั้งแรก, mode = การสวดมนตร์ขอพร)
เริ่มกันที่วันแรกเลย
30 December 2006
เดินทางมาถึงนาราด้วยรถไฟจากเมือง Sanda ในจังหวัดเฮียวโกะ (หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นจังหวัดที่ตั้งของเมืองโกเบนั่นเอง) ไปเปลี่ยนรถที่สถานีโอซาก้า และนั่งรถเร็วจากสถานีโอซาก้าต่อไปอีกประมาณ 48 นาที เราก็มาถึงนารากันที่เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ตอนแรกว่าจะเอาของไปฝากที่โรงแรม แต่โรงแรมนี้ปิดตอน 10-15 น. ก็เลยต้องควักเงินเอาของไปฝากไว้ในล็อกเกอร์ แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมล็อกเกอร์ไม่เต็ม และที่นาราเมืองเล็กกว่าที่เกียวโตมากนัก
แวะถ่ายรูปตู้ไปรษณีย์ที่หน้าสถานีนารา บนหลังตู้มีวัดตั้งอยู่ด้วย
และไม่ห่างกันนักก็จะมีคัทเอาท์บอกว่าแต่ละเดือนมีเทศกาลอะไรน่าชมดังนี้
ช่วงนี้เป็นของเดือนธันวาคมและเดือนมกราคมค่ะ มีเทศกาลน่าสนใจหลายอย่างเลย อ้อ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นาราค่อนข้างเยอะนะคะ พอๆ กับเกียวโตเลยล่ะ
หลังจากจัดการกับข้าวของตัวเองเรียบร้อย ก็จับรถเมล์ไปยังวัดที่อยู่ห่างออกจากไปจากสถานีรถไฟนารากัน
วัดแรกที่ไปเยือนคือวัด Toshodaiji ค่ะ (ji ที่ต่อท้ายชื่อวัด แปลว่า วัด นะคะ)
วัดนี้เป็นมรดกโลกเช่นกันค่ะ โดยมากแล้ววัดใหญ่ๆ ในนาราเกือบทุกวัดจะเป็นมรดกโลกค่ะ
มีป้ายยืนยันแบบข้างบนให้เห็นชัดเจน
หลังจากจ่ายเงินค่าเข้าชม ก็พากันเดินเข้าไปข้างใน แล้วก็ช็อก...เพราะว่าโบสถ์ที่ควรจะเปิดให้เข้าชมนั้นปิดทำการบูรณะซ่อมแซม T-T ของเขาซ่อมแซมแบบทำเป็นอาคารปิดโบสถ์เดิมเอาไว้เลยค่ะ มีช่องกระจกใสๆ ให้ส่องดู กับรูปของจริงเอาไว้ให้เทียบ อย่างเศร้าเลย
ตั๋วเข้าชม กับรูปถ่าย
ตัวโบสถ์จะเป็นไม้ค่ะ อายุราวพันกว่าปีแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการบูรณะซ่อมแซมทุกปี ครั้งละประมาณสองเดือนค่ะ
หลังจากเดินส่องๆ ดูโบสถ์ที่กำลังซ่อมแซมผ่านกระจก ก็เดินเลยไปข้างหลัง (บริเวณวัดค่อนข้างกว้างค่ะ) จะมีโบสถ์ที่ตั้งของพระพุทธรูปที่สร้างจากไม้ต่างๆ แสดงเอาไว้ให้ชม แต่ห้ามถ่ายรูปนะคะ คาดว่าเพราะกลัวแสงแฟลชจะทำให้เกิดความเสื่อมโทรมต่อวัตถุโบราณน่ะค่ะ
เราก็เลยถ่ายตอนเดินออกมาแล้วซะเลย มองไม่ค่อยเห็นหรอกนะคะ ข้างในค่อนข้างมืด
ส่วนนี่เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเอาไว้เก็บสมบัติในสมัยก่อนค่ะ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโบสถ์มากนัก
หลังจากเดินรอบๆ ก็แวะเข้าไปดูอาคารที่เขาเอาวัตถุโบราณมาตั้งไว้ให้ชมค่ะ เสียค่าเข้าชม 100 เยน ในอาคารหนาวมากๆ ห้ามถ่ายรูปเหมือนเดิม มีพระพุทธรูปต่างๆ มากมาย อายุพันกว่าปีค่ะ
ตัวอย่างพระพุทธรูปที่ตั้งแสดงไว้ให้ชม
เราว่าดูคล้ายศิลปะของจีนนะคะ อ้อ ว่าแล้วก็ขอเล่าก่อนว่าวัดนี้สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกถึงพระจีนรูปหนึ่งค่ะ ท่านพยายามจะเดินทางมาญี่ปุ่น (ในอดีตเมื่อพันกว่าปีก่อน) แต่มาไม่ถึง มีอุปสรรคต่างๆ มากมาย จนกระทั่งตาของท่านบอด ในที่สุดท่านก็เดินทางมาถึงญี่ปุ่น มาเผื่อเผยแพร่ธรรมะน่ะค่ะ วัดนี้ก็เลยถูกสร้างมาเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระรูปนี้นั่นเอง
หลังจากชมวัตถุโบราณกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินชมสวนอันกว้างขวาง อากาศเย็นมาก แม้ฟ้าจะใสก็ตาม
รูปข้างบนคือกำแพงวัดค่ะ ในอดีตกำแพงหรืออาคารบ้านเรือนต่างๆ จะสร้างจากดินโคลนและฟางข้าวค่ะ เอามาผสมกันทำเป็นกำแพงอย่างที่เห็นนั่นเอง
ตรงส่วนนี้เป็นคล้ายๆ กุฎิของพระค่ะ ห้ามคนภายนอกเข้า ระหว่างกำลังถ่ายรูปอยู่ คุณลุงพระก็เดินมาเปิดประตูเข้าไปเฉยเลย แอบอิจฉา ไม่ได้จ่ายเงินค่าเข้าชม แต่ได้เข้าไปข้างในซะงั้น ฮา
เอาภาพทั่วๆ ไปในวัดมาให้ชมค่ะ
เนื่องจากตัวอาคารเป็นไม้ ดังนั้นจะเห็นกระป๋องใส่น้ำวางตั้งไว้ข้างๆ ตัวอาคารทุกอาคารเลยค่ะ เอาไว้สำหรับดับไฟ ถ้าเกิดอยู่ๆ ไฟก็ลุกขึ้นมาเอง
หลังจากชมวัด Toshodiji เสร็จ เราก็พากันเดินตรงไปยังวัด Yakushiji ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัด Toshodaiji มากนัก
ภาพระหว่างทางค่ะ
หลังคาประตูบ้าน หรือวัดก็ไม่ทราบ ที่ทำเป็นหน้าคล้ายๆ ยักษ์ดูน่ากลัว เพราะจะเอาไว้คอยกั้นไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาค่ะ
ต้นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จักชื่อค่ะ แต่จะเห็นบ่อยมาก เพราะจะออกลูกสีแดงเล็กๆ เต็มต้นตอนช่วงหน้าหนาวค่ะ ปกติเคยเห็นแต่ต้นเล็กๆ แต่ต้นนี้ใหญ่มากจริงๆ
หลังจากเดินมาถึง Yakushiji แล้ว ท้องก็เริ่มประท้วง เพราะหิวข้าว เนื่องจากบ่ายสองกว่าแล้ว ก็เลยแวะเข้าร้านคาเฟ่เล็กๆ ข้างวัด (ใกล้จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว ดังนั้นร้านค้าต่างๆ ที่มีรอบๆ ปิดกันเกือบหมดแล้วค่ะ)
ถ่ายรูปในร้านซะหน่อย ฮา
เมื่อจัดการอาหารมื้อกลางวันที่ไม่ค่อยอร่อยนักเสร็จ ก็พากันเดินไปชมวัด Yakushiji ค่ะ
หน้าวัด คนมาเที่ยวเยอะกว่าวัด Toshidaiji นะคะ
แน่นอนว่าเป็นมรดกโลกค่ะ
ชื่อวัดแปลว่า ยา นะคะ คุณไกด์กิติมศักดิ์เล่าว่ามีชื่อเสียงทางเรื่องยารักษาโรค แต่นะ เชื่อไม่ค่อยได้ เพราะชอบบอกอะไรผิดๆ เป็นประจำ (ชอบอำนั่นเอง)
ที่นี่ก็มีโบสถ์ที่ปิดซ่อมห้ามเข้าชมค่ะ
แต่วัดยังมีส่วนอื่นๆ ให้ชมอีกเยอะ เพราะงั้นแม้จะเศร้าแต่ก็ไม่เป็นไร ฮา
วัดที่นี่เน้นสีแดงนะคะ แตกต่างจากเกียวโตอยู่ไม่น้อย ที่เห็นข้างบนเป็นคล้ายๆ กำแพงวัดค่ะ จะสร้างไว้ล้อมรอบโบสถ์และเจดีย์
ตัวโบสถ์หลักของวัดนี้
ด้านหน้าของโบสถ์จะมีเจดีย์ตั้งอยู่สองข้าง ข้างขวามือจะเป็นสีดำ อายุประมาณพันสามร้อยปี
ส่วนซ้ายมือจะเป็นเจดีย์สีแดง อายุน้อยกว่ามาก ประมาณ 200-300 ปี ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสร้างขึ้นมาแทนเจดีย์องค์ที่ถูกเผาไปค่ะ
(แดดสะท้อนเลยเห็นไม่ค่อยแดงเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วสีแดงค่ะ)
เจดีย์ทั้งสององค์สร้างไว้เก็บกระดูกผู้เสียชีวิต มีทั้งหมดสามชั้นค่ะ
โบสถ์อีกมุมหนึ่ง ข้างในเปิดให้เข้าชมได้ แต่ห้ามถ่ายรูปเหมือนเดิมค่ะ ข้างในก็จะมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ในปางต่างๆ อายุกว่าพันปี สร้างขึ้นจากไม้ค่ะ
ตอนนี้ที่วัดก็มีการเตรียมงานสำหรับคนที่จะมาไหว้พระขอพรกันในวันปีใหม่แล้วค่ะ คนจะมากันเยอะมาก และเป็นช่วงเทศกาลที่ทางวัดจะทำเงินได้มากที่สุดของปีเลยทีเดียว ไม่ได้จากการทำบุญหรอกนะคะ ได้จากการขายของพวกเครื่องรางต่างๆ มากกว่า
ชมวัดเรียบร้อย ก็พากันเดินกลับออกมาค่ะ ตรงโถงทางเข้าจะมีสิ่งจำลองต่างๆ ตั้งไว้ให้ดูบ้างเหมือนกัน
ที่เห็นข้างบนคือฐานสำหรับตั้งพระพุทธรูปค่ะ เป็นแบบจำลอง ของจริงตั้งอยู่ในโบสถ์ค่ะ
ปิดท้ายวัดนี้ด้วยเจ้าต้นนี้ อะไรก็ไม่รู้ แต่ออกลูกสีน่ารักดี
ออกจากวัด Yakushiji แล้ว ก็ตัดสินใจกันว่าจะไปไหนต่อดี ระหว่างวัดที่สร้างจากไม้และเก่าแก่สุดของญี่ปุ่น รวมทั้งของโลกด้วย (ชื่อวัด Houryouji) แต่ว่าอยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล กับไปหมู่บ้าน Imai ซึ่งยังมีบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่นโบราณที่คงสภาพดีเอาไว้ให้ชม ก็ขึ้นรถไฟกันไป แล้วตกลงว่าไปดูบ้านเรือนแบบญี่ปุ่นโบราณกันดีกว่า นั่งรถไฟไปประมาณสี่สิบนาทีก็ถึงสุดสายค่ะ สรุปว่านั่งเลย เพราะถ้าจะไปเที่ยวหมู่บ้านนั้นต้องลงก่อนสุดสายสองป้าย ก็เลยต้องเสียเงินนั่งรถย้อนกลับไปอีก มีทางออกสำหรับเดินดูหมู่บ้าน Imai เลย
คนน้อยมากๆ คาดว่าไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่ เพราะน่าจะเพิ่งเป็นที่รู้จักได้ไม่นานค่ะ (ถามคนนาราเองยังไม่รู้จักเลย ฮา)
ป้ายบอกเล่าเรื่องราวของหมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านสมัยเอโดะค่ะ อายุเพียงแค่ประมาณ 300 ปีเท่านั้นเอง (ประมาณอยุธยาบ้านเราน่ะค่ะ)
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีทางเดินต่อเชื่อมกันหมด เดินเป็นสี่เหลี่ยมก็ได้ค่ะ จะมีแผนที่แจกตรงสถานีรถไฟนะคะ ระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกสถานที่ต่างๆ ดังนี้
ส่วนนี่เป็นฝาปิดท่อระบายน้ำ ทำเป็นรูปรถดับไฟ...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ฮา แต่คาดว่าเพราะหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นจากไม้ ควรจะระวังฟืนระวังไฟนั่นเอง (มั่วแหลก)
ระหว่างทางก็ถ่ายรูปเพลิดเพลิน ไม่มีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ค่ะ (เห็นคนสองคนเอง) หมู่บ้านนี้ยังมีชาวบ้านอาศัยตามปกติค่ะ มีคุณลุงเดินผ่านมาก็บอกให้ถ่ายรูปไว้เยอะๆ นะ แต่ขอโทษที...เราฟังสำเนียงคุณลุงไม่ออกล่ะ มันออกสำเนียงคันไซมากๆ ฟังเสร็จต้องหันไปถามคุณไกด์ว่าลุงพูดอะไร ฮา
มุมนี้ให้อารมณ์เหมือนตอนไปเกียวโตเลยค่ะ ทางแคบๆ ดูเก่าๆ โบราณๆ
เนื่องจากว่าหมู่บ้านนี้เป็นไม้ทั้งหมด จึงมีที่ดับเพลิวตั้งไว้เป็นระยะๆ ค่ะ อ้อ ที่นี่ถือเป็นสมบัติของชาติ (ญี่ปุ่น) นะคะ เวลาจะบูรณะซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรต้องขออนุญาตจากรัฐบาลญี่ปุ่นก่อนค่ะ (แม้ว่าจะเป็นเจ้าของบ้านเองก็ตาม)
ร้านหรือบ้านเรือนที่เปิดให้เข้าชมโดยมากปิดหมด เพราะใกล้วัดปีใหม่แล้ว (เขาปิดกันตั้งแต่วันที่ 29 แล้วค่ะ) เหลืออยู่แค่สองหลังเท่านั้นเองที่เข้าชมได้ กับร้านน้ำชาอีกหนึ่งร้าน
ร้านแรกที่เข้าชมค่ะ ร้านขายเหล้าค่ะ
ลูกกลมๆ แขวนไว้หน้าร้านทำไมก็ไม่รู้ แต่น่ารักดี
ข้างในร้านมีเหล้าชนิดต่างๆ ตั้งแสดงเอาไว้ให้ชม รวมถึงถ้าต้องการซื้อก็ซื้อได้ค่ะ
บอนไซประดับในร้าน สวยดี
ข้างในร้านจะมีห้องเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ค่ะ เป็นแบบบ้านเรือนสมัยก่อน แต่ชมได้ไม่กี่ห้องนะคะ เพราะว่าบ้านหลังนี้มีคนอาศัยอยู่ เหมือนกับเป็นการบุกรุกบ้านของชาวบ้านนั่นเอง ถ้าจะเข้าไปชม
ห้องครัวในอดีตค่ะ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับห้องนั่งเล่นเลย
ส่วนนี่คือเกี้ยวค่ะ เป็นเกี้ยวสำหรับไว้ส่งเจ้าสาวในพิธีแต่งงาน
ชมในร้านนิดหน่อย (โดยไม่ซื้ออะไรก็เดินออกมาดูบ้านเรือนรอบๆ ต่อค่ะ)
หลังจากนั้นก็พยายามพากันเดินไป Tourist information centre และแล้วก็มาถึง
แต่ปิดค่ะ อย่างขำเลย ปิดด้วย เป็นการยืนยันว่านาราเล็กจริงๆ เพราะปกติแหล่งท่องเที่ยวพวก information centre จะเปิดอยู่ตลอดอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันหยุดยาวที่มีนักท่องเที่ยวเยอะอย่างช่วงนี้ แต่พวกเราก็ไม่ได้ว่าไรหรอกค่ะ ขำๆ แล้วก็เดินดูกันต่อ
มองดูทางขวามือของประตูให้ดีๆ นะคะ จะเห็นเจ้าขนขาวๆ ปุยๆ นั่นคือหมาค่ะ ตัวใหญ่มากๆ ขอบอก
ส่วนนี่เป็นที่อยากดูมาก เพราะข้างในจะมีห้องเล็กๆ ตั้งแสดงเอาไว้ให้ชม คล้ายๆ เป็นคอนโดมิเนียม หรืออพาร์เม้นต์ในปัจจุบันน่ะค่ะ
ที่เห็นเป็นกล่องๆ ข้างหน้าคือกล่องรับจดหมายของแต่ละห้องค่ะ ปกติเขาเปิดให้เข้าชม แต่วันนี้...ปิด
วัดเล็กๆ ในหมู่บ้าน
ระหว่างเดินอาการหนาวสุดๆ แสงอาทิตย์ก็กำลังจะลับฟ้าแล้ว เพิ่งสี่โมงกว่าๆ เท่านั้นเอง แล้วเราก็เจอร้านขายขนมค่ะ
แวะเข้าไปนั่งพักขา กับหาไออุ่นกันหน่อย บรรยากาศภายในร้าน (ไม่มีคนเลย)
เราเลือกนั่งกับพื้นค่ะ หน้าเตาไฟ จะได้อุ่นหน่อย
ข้างในเตามีถ่าน (ฮา) ขี้เถ้ามีการเขียนลายด้วย (แปลความหมายไม่ออกหรอกค่ะ) ตะเกียบที่ใช้หนีบถ่านทำจากทองเหลือง หนักมาก
เราสั่งชุดชาเขียวโบราณ พร้อมกับขนมญี่ปุ่นหนึ่งชิ้น
ส่วนของคุณไกด์เป็นชุดกาแฟกับวาราบิโมจิ (ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะลงมืออย่างรวดเร็ว <- แย่งเขากินด้วย ฮา)
นั่งหน้าเตาอย่างอุ่นมากๆ ไม่อยากลุกออกไปไหนเลย คนในอดีตนี่เขาก็ทนหนาวกันเก่งนะ ที่บ้านไม่มีฮีทเตอร์ แต่หน้าหนาวอยู่ได้ไงก็ไม่รู้
ร้านจะปิดห้าโมงเย็น พวกเราก็เลยเดินออกมากัน บ้านเรือนเงียบมากๆ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ระหว่างทางเดินกลับ เจอบ้านหลังหนึ่งเปิดให้เข้าชม แต่ปิดห้าโมงเย็น พอดีเจอเจ้าของบ้าน (หลังจากคุยกันพบว่าเป็นเจ้าของบ้านที่สืบทอดบ้านหลังนี้มาเป็นอันดับที่ 11 แล้ว) ไปถ่ายคุณน้า (ยังไม่แก่พอจะเป็นลุงอ่ะนะ) คุณน้าก็โอเค ชมได้ ก็เลยเสียคนละ 200 เยน เข้าไปชมข้างใน
อันนี้เป็นทางเข้าพิเศษค่ะ ปิดตายเอาไว้ เพราะในอดีตสร้างทางนี้ขึ้นมา เพราะอดีตจักรพรรดิของญี่ปุ่นเสด็จมาเยือนที่นี่ เลยต้องสร้างทางพิเศษเอาไว้ต้อนรับ
ห้องครัวอีกแล้ว
ห้องต่างๆ ในบ้าน
คุณน้าเจ้าของบ้านอธิบายต่างๆ มากมายให้ฟัง เป็นภาษาคันไซ ฟังลำบากจริงๆ ดีมีคนให้ถาม เลยพอรู้เรื่องบ้าง พวกคนงานในบ้านจะนอนชั้นบนค่ะ แต่เวลาขึ้นไปแล้วนี่ห้ามลงนะคะ เพราะเจ้าของบ้านจะชักบันไดออก กันคนงานหนีออกจากบ้าน (ทาสหรือเปล่าเนี่ย) และก็เพิ่งรู้ว่าทำไมบ้านญี่ปุ่นถึงได้เตี้ยนัก หลังจากเข้าใจผิดอยู่นานว่าเพราะคนญี่ปุ่นในสมัยก่อนเตี้ย (อย่างโนบุนากะนี่สูงแค่ประมาณ 150 เซนฯ เท่านั้นเองค่ะ) คุณน้าเจ้าของบ้านเล่าว่า เพราะคนในอดีตมีอาวุธคือดาบค่ะ เวลาสู้กันก็จะชักดาบออกมา ถ้าบ้านเตี้ย ดาบก็จะติดคานบ้านค่ะ ทำให้ผู้ร้ายเข้ามาทำร้ายเจ้าของบ้านไม่ได้นั่นเอง
ดูกันสักพัก คุณน้าก็พาไปดูของน่าสนใจ ประตูบ้านค่ะ
คุณน้าเจ้าของบ้านกับประตู ปกติแล้วเวลาคนเข้าออกจะเปิดแค่ประตูเล็กเท่านั้นค่ะ แต่ประตูนี้คล้ายๆ กับกลไกของนินจาเลยล่ะ มีพับขึ้นดึงลง เปิดออกเป็นประตูเล็กใหญ่ได้ตามต้องการเลยค่ะ สุดยอดดีจริงๆ
พอเราดูเสร็จ คุณน้าก็ปิดบ้านหนีทันที ฮา
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ถึงเวลากลับแล้วค่ะ
ต้นไม้ใหญ่ระหว่างทางเดินกลับ อายุกว่าสี่ร้อยปีชื่อต้น Enoki
ในใต้ไม้มีโพรงใหญ่ด้วย ให้อารมณ์เหมือนเรื่อง Tonori no totoro เลยทีเดียว (อ้อ ที่โคนต้นไม้มีร้านขายทาโกะยากิด้วยค่ะ ฮา)
จบหนึ่งวันที่ยาวนาน แล้วมาต่อกันวันที่สองกันคราวหลังน้า ^^
เด็กทะเล 07.1.6
Create Date : 06 มกราคม 2550 |
Last Update : 6 มกราคม 2550 14:34:41 น. |
|
14 comments
|
Counter : 1881 Pageviews. |
|
|
|
โดย: kanda IP: 58.9.39.102 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:14:58:37 น. |
|
|
|
โดย: nunja555 IP: 58.9.175.86 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:21:16:59 น. |
|
|
|
โดย: Yasmin IP: 158.108.86.181 วันที่: 7 มกราคม 2550 เวลา:8:57:22 น. |
|
|
|
โดย: นรานินี วันที่: 7 มกราคม 2550 เวลา:21:57:42 น. |
|
|
|
โดย: ปลากัด (LonelySeason ) วันที่: 8 มกราคม 2550 เวลา:0:44:57 น. |
|
|
|
โดย: เด็กทะเล (ลิปิการ์ ) วันที่: 8 มกราคม 2550 เวลา:8:37:05 น. |
|
|
|
โดย: ปุ้ม IP: 158.108.134.20 วันที่: 8 มกราคม 2550 เวลา:10:50:15 น. |
|
|
|
โดย: oa IP: 202.28.9.80 วันที่: 9 มกราคม 2550 เวลา:10:32:38 น. |
|
|
|
โดย: nurin IP: 58.8.163.125 วันที่: 9 มกราคม 2550 เวลา:21:21:39 น. |
|
|
|
โดย: หนูลี IP: 125.24.243.92 วันที่: 10 มกราคม 2550 เวลา:7:36:39 น. |
|
|
|
โดย: เด็กทะเล (ลิปิการ์ ) วันที่: 10 มกราคม 2550 เวลา:19:06:25 น. |
|
|
|
โดย: เด็กเนินมะปราง IP: 203.155.175.17 วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:23:41:01 น. |
|
|
|
โดย: รันจัง IP: 125.25.1.164 วันที่: 20 มกราคม 2550 เวลา:12:46:03 น. |
|
|
|
โดย: แสนรัก IP: 61.7.164.251 วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:12:49:56 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ตอนใต้ Japan
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]
|
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการนำรูปภาพ และบทความงานเขียน รวมทั้งข้อความต่างๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดในบล็อกแห่งนี้ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญติไว้สูงสุด
|
|
|
|
|
|
|
สวัสดีปีใหม่นะคะ