เธอจะลืมไหม (Mark Farang)
By AnnaBell
เธอจะลืมไหม
(Mark Farang)
By AnnaBell
เสียงกระซิบ ของเธอ ยังก้องในหูของฉัน เรื่อยไป
และไม่เคยลบเลือนจากใจฉัน
แค่คำพูดเบาๆ ก็มีความหมายมากมาย ทุกคำ
และมันมีค่าเกินกว่า จะหลงลืม
แต่ถ้าต้องมีวันหนึ่ง เราบังเอิญต้องลาจาก
อยากรู้จะเกิดอะไร ถ้าต้องอยู่ ห่างกันนานๆ
เธอจะลืมคำพูด ของเธอหรือเปล่า ที่บอกว่ารักฉัน
เธอจะลืมมันไหม เมื่อเราต้องห่าง ไกลแสนไกล
เธอจะลืมไหม เธอจะลืมไหม สำหรับฉันไม่เคยลืม
ไม่มีวันที่ฉันจะเป็นอื่น ไป เธอเหมือนกันไหม
ไม่ต้องให้สัญญา ว่าเราจะยังรักกันจนกว่า
ตราบดินและฟ้าจะดับสลาย
ขอแค่คิดถึงกัน เก็บฉันที่เธอว่ารักในใจ
อย่าให้คนไหนมาแทนที่ฉันเลย
หากว่าต้องมีวันหนึ่ง เราบังเอิญต้องลาจาก
อยากรู้จะเกิดอะไร ถ้าต้องอยู่ ห่างกันนานๆ
เธอจะลืมคำพูด ของเธอหรือเปล่า ที่บอกว่ารักฉัน
เธอจะลืมมันไหม เมื่อเราต้องห่าง ไกลแสนไกล
เธอจะลืมไหม เธอจะลืมไหม สำหรับฉันไม่เคยลืม
ไม่มีวันที่ฉันจะเป็นอื่น ไป เธอเหมือนกันไหม
ถ้าเธอนั้นมีวันเปลี่ยนไป ฉันจะทำอย่างไร ยังไม่รู้
เธอจะลืมคำพูด ของเธอหรือเปล่า ที่บอกว่ารักฉัน
เธอจะลืมมันไหม เมื่อเราต้องห่าง ไกลแสนไกล
เธอจะลืมไหม เธอจะลืมไหม สำหรับฉันไม่เคยลืม
ไม่มีวันที่ฉันจะเป็นอื่น ไป เธอเหมือนกันไหม
หลังจากได้หยุด 4 วัน...พรุ่งนี้ต้องไปทำงานตามปกติ นึกถึงเรื่องงานแล้วเกิดความรู้สึกท้อใจและรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทั้งที่ได้พักตั้ง 4 วันแต่ทำไมถึงรู้สึกว่า 4 วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน..
นั่นอาจเป็นเพราะไม่อยากไปทำงาน อยากหยุดอยู่กับบ้านให้สาสมใจอยากของตัวเอง เรื่องราวในที่ทำงานมีมากมายมีร้อยพ่อพันแม่ที่ต้องมาเจอกันมาอยู่ร่วมกัน มีหลากหลายเรื่องราวสารพัดที่ทำให้สุขและทุกข์ วันก่อนมีเรื่องราวที่ทำให้เกิดความรู้สึกท้อใจ เมื่อได้รับรู้ถึงความอคติของคนที่เอาหัวโขนมาใส่ และตัดสินอะไรๆ ในแง่ความคิดตนเองและพวกตนเอง
วันก่อนมีการเรียกประชุมโดยพวกมีหัวโขนทั้งหลาย มีหัวโขนใหญ่สุดคนหนึ่งเรียกพวกเรา 10 กว่าคนไปประจานในที่ประชุมด้วยความไม่ชอบธรรม ที่พวกเราร่วมกันต่อต้านเป็นสิ่งที่ถูกต้องในแง่การทำงาน ซึ่งทุกคนต้องได้รับขวัญกำลังใจในการทำงาน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อยกับสารพัดงานและปัญหามากมาย แต่สิ่งที่ได้รับรู้นี้เป็นสิ่งทำลายขวัญและกำลังใจในการทำงาน...
การเรียกไปต่อว่าในแนวประชดประชันและประจานกัน เป็นสิ่งที่คนเป็นผู้บริหารไม่สมควรทำอย่างยิ่ง สิ่งที่ผู้บริหารควรทำเป็นลำดับแรก คือ ต้องพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเป็นปัญหานี้เกิดจากอะไร ก่อนอื่นต้องหันกลับมามองดูตัวเองก่อนว่า เราเป็นผู้บริหารอย่างไร ลูกน้องถึงรวมหัวกันต่อต้านคำสั่งแบบไม่กลัวเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตตัวเอง ซึ่งผิดธรรมเนียมของความเป็นลูกน้องที่ต้องเกรงกลัวหัวหน้าอยู่ในที
นอกจากไม่ได้พิจารณาตัวเองแล้ว ยังแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับลูกน้องที่ไม่ตามใจตัวเอง ด้วยการใช้คำพูด ท่าที แสดงอำนาจในฐานะหัวหน้า ซึ่งลืมคิดว่าเมื่อถอดหัวโขนออกไปแล้ว ก็มีเงา มีหัว มีความรู้สึก มีทุกอย่างที่มนุษย์พึงมีเหมือนที่ลูกน้องทุกคนมีเช่นกัน แล้วจะใส่หัวโขนไปเพื่ออะไร กับคำพูดบางคำก็ควรยกเว้น เรื่องราวทั้งหมดเกิดจาก คนไม่กี่คนที่ใกล้ชิดและคิดว่าสักวันตัวเองต้องเป็นใหญ่หรือที่เรียกว่า นายว่าขี้ข้าพลอยก็ได้ มีบางคนเรียกร้องต้องการในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ แต่ลืมคำนึงว่าสิ่งที่อยากได้นั้นผู้อื่นครอบครองอยู่และเค้าก็อยู่มาอย่างดี การที่คิดจะครอบครองของๆ ใครโดยลืมคำนึงถึงผลเสียของคนอื่น หวังแต่ผลประโยชน์ของพวกตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง และสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าคือ ผู้นำบางคนกลับคล้อยตามความคิดนั้น แล้วเอาไปด่าว่าในที่ประชุมว่าคนที่ไม่เห็นด้วยเป็นคนเห็นแก่ตัว...ซึ่งอยากถามมากๆ ว่าใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว...
ในที่สุดผู้คนที่สวมหัวโขนเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้องและยังมีวิธีอื่นที่สามารถทำและหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งได้ แต่ทำไมตอนแรกไม่เลือกทำ กลับเลือกที่จะทำให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกไม่ดีและต่อต้าน เมื่อเค้าร่วมกันต่อต้านก็ด่าว่าเค้าว่าทำไมไม่พูดกันดีๆ ทำไมต้องต่อต้านในรูปแบบนี้..อ่าว..การต่อต้านต้องมีรูปแบบเดียวด้วยเหรอ..เค้าถึงว่ากันว่าอะไรไม่เกิดกับตัวเอง ตัวเองย่อมไม่รู้สึกนั้นเป็นจริงนี่ล่ะชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ..เฮ้อ..
เวลาที่เราเกิดความทุกข์ วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งแบบนี้เรียกว่า...ขยะหัวใจ....นั่นเป็นเพราะคนเราชอบแบกความคิดและไม่ยอมปลดปล่อย ไม่ปล่อยวาง ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งในที่สุดกลายเป็นขยะรกหัวใจ เป็นคราบสกปรกที่เกาะติดเข้าไปเจือปนอยู่ในหัวใจ
คนเราส่วนมากไม่ค่อยรู้ตัวว่า ตอนนี้เราได้ซ่อนขยะลงไปในใจตัวเอง หรือไปรับขยะของคนอื่นมามาใส่ไว้ในหัวใจ สิ่งเหล่านี้เป็นขยะหัวใจที่พวกเราทุกคนควรกำจัดให้ออกไปจากใจเรา คือ
ความไม่พอใจ
ไม่ว่าไม่พอใจในตัวเอง และไม่พอใจคนอื่น ความไม่พอใจคนอื่นมีโอกาสเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เป็นเพราะธรรมชาติของคนเรา ย่อมรักตัวเองมากกว่ารักคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อน และได้ชัดมากกว่าความผิดของตนเอง
จงจำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีขาดและมีเกิน ดังนั้นจึงควรมองข้อดีของแต่ละคนให้มากกว่าจุดบกพร่อง ซึ่งจะทำให้เกิดความพึงพอใจ นับถือซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ มากกว่ามานั่งจับผิดกันที่เป็นหนทางไปสู่การมีเรื่องราวตามมาอีกมากมาย
ความผิดหวัง
นั่นเพราะคนเราชอบตั้งความหวัง ที่เป็นไปได้และไม่น่าจะเป็นไปได้ กับอดีตที่ผ่านมามีบางคนรู้สึกผิดหวังและท้อแท้ จงคิดไว้ว่าอดีตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ดังเดิม แต่อดีตมีสิ่งที่ดี คือเป็นบทเรียนที่คอยเตือนและให้สติ อดีตทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดที่ผ่านมาเพื่อให้ปัจจุบันและอนาคตไม่เกิดอีกและทำทุกอย่างในวันนี้และวันหน้าให้ดีกว่าอดีตที่เคยผ่านมา
ส่วนอนาคตก็อย่าไปคาดหวัง เพราะไม่มีใครรู้ถึงอนาคต แต่ก็เป็นสิ่งที่สามารถพอจะคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไรจากผลที่กระทำในปัจจุบัน และไม่ว่าอนาคตจะสมหวัง หรือผิดหวังก็อย่าทุกข์ท้อใจ จมอยู่กับความเศร้าเสียใจและเก็บเป็นขยะในหัวใจ
ความอิจฉาริษยา
ถือเป็นขยะที่รกใจคนเรามากที่สุด โดยเฉพาะความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยเฉพาะเห็นคุณอื่นได้ดีมีความสุข ร่ำรวยเงินทอง เกียรติยศมากกว่า จงหยุดคิดสักนิดว่าทุกครั้งที่อิจฉาริษยาใคร ตัวเราเองก็จะหมดความนับถือตัวเองลงไปทุกที จงหยุดอิจฉา แล้วลองเปลี่ยนแนวคิดใหม่ จงชื่นชมยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีและมีความสุข และควรยินดีกับเขา
ความยึดมั่นถือมั่น
เป็นขยะที่คอยฉุดรั้งให้คนติดยึดในสิ่งที่ไม่จีรัง ไม่ว่าการยึดมั่นในทรัพย์สมบัติ คน สิ่งของ จนไม่สามารถปล่อยวางจนทำให้ใจเกิดทุกข์ถ้าหากไม่เป็นอย่างนั้น ก็ทำให้คนยึดมั่นถือมั่นเกิดความทุกข์เพราะใจไปปรุ่งแต่งให้เกิดความรู้สึกไปเองว่านั่น นี่ โน่น เป็นของเรา ลองลบขยะกองนี้ออกไปจากใจเราด้วยการยอมรับความจริงว่า อะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเราก็เช่นเป็นแค่ของที่ยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็เจ็บ และตายไปในที่สุด ทุกสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีวันดับ เป็นแบบนี้ตลอดสังขารเป็นของไม่เที่ยง ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ลาภยศ สรรเสริญเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้นเอง
ความกลัว
เป็นขยะที่เกิดจากใจคนเราปรุงแต่ง เช่น กลัวจะไม่มีใครรัก กลัวจะไม่มีเงินใช้ กลัวความมืด กลัวตกงาน กลัวโน่นกลัวนี่ แล้วกลัวไปทำไม เพราะเรื่องบางเรื่องก็เกิดขึ้นเอง เป็นเรื่องที่เราไปห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ มันอยู่นอกเหนือการควบคุม กลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ในบางเรื่องไม่มีวันเกิดก็กลัวล่วงหน้าไปแล้ว บางคนกลัวจนเจ็บป่วยไข้ก็มี แบบนี้เรียกว่ากลัวจนเป็นโรคประสาท วิธีที่ดี คือทำใจยอมรับทุกอย่างที่เกิดเพื่อไม่ให้เป็นขยะรกใจเรา
ความอยาก
เป็นขยะที่มีกันทุกคน ความอยากไม่มีวันสิ้นสุด แต่จง " อยาก " ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต ทางที่ดีจงเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก รู้ว่าต้องจำกัดความอยากที่มีไว้แค่ไหนให้พอเหมาะกับตัวเองจะได้ไม่มีขยะรกเรื้อในใจเรา...
วิธีทำให้ใจของเราสะอาด..ขั้นแรกก็ด้วยการปล่อยวาง อย่าไปยึดติดและอยู่กับปัจจุบันกับความเป็นจริงในปัจจุบันให้มากที่สุด อยู่กับสิ่งที่ถูกต้องควรจะเป็น การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก
เมื่อได้ทิ้งขยะที่มีอยู่ในใจเราแล้วเราควรหาอะไรทำ เพื่อให้ชีวิตไม่ว่างพอที่จะไปเก็บขยะมารกหัวใจเราอีก เช่น หาอะไรที่น่าตื่นเต้นทำในแต่ละวัน มีข้อแม้ว่าเป็นสิ่งดีที่ทำให้ชีวิตดีมีค่าขึ้นนะคะ อาจไปเที่ยวในที่ๆ ไม่เคยไปกับคนที่รู้สึกดีๆ พอเหมาะกับเงินในกระเป๋า
เมื่อเจอใครลองยิ้มทักทายทั้งที่ไม่รู้จักบ้างก็ได้ เค้าอาจจะคิดว่ายัยนี่ถ้าจะบ้ามาส่งยิ้มอะไรให้ก็ช่างเค้าขอให้เราได้ส่งยิ้มให้ผู้คนก็พอแล้วเผื่อจะได้คนแปลกหน้าเป็นเพื่อนที่ดีอีกสักคน อาจจะเข้าไปช่วยเหลือใครสักคนเล็กๆ น้อยๆ ลองมองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราบ้างอาจได้พบอะไรที่เป็นความสุขอย่างที่เราไม่เคยสังเกตมาก่อนก็ได้
อาจจะลองอยู่เงียบคนเดียวแล้วนั่งคิด คิดถึงสิ่งที่ผ่านมาหรือคิดถึงอนาคตที่ดีที่จะถึงก็ได้ แต่อย่าคิดจนใจเกิดทุกข์เพราะเรากำลังรีแลกซ์ตัวเอง ลองมองโลกในแง่ดี หรืออาจชวนเพื่อนที่สนิทไปเรียนทำอาหาร วาดรูป หรือนัดไปชอปปิ้ง นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินแถวบ้าน หรือชวนกันมาปลูกผักผลไม้และรอผลงานที่ช่วยกันทำก็ได้
อาจนัดเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานานมาทำอะไรทานกัน หรือเจอกันที่ร้านอาหารโปรดของแต่ละคนก็ได้เพื่อย้ำเตือนมิตรภาพเก่าๆ เลิกกังวลกับสิ่งต่างๆ รอบตัวจงมีความสุขกับสิ่งรอบตัวที่เรามีเราเป็นให้มากที่สุด หยุดตามกระแสสังคม แล้วทำตามความคิดตัวเองบ้างก็คงดี และให้บอกตัวเองเสมอว่าไม่มีอะไรสายเกินแก้ ลองค้นหาตัวเองด้วยประสบการณ์ดีๆ แปลกใหม่
ฝึกความพอเพียง ก็อาจทำให้เรารู้จักคำว่าพอ เปิดโลกให้ตัวเองด้วยการไปดูหนัง ฟังเพลงกับคนที่รู้สึกดี หรือฉายเดี่ยวก็ได้ถ้าไม่เคยทำก็ให้รสชาติอีกแบบหนึ่ง ที่สำคัญลองรู้จักแบ่งปันความรู้สึกที่ดีให้คนอื่นด้วยการมองโลกในแง่ดีมีแง่คิด พูดกับคนอื่นด้วยคำพูดที่ดีและน่าฟัง มีความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำเป็นคนรักษาคำพูดและสัญญา แค่นี้ขยะในหัวใจที่เคยสกปรกรกรุงรังก็สามารถทำให้หัวใจได้รับโอโซนที่ดีเข้าไปทดแทนและค่ะ...555555....
ไปต่างจังหวัดเพิ่งกลับมา หยุดสี่วันได้ไปเที่ยวไหนไหมครับ