Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
2 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
สยองขวัญ สะอิดสะเอียน น่าเรียนรู้

ปกใต้เรือน



นวนิยายเรื่อง “ใต้เรือน”
โดย เดชา เวชชพิพัฒน์
บทนำ
ท่ามกลางความมืดที่โรยตัวอยู่ในยามวิกาล แม้จะเป็นคืนข้างแรมที่มีเพียงหมู่ดาวกระจายเกลื่อนฟ้า ปราศจากแม้เพียงเสี้ยวจันทร์ประดับราตรี แต่กระนั้น โลกก็ไม่เคยมืดมิดราวปิดตา ยิ่งเป็นที่โล่งกว้างห่างไกลชุมชน ก็ยิ่งสว่างพอจะมองเห็นโรงเก็บศพเป็นเงาดำทะมึน ยืนตัวอยู่ท่ามกลางเงาตะคุ่มของเหล่าต้นไม้ใหญ่น้อย ที่ขึ้นประปรายอยู่รายรอบ หญ้าแห้งระหว่างทางจากโรงเก็บผีไปยังที่เผาผี เปรียบได้กับพรมที่ลาดปู เงาตะคุ่มของไม้เล็กไม้ใหญ่ เปรียบได้กับสมาชิกเก่าที่มารวมตัวกัน เพื่อต้อนรับสมาชิกจากโรงเก็บศพ เดินทางสู่เชิงตะกอนเพื่อรอเผาเป็นธุลี
ยิ่งในเวลาดึกสงัดเช่นนี้ ลมแรงยามค่ำคืนที่พัดเหล่าต้นไม้ให้โอนเอนไปมา ยิ่งทำให้ดูราวกับมีชีวิต เคลื่อนไหวประดุจภูตผีในจินตนาการ เสียงหมาหอนดังแทรกมาในความเงียบสงัด ก็ยิ่งสร้างบรรยากาศให้บริเวณนี้เป็นสถานที่เฉพาะของร่างที่ไร้ลมหายใจ
ท่ามกลางเงาตะคุ่มของเหล่าต้นไม้ ปรากฏการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ที่มีรูปร่างลักษณะใกล้เคียงกับซากผีในโรงเก็บ เพียงแต่ร่างนี้กลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วอย่างชำนาญทาง
ร่างนั้นอาศัยพุ่มไม้กำบังตัว ค่อยๆ ย่องลัดเลาะไปตามสุมทุมพุ่มไม้เหล่านั้น กางเกงขาก๊วยสีดำราวสีผิว ช่วยพรางตัวได้เป็นอย่างดี คืนนี้อีกเช่นกัน ที่ร่างนั้นเปลือยท่อนบนตั้งแต่ออกจากห้องใต้กุฏิ เผยให้เห็นผิวแห้งดำบนร่างผอมเกร็งแบบเนื้อหุ้มกระดูก ซึ่งปูดโปนออกมาตามส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เห็นได้อย่างชัดเจน กลากเกลื้อนสาดไล่ทั่วแผ่นหลัง ผิวกายหยาบแห้งราวซากศพ และกำลังเคลื่อนกายอย่างคล่องแคล่วชำนาญทาง มุ่งหน้าไปยังโรงเก็บผี
เสียงลมพัดแผ่นสังกะสีที่กระเดกออกมาดังแกรกกราก เกิดจากการกระทำของร่างนั้นเอง ด้วยความคุ้นทาง เขาย่องเข้าใกล้แผ่นสังกะสีอันเป็นทางเข้าส่วนตัว ยกแผ่นสังกะสีให้อ้ากว้างขึ้น ทรุดตัวลงนอนหงายราบกับพื้น ใช้มือข้างที่ถือค้อนดันแผ่นสังกะสีไว้ มืออีกข้างใช้ดันตัวลอดผ่านเข้าไปภายใน
โผล่เข้าไปในโรงผีได้ครึ่งตัว กลิ่นศพโชยกระทบจมูก เขาหยุดเคลื่อนกายพร้อมสูดกลิ่นผีอย่างเต็มแรง สูดกลิ่นอันคุ้นเคย กลิ่นที่เป็นสัญญาณแห่งความสุข กลิ่นที่กระตุ้นอารมณ์ปรารถนาจนมือสั่นระริก
ร่างนั้นพยายามหักห้ามใจ จนกระทั่งลอดผ่านเข้าไปหมดทั้งตัว วางค้อนและไฟฉายลงข้างตัว ก่อนลุกยืนสูดลมหายใจเต็มแรงอีกครั้ง สูดกลิ่นผีเข้าปอดอย่างเมามัน รู้สึกถึงการตื่นตัวของอวัยวะเพศทันที เขาขยับมือที่ว่างอยู่ลูบคลำอวัยวะนั้น ราวกับปลอบให้ใจเย็น จากนั้นจึงเลื่อนมือไปปลดปมผ้า ปล่อยเครื่องนุ่งห่มชิ้นเดียวที่มีอยู่ หลุดเลื่อนไปกองที่พื้น เผยให้เห็นอวัยวะที่ชูชันแข็งตัว
อารมณ์ของเขา “ได้ที่” แล้ว จึงเปิดไฟฉายแล้วกระดกไปเบื้องหน้า แสงไฟส่องเป็นลำเห็นหีบศพวางเรียงราย ก้าวเท้าเข้าไปอย่างรู้ตำแหน่ง เพราะเขาเพิ่งเข้ามาในที่นี้เมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา ... ในฐานะญาติของผู้ตาย


หนุ่มวิปริตเดินไปยืนข้างโลงศพที่วางอยู่บนพื้น วางอุปกรณ์ลงข้างตัวแล้วทรุดนั่งข้างหีบศพ ยกสองมือสั่นระริกโอบกอดโลงไม้นั้น เกลือกหน้าซุกจมูกดมไปตามโลงไม้ ยิ่งคราวใดที่ปลายจมูกลากผ่านรอยต่อของโลง กลิ่นศพที่โชยขึ้นมายิ่งทำให้ร่างผอมดำสั่นสะท้าน เขายิ่งสูดลมหายใจแรงยิ่งขึ้น เงยหน้ากลืนน้ำลายลงคอ คว้าหยิบค้อนขึ้นถือในมือ ลุกยืนไปที่ด้านหัวของโลงผี เสียบปลายที่ใช้งัดเข้าไปในรอยที่เผยออยู่ แล้วจึงออกแรงเต็มที่
“ปึ้ด”
เสียงฝาโลงถูกงัดออกมาจุดหนึ่งแล้ว จากนั้นจึงทยอยงัดไปตามทางยาวของหีบผี จนฝาโลงเผยอขึ้นมาทั้งหมด กลิ่นหืนที่โชยออกมาที่ให้ง่านมากยิ่งขึ้น ออกแรงยกฝาโลงออกวางด้านข้างอย่างลุกลน
สตรีวัยสามสิบต้นรูปร่างอวบอัดนอนตายตาปิดสนิทอยู่ในโลงนั้น ขอบตาช้ำดำ หน้าขาววอกด้วยแป้งรองพื้น ริมปีฝากแดงสดด้วยเครื่องสำอาง สองมือมัดพนมไว้พร้อมดอกไม้ธูปเทียน ... ร่างผอมเกร็งนั้นยกศพออกจากโลงอย่างทุลักทุเล ก่อนจะวางลงอย่างทะนุถนอม เขาลงมือกับงานขั้นแรกก่อน นั่นคือการแก้มัดตราสัง ต่อจากนั้นคือการยืดแขนศพที่อยู่ในท่าพนมมือให้กางออก ก่อนจะเริ่มบีบคลำตามเนื้อตัว
“สวยไม่สร่างเลย” เขาพึมพำแล้วคิดต่อ ... เกือบเน่าแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ฟาดละวะ ... นึกเสียดายที่ร่างไม่เต่งตึงเท่าที่ควร พร้อมกับจ้องหน้าอกผีด้วยตาเป็นมันวาว ยกสองมือลูบไล้เนินอกแผ่วเบา แล้งจึงแรงขึ้นๆ ก่อนจะปลดกระดุมเปลื้องท่อนบนและท่อนล่างของศพ
ร่างผอมดำนั้นบำบัดความใคร่กับศพหลายต่อหลายครั้งจนแทบหมดแรง ระบายทั้งความใคร่และความเก็บกดที่มีอยู่ในใจ อารมณ์วิปริตทำให้เขามี “แรงเพศ” อย่างมากมาย ค้านกับรูปร่างผอมบางราวกับคนใกล้ตาย
เมื่อเสร็จกิจ จึงคุกเข่ามองร่างนั้นด้วยความเสียดาย จนใจว่าหมดสิ้นเรี่ยวแรงใดๆ แล้ว นึกอยากกลับมาอีกครั้งในวันพรุ่ง แต่สภาพร่างตรงหน้าบอกให้รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ แค่คืนนี้เขาก็ทำศพช้ำไปมากแล้ว
ต่อจากนั้น เขาจัดแจงใส่ชุดให้ศพแล้วมัดตราสังเหมือนเดิม ยกกลับเข้าโลง ปิดฝาตอกตาปูกลับครบทุกตัว เบาใจว่า กว่าจะเผาก็ไม่มีร่องรอยอะไรให้สังเกตเห็นแล้ว จากนั้นจึงเดินโทงๆ กลับไปทางเดิม คว้ากางเกงที่ถอดกองไว้ขึ้นนุ่ง มุดออกไปภายนอกด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง


บทที่ 1
แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปทั่วหมู่บ้าน ถนนสายหลักทำด้วยลูกรังที่ชื้นน้ำค้าง สะท้อนแสงอาทิตย์ราวกับปูด้วยแผ่นทอง ฝั่งซ้ายขวาของถนนสายนั้น เรียงรายด้วยเรือนยกพื้นกั้นฝาแบบเรียบง่าย มุงหลังคาด้วยหญ้าแห้งและกิ่งไม้เป็นส่วนใหญ่ ที่สะท้อนแสงยามเช้าเช่นเดียวกับถนนหน้าบ้าน
กล่าวได้ว่าเกือบทุกพื้นที่ของหมู่บ้าน และเกือบทุกตารางนิ้วของบ้านแต่ละหลัง ล้วนฉาบทาด้วยแสงแห่งชีวิต จะมีที่ว่างเว้นก็แต่บริเวณใต้ถุนเรือนที่อยู่ในเงามืดมาโดยตลอด โดยเฉพาะบางบ้านที่ตีฝาปิดใต้ถุนหมดทั้งสี่ด้าน เหลือทางเข้าเพียงน้อยนิด ก่อให้เกิดบริเวณอันมืดมิดสำหรับเก็บของรกหูรกตา
ที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้าน เด็กๆ ต่างพากันมาวิ่งเล่นตั้งแต่ตื่นนอน ส่งเสียงดังลั่นสนุกสนานเต็มที่ ทุกดวงตาของเด็กเหล่านั้น สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายแจ่มจรัส มีดวงตาเศร้าซึมของเด็กชายร่างผอมผิวดำ
แม้เขาจะกระโดดโลดเต้นอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง แม้จะยิ้มแย้มส่งเสียงหัวเราะเหมือนคนอื่นๆ และแม้เขาจะผอมดำเหมือนเด็กอีกหลายคน แต่เด็กชายพูนมีบางอย่างที่แตกต่างจากเพื่อนๆ รายรอบ
นั่นคือดวงตาที่เศร้าสร้อยค้านกับวัยสดใส
เด็กชายพูนกระโดดขาเดียวไล่จับเพื่อนๆ เขาถูกจับให้เป็นกระต่ายขาเดียวมาหลายรอบแล้ว ยังไม่สามารถจับเพื่อนที่วิ่งวนไปวนมาได้แม้แต่คนเดียว
“เข้ามาสิวะไอ้พูน ไอ้กระต่ายขาหัก”
พูนโผเข้าตามคำท้าอย่างสุดแรง แต่ไม่ทันอีกฝ่ายที่หลบได้อย่างคล่องแคล่ว แม้พูนจะเสียหลักแต่ก็ไวพอจะคว้าร่างหนึ่งที่วิ่งเข้ามาพอดีไว้ได้ แต่แรงโผทำให้ล้มลงทั้งคู่ หน้าของพูนชุกอยู่กับอกแบนราบของเด็กหญิง ที่ร้องไห้ออกมาทันทีที่ล้มลง
ยังทันจะลุกขึ้น พูนก็เจ็บแปลบที่หนังหัว เขาถูกเพื่อนร่างโตจิกผมให้ห่างออกมาจากเด็กหญิง
“ไอ้พูน มึงทำน้องกูร้องไห้หรือวะ แล้วยังเสือกซบนมน้องกูอีก” ด่าขาดคำพี่ชายจอมหวงกำหมัดฟาดบ้องหูพูนเต็มแรง พูนดิ้นจนหลุดออกมานอนกองที่พื้น จ้องหน้าคู่อริด้วยความโกรธ
“มองทำไมวะไอ้ลูกไม่มีแม่” ฝ่ายที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าด่าได้แค่นั้นก็ต้องรีบตั้งรับอีกฝ่าย ที่โผเข้ามาเต็มแรง ทั้งคู่ชกกันนัวเนีย แม้พูนจะตัวเล็กกว่า แต่ก็บ้าเลือดเกินตัว แรงโกรธที่ถูกกระทบปมด้อยทำให้ลืมกลัวลืมขนาด เขาทั้งชกทั้งกัดจนหน้าอกอีกฝ่ายเป็นแผลเหวอะ
“เฮ้ย อะไรกันโว้ย” เสียงห้าวใหญ่ดังมาก่อนตัว เด็กๆ ที่ยืนจับกลุ่มดูมวยคู่อาฆาตหันมองพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นผู้ใหญ่คราวพ่อคราวลุงเดินเข้ามา จึงเปิดทางให้
“อะไรกันวะ เลิกโว้ยเลิก” เสากล่าวเสียงเข้มพลางแยกเด็กทั้งสองออกจากกัน ใบหน้าทั้งคู่มีรอยฟกช้ำเล็กน้อย แต่ฝ่ายโต กว่ามีแผลเลือดไหลเป็นทางยาว
“ไอ้สัตว์ มึงเป็นหมาหรือคนวะ กัดกูอย่างกับหมา” ฝ่ายได้เลือดยังไม่หายโกรธ ทำท่าจะโผเข้าชกต่อยอีกรอบ ผู้ห้ามศึกรู้ทันรีบคว้าไหล่แล้วตวาดเสียงดัง
“เฮ้ย กูบอกให้หยุด” เสามองคู่อริซ้ายขวาแล้วกล่าวต่อ “มันเรื่องอะไรกันวะ หา” ถามพลางมองไปที่พูนซึ่งเงยหน้าสบตา แต่พูนกลับนิ่งเฉย เรื่องอะไรจะพูดคำด่ากระทบปมด้อยให้คนอื่นฟังอีกรอบ
“ไอ้จุ่นมันด่าไอ้พูนว่าลูกไม่มีแม่” เสียงแจ๋วๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งตอบแทน ผู้ใหญ่ฟังแล้งก้มมองไอ้จุ่นพลางเค้นถาม “อ้าว มึงไปหาเรื่องไอ้พูนมันก่อนเร๊อะ”
เด็กชายจุ่นเงยหน้า “มันชนน้องสาวฉันล้ม แถมยังเอาหน้าไปซุกนมอีก”
“เฮ้ย” ผู้ไกล่เกลี่ยร้องเสียงหลง คาดไม่ถึงกับความคิดแกแดดแก่ลมของเด็กชาย “น้องมึงมันมีนมให้ซบวะเมื่อไรละวะ หนอย ทำเป็นหวงน้อง มึงรออีกสิบปีให้น้องมึงโตเป็นสาวก่อนเหอะวะค่อยมาหวง”
เสากล่าวพลางส่ายหน้า เห็นแผลของไอ้จุ่นแล้วเกรงว่าเรื่องจะไม่จบแค่นี้ เด็กสมัยนี้ก็ใช่ย่อย ทะเลาะกันทีมันจะฆ่ากันให้ตาย จิตใจมันโหดร้ายอย่างกับหนังที่พวกมันชอบดู นี่ขนาดตัวกะเปี๊ยกแค่นี้ มันยังซัดกันจนได้เลือด ถ้าโตขึ้นมาเล่า ... ไอ้พูนเองก็ไม่เบา เห็นหงอยๆ อย่างนี้ก็สู้คนเหมือนคน ตัวเล็กกว่าสู้ไม่ได้ก็ใช้กัดเอา ถ้าพ่อแม่ของไอ้จุ่นเห็นแผลแล้วไม่ยอม ไปฟ้องพ่อไอ้พูนขึ้นมาละก็ ... นึกได้แค่นี้เขาก็กังวลแทนพูนขึ้นมาจับใจ จึงดึงตัวเด็กทั้งสองเข้ามาลูบหัวเบาๆ
“ไอ้จุ่นไอ้พูน เอ็งสองคนฟังลุงพูดให้ดีนะ เพื่อนฝูงกันเล่นกันไปเล่นกันมามันก็ต้องมีกัดกันบ้าง เหมือนหมาละวะ” กล่าวแค่นี้แล้วต้องหยุดเพราะเสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กทั้งวง กระทั่งคู่อริทั้งสองก็ไม่วายยิ้มออกมา รอได้จังหวะแล้วจึงกล่าวต่อ
“เพราะฉะนั้นเอ็งสองคนไม่ต้องไปฟ้องพ่อฟ้องแม่ให้มันวุ่นวาย” เขาเงยหน้ากวาดตามองเด็กที่ยืนรายรอบ “พวกมึงด้วย ให้เรื่องมันจบแค่นี้ ไม่ต้องไปพูดต่อกันให้มากความ เดี๋ยวลุงจะพาไอ้สองตัวนี่ไปทำแผล” กล่าวจบแล้วเดินนำเด็กสองคนเดินออกไป พร้อมนึกไปถึงพ่อของเด็กชายพูน
รู้กันทั่วหมู่บ้านว่าไอ้มิ่งมันเป็นคนอย่างไร สมัยหนุ่มๆ มันก็ดีอยู่หรอก ถึงจะมึงวาพาโวย ก็คึกคะนองไปตามวัย จนกระทั่งไปคว้าสาวต่างถิ่นมาทำเมีย อีเมียมันก็แรดฉิบหาย เที่ยวได้นอนกับคนโน้นคนนี้ไปทั่ว บางคนถึงกับเล่าว่า เห็นเมียไอ้มิ่งแสดงหนังสดอยู่กับชู้กลางทุ่งนา ตัวไอ้มิ่งเองก็หลงเมียไม่ลืมหูลืมตา คงจะติดใจรสสวาทที่เมียมันปรนเปรอให้นั่นแหละ ใครจะพุดอย่างไรไม่สน จนเมียมันท้องขึ้นมา ก็ไอ้พูนนี่แหละ
ตอนนั้นไอ้มิ่งมันดีใจใหญ่ เที่ยวบอกคนไปทั่วหมู่บ้านว่ามันกำลังจะเป็นพ่อคน จนไอ้พูนเล็ดออกมา ... เขายังจำคืนนั้นได้ ไอ้มิ่งเห็นลูกชายแล้วอึ้งไปนาน เมียมันขาวราวหยวกกล้วย ตัวไอ้มิ่งก็ขาวราวพระเอกลิเก แต่ไอ้พูนนะสิ ดำราวกับถ่าน ตกดึกคืนนั้น ใครอยู่ใกล้บ้านไอ้มิ่งไม่เป็นอันต้องหลับต้องนอน มันด่าประจานเมียได้ยินไปทั่วหมู่บ้าน แถมยังลงไม้ลงมือเกือบทั้งคืน เสียงร้องโหยหวนจนใครๆ คิดว่ารุ่งขึ้นเมียมันคงเป็นศพ ที่ไหนได้ เมียไอ้มิ่งก็ทนทายาด ถูกถีบตกจากเรือนแล้วก็ยังลุกไหว เดินเขยกไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนสนิท ก่อนจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย
ลูกไอ้มิ่งจึงกลายเป็นภาระของคนข้างบ้าน ช่วยกันป้อนข้าวป้อนนมไปตามประสา จะว่าไปแล้ว คนในหมู่บ้านนี้นับเป็นพ่อเป็นแม่มันได้เกือบทุกคน คนโน้นเลี้ยงนิด คนนี้เลี้ยงหน่อย จนมันเติบโตขึ้นมาได้ แต่ไอ้มิ่งก็ไม่ยอมให้ขึ้นบนเรือน ให้อาศัยอยู่ใต้ถุนเรือนมาตั้งแต่เกิด กินนอนอย่างกับหมูกับหมา ใครจะเอาไปเลี้ยงเป็นเรื่องเป็นราวมันก็ไม่ยอม ... คงจะเก็บไว้ระบายอารมณ์
คิดได้แค่นั้น เสาจึงบีบไหล่เด็กชายพูนเบาๆ ก่อนถาม “ไอ้พูน เดี๋ยวนี้พ่อเอ็งเขาเป็นอย่างไรบ้างวะ เมาเหล้าบ่อยหรือเปล่า”
“เมาบ่อย” พูนตอบเสียงอ่อย
“เมาแล้วมันกระทืบมึงอีกหรือเปล่าหา”
พูนพยักหน้า
เขาพาเด็กชายทั้งสองไปทำแผลที่บ้าน เห็นแผลของเด็กจุ่นแล้วถอนใจ แผลเหวอะหวะแบบนี้ มีหรือพ่อแม่มันจะไม่เอาเรื่อง แล้วถ้าไปฟ้องไอ้มิ่ง คราวนี้ไอ้พูนตายห่าแน่ ขนาดเด็กมันอยู่เฉยๆ พ่อมันยังหาเรื่องกระทืบเช้ากระทืบเย็น หลังจากทำแผลแล้วจึงเอ่ยปากถาม
“ไอ้จุ่น ถ้าแม่มึงถามว่าไปโดนอะไรมามึงจะตอบว่าอย่างไร”
“ฉันก็จะบอกว่าโดนไอ้ชาติหมามันกัดเอานะสิ” จุ่นบพลางถลึงตาใส่พูน พูนทำท่าฮึดฮัด แต่ผู้ใหญ่กลับชอบใจ หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าว
“เออ เข้าทีดีว่ะ บอกว่าหมากัดพ่อมึงคงไม่สงสัย เอ แล้วถ้าพ่อมึงเขาจะพามึงไปฉีดยาล่ะ”
“โถ่ลุง พี่น้องของฉันมันโดนหมากัดกันเกือบทุกคนแล้ว ไม่เห็นต้องไปฉีดยาอะไรเลย”
จริงสิ เขาลืมนึกไป ยังไม่เคยมีหมาในหมู่บ้านนี้ที่เป็นบ้าเลยสักตัว
“เอาไงก็เอากัน เพราะขืนบอกความจริงไป มึงรู้ใช่มั้ยว่าไอ้พูนจะโดนอะไรบ้าง”
เด็กชายจุ่นพยักหน้า แม้จะเพิ่งชกกันมาหมาดๆ แต่พอนึกถึงตอนที่ไอ้พูนถูกพ่อกระทืบแล้วอดสงสารไม่ได้ ไอ้พูนมันร้องดังไปแปดบ้านสิบบ้าน
คุยตกลงกันแล้ว เสาจึงจัดแจงหาข้าวปลาให้เด็กทั้งสองกินร่วมกัน จากนั้นจึงบอกให้กลับบ้าน ไอ้รอยฟกช้ำดำเขียวนะไม่เท่าไรหรอก เด็กผู้ชายมันต้องมีบ้าง ขอแต่ให้พ่อแม่ไอ้จุ่นมันเชื่อว่าเป็นรอยหมากัดจริงๆ เถิด


Download เรื่องราวอันน่าสยองขวัญของชีวิต “พูน” จนจบ ได้ที่
//www.truebookstore.com/product/view/294



Create Date : 02 มิถุนายน 2553
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 8:33:50 น. 0 comments
Counter : 766 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

dejaboo44
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add dejaboo44's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.