space
space
space
 
ตุลาคม 2562
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
space
space
3 ตุลาคม 2562
space
space
space

รับมือภัยเงียบรอบตัว ที่เรามองไม่เห็น



 

การรับมือภัยเงียบรอบตัว ที่เรามองไม่เห็น
          ยุคนี้ หากมีคนพูดถึง PM2.5 เราคงไม่ต้องอธิบายให้มากความ หลายท่านที่ยังหนุ่มยังสาวหรือยังอยู่ในวัยกลางคน อาจจะไม่เห็นผลกับตัวเองมากนัก เพราะร่างกายยังคงแข็งแรง ต่อให้สะสมเราก็ไม่เห็นผลชัดเจน แต่คนที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด คือคนที่เรารักและคนที่รักเรา ก็คือพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ และเด็กๆ ซึ่งระบบทางเดินหายใจมีความอ่อนไหวมากกว่าเรา
          ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เอาตัวเองเป็นเกณฑ์มาก่อน เคยรู้สึกว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย” ออกจะมองว่า การที่เราอยู่ในอากาศที่มีฝุ่นที่คนกลัวกัน แต่เราก็ยังปกติแสดงว่าเราแข็งแรง โดยหารู้ไม่ว่ามันเข้าไปทำลายระบบทางเดินหายใจเราไปแล้ว แต่ก่อนนี้ถ้าต้องเข้าไปฝึกในพื้นที่กันดาร   ฝุ่นตลบ จะรู้สึกเข้มแข็ง รู้สึกเท่ แต่เมื่อพ่อป่วยติดเตียงมานาน โรคที่ตามมาคือ “ปอด” สารพัดปอด ปอดบวม ปอดติดเชื้อ น้ำท่วมปอด วันหนึ่งกลางเดือน พ.ย.61 น้าชายที่เป็นหมอก็มาเยี่ยมที่บ้าน เตือนว่า “น่าจะซื้อกรองอากาศให้พ่อนะ” เราก็ฟังแล้วก็เชื่อนะ ก็เตรียมจะซื้อ เอาเงินเก็บมาเป็นแสน เขาว่าของดีอยู่ที่ IKEA บางนา ตัวละแสนกว่า เตรียมจะไปซื้อแระ แต่ยังไม่เสาร์อาทิตย์ พอว่างเลยเสิร์ชหาดูเทียบสเปค ดูไปดูมา อ้าว... มันแพงแต่ราคานี่นา ถ้าวัดคุณภาพตัวราคา 2 – 3 หมื่นยี่ห้ออื่นมีตั้งหลายยี่ห้อที่พอๆ กัน เลยชะลอแผนไว้อีกอาทิตย์ มานั่งหาข้อมูล ระหว่างนั้นเอง ข่าว PM2.5 ก็มา นั่นแหละ... วิกฤตไม่เคยรอเวลา

 

วิกฤตไม่เคยรอเวลา
                ต้นเดือนธันวาคมพ่อมีอาการซึม ไข้ขึ้น และแอดมิดกะทันหัน จำได้ว่าวันนั้นสภาพพ่อน่ากลัวมาก ตาลอย ไม่รู้เรื่อง เป็นวันที่เพิ่งสั่งเครื่องกรองอากาศกับเพื่อนที่เป็นตัวแทนได้แค่ 2 วัน แต่ของขาดตลาด แอบรู้สึกผิดนิดๆ ว่าทำไมเราช้า ที่พ่อเป็นแบบนี้เพราะเราช้าหรือเปล่า พ่อจะตายไหม??? โชคดีเป็นของเราที่พ่อไม่เป็นไรมาก 2 วันหลังได้ยาฆ่าเชื้อก็เริ่มดีขึ้น พ่อเป็นปอดติดเชื้อรุนแรง พยายามถามหมอว่ามันเพราะฝุ่นไหม คุณหมอก็เลี่ยงๆ ไม่อยากตอบตรงนี้มาก ก็เข้าใจได้ว่าอันนี้อาจจะเกี่ยวกับกระแสสังคมการเมืองอะไรด้วย  เรารีบกลับมาบ้านไปหายืมเพื่อนที่เป็นตัวแทน หาเครื่องมาก่อน เอาไปไว้กับพ่อที่ รพ. และนี่คือเรื่องแรกของผลกระทบจากฝุ่นพิษนี้ ต่อมาเมื่อฝุ่นมากขึ้น จากการหาข้อมูลเรื่องเครื่องกรองอากาศให้พ่อ ทำให้เรารู้ถึงโทษของสิ่งที่มองไม่เห็นในอากาศ มันเหมือนภูติ ผี ปีศาจ อย่างของคำพูดที่ว่า “มองไม่เห็น ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง” ความระแวงเริ่มมีมากขึ้น เราหาหน้ากากใส่ให้ตัวเอง ให้แฟน ให้ลูก มีบางคนแอบนินทา (แต่เราได้ยิน) ว่าเราเป็นทหารซะเปล่า “เวอร์” เราก็ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ในใจ  หลังจากนั้นคนพูดก็แพ้ฝุ่นรุนแรง ไม่รู้เวรกรรมของเขารึเปล่า ต้องมาใส่หน้ากากเหมือนกัน ใส่นานกว่าด้วย น่าสงสาร
                สมัยหนุ่มๆ ที่เราไม่เจอปัญหานี้กับตัว เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เราก็คงมองคนใส่หน้ากากแบบนั้นเหมือนกัน แต่วันนี้เราเรียนรู้แล้ว เลยอยากเอาประสบการณ์มาบอกต่อ ใครอ่านแล้วเอาไปใช้ได้ จะยินดีอย่างมาก พ่อผมที่จากไปแล้วท่านคงจะได้บุญด้วย
 
เมื่อเราต้องอยู่กับฝุ่นแบบนี้ตลอดไป
                อย่างที่บอกว่า จากสภาพภูมิศาสตร์ สภาพอากาศ ต่อไปนี้ฝุ่น PM2.5 จะเป็นแขกประจำปี เป็นแขกที่นำพาโรคภัยมาให้ กับคนที่ร่างกายอ่อนแอ อยากให้ช่วยกันระวังนิดนึง โดยเฉพาะลูกๆ หลานๆ ปอดเขายังเพิ่งเสริมสร้าง ถ้ามีตำหนิ ผิดปกติมา มันหมายถึงทั้งชีวิตเขา ส่วนพ่อแม่เรา หรือญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ปอดของท่านก็ใช้มานานย่อมมีความเสื่อมลง ทำให้ไวต่อการรับผลกระทบจากฝุ่นและสารอันตรายต่างๆ จากประสบการณ์ ผมคิดว่าที่เราป่วยกัน ไม่ใช่เพราะฝุ่น แต่ฝุ่นทำให้ระบบทางเดินหายใจเราระคายเคือง ทำให้เชื้อโรคหรือแบคทีเรีย ที่ลอยในอากาศเข้ามาทำร้ายเราได้ เพราะฉะนั้นระวังตัวกันไว้ก่อนก็ดีนะครับ

1 การเตรียมตัวออกจากบ้าน
          - เมื่ออยู่ในพื้นที่เปิด
          แน่นอนเราจะต้องออกไปทำงาน ไปเรียน ไปหารายได้เพื่อดำรงชีวิต ดังนั้นเราจึงเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องออกมายังที่สาธารณะ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องพกไปคือหน้ากากอนามัย ผ้าเช็ดหน้า โดยหน้ากากอนามัย ถ้าเอาตามที่ “เขาว่าดี” คือ N95 แต่จากที่ผมได้ทดลองใช้แล้ว ถึงแม้มันจะกรองได้ดีก็จริง เปอร์เซ็นต์ฝุ่นที่เล็ดรอดน้อยก็จริง แต่อากาศก็น้อยไปด้วย หลายๆ คนที่ใช้ในปีที่แล้วแทบเป็นลม เพราะหายใจยาก แต่สำหรับผมขอแนะนำว่าใช้ตัวที่รองลงมาแต่หายใจสะดวก น่าจะดีกว่า ลองดูชาร์จของ WorkPoint News นะครับ ผมว่าหน้ากากธรรมดา + ทิชชู 2 แผ่น ได้ผลดี ส่วนตัวผมเพื่อเพิ่มความดูดี ผมเลือกใช้หน้ากากสังเคราะห์สวยๆ ของ 3M ชั้นนอกอีกอัน ผมหายใจสบายกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวผมเอาไว้ใช้ที่ทำงาน เวลาเดินไปติดต่องานระหว่างตึก หรือต้องออกไปในพื้นที่เปิด หรือต้องขึ้นรถสาธารณะ
 

          - เมื่ออยู่ในพื้นที่ปิด
          สำหรับท่านที่ต้องใช้รถสาธารณะ ก็คงต้องใช้ตัวช่วยคือหน้ากากอนามัยข้างบน แต่สำหรับท่านที่มีรถ ส่วนตัว ก็จะมีโอกาสได้พักจมูก หายใจคล่องๆ หน่อย ไม่ต้องสวมหน้ากากในรถ (เว้นแต่จะชอบเปิดกระจกขับรถนะครับ) แต่ถ้าจะพักจมูกเพียงเพราะรถมีแอร์ แล้วถอดหน้ากากอนามัย หายใจเอาอากาศในรถเพียวๆ คงจะไม่ค่อยดีหนัก เพราะในรถที่วิ่งอยู่ในถนน ระบบแอร์คือการดูดเอาอากาศภายนอกมาหมุนเวียน ซึ่งผมเองได้ทำการทดลองกับรถหลายๆ ยี่ห้องแล้ว โดยการใช้เครื่องวัดฝุ่น ไปวัดอากาศภายในรถ พบว่ามีรถไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้นที่แอร์มีประสิทธิภาพพอที่จะลดค่า PM2.5 ลงได้ แต่ตรงนี้เราไม่สามารถวัดสารพิษอื่นที่ลอยอยู่ในท้องถนนแล้วเข้ามาในรถ ซึ่งพอศึกษางานวิจัยหลายๆ งาน พบว่าอากาศในรถยนต์ส่วนใหญ่จะแย่กว่าภายนอกถึง 15 เท่า
 

เนื่องจากภายนอกมีการถ่ายเทของอากาศตลอดเวลา แต่สำหรับรถเกือบจะเป็นระบบปิด มีการถ่ายเทบางส่วน ทำให้สารพิษในรูปของก๊าซ ถูกเข้าไปกักตัวอยู่ในรถ อีกทั้งฝุ่นที่มากับรองเท้าเราที่อยู่ในพรม ดังนั้นแอร์รถยนต์เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอต่อความสะอาดของอากาศในรถ ดังนั้นเราจึงควรเลือกเครื่องกรองอากาศที่มีคุณภาพ ซึ่งโดยส่วนตัวที่ผมเลือกคุณสมบัติความละเอียดในการกรอง รูปแบบการจัดการกับฝุ่น เชื้อโรค และกลิ่น ซึ่งผมไม่เชื่อโฆษณาครับ สำหรับท่านที่ต้องการหาเครื่องกรองอากาศในรถ ขอแนะนำว่าควรเลือกที่ดีที่สุด เพราะท่านต้องใช้ชีวิตในรถหลายชั่วโมง (คนกรุงเทพฯ) อย่าซื้อเพียงแค่ “ให้มี” เพราะกรองอากาศ ที่กรองแค่ฝุ่นใครๆ ก็ทำได้ ต้นทุนไม่ถึงพันบาท แค่เอามอเตอร์ติดพัดลม ใส่กระบอก บุด้วยฟองน้ำ สำลี ก็กรองฝุ่นได้แล้ว แต่สิ่งปนเปื้อนในอากาศมันกรองไม่ได้ครับ ดังนั้นท่านที่จะมองหาปอดสำรองที่สอง คือเครื่องกรองอากาศในรถ ก็ขอแนะนำให้เลือก โดยดูรายละเอียดสักนิดนะครับ
 
 
การปกป้องคนที่คุณรัก ในบ้าน หรืออาคาร   
                    ชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่ย่อมอยู่ในร่ม ทั้งในบ้านและที่ทำงาน เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องเจอสภาพ “กล่องใส่ของ” ซึ่งแตกต่างจากคนที่ทำงานกลางแจ้ง แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่มีมลภาวะ แต่ลมก็จะพัดพามลภาวะให้ไหลหมุนเวียนตลอดเวลา ดังนั้นห้องต่างๆ ทั้งในบ้านและที่ทำงาน จึงเป็นกล่องเก็บฝุ่นและเชื้อโรคอย่างดี โดยเฉพาะห้องที่มีการปิด – เปิด ประตูบ่อยๆ เมื่อเปิด คือการรับเอาฝุ่น เชื้อโรค เข้ามา เมื่อปิด คนที่อยู่ภายในจะเป็นคนสูดอากาศเหล่านั้น พอเชื้อ ฝุ่น หรือสารพิษเหล่านั้นจางลงจากการไปในปอดเรา มีคนเปิดใหม่ ความเข้มข้นที่มากกว่าจากภายนอกก็เข้าไปแทนที่ใหม่ เราก็สูดดมเข้าไปใหม่ จากที่ศึกษาค้นคว้ามา พบว่าในบ้านคือห้องครัว ที่ซักผ้า ห้องนั่งเล่น และห้องนอน เป็นบริเวณที่อากาศแย่ที่สุด ส่วนที่ทำงาน คือห้องทำงาน เก้าอี้นวม ที่เป็นแหล่งรวมสารปนเปื้อนต่างๆ สำหรับที่ทำงานคงจะยาก ถ้าเราจะเอาเครื่องกรองอากาศไปตั้งเอง ถ้าไม่ใช่ระดับผู้บริหาร มีห้องส่วนตัว ที่เห็นอาจจะมีสาวๆ บางท่านที่มีภาพลักษณ์ที่รักสุขภาพอยู่แล้ว อันนี้ก็คงไม่โดนใครแซวใครว่าเท่าไหร่ แต่ถ้าผู้ชายก็คงจะยาก ตัวผมเองก็เช่นกันครับ ตัดปัญหาเรื่องที่ทำงานคือใช้พกหน้ากากอนามัย กับทิชชูเอา และเครื่องวัดฝุ่น (แอบวัด) คือวันไหนรู้สึกว่าอากาศมันมัวๆ แล้วหายใจไม่ดี ก็เปิดที่วัดฝุ่น ถ้ามันแย่มากๆ ก็ใส่หน้ากากอนามัยทำงาน อาจโดนแซวนิดหน่อย ก็พอรับได้ แต่ถ้าใครแพ้มากจริงๆ (ผมเห็นบางคนช่วงฝุ่นมากๆ ปีที่แล้ว ตาแดง น้ำตาไหล คัดจมูก) ถ้าเอาเครื่องกรองอากาศบ้านไปไว้ข้างโต๊ะทำงาน หรือแนะนำให้เอาเครื่องกรองอากาศแบบในรถ ไปหาซื้อหัวปลั๊กกับตัวแปลง แล้วเปิดไว้บนโต๊ะทำงาน เป่าเข้าหน้าเรา เท่าที่เห็นจากประสบการณ์แนะนำไป 2 ท่าน ก็ได้ผลมากครับ
 

 
                   กลับมาที่บ้าน อันนี้งานใหญ่ เพราะธรรมชาติของเรา ผมว่าหลายๆ คนคงเหมือนกันคือ ตัวเราเองไม่เท่าไหร่ แต่กับพ่อแม่ หรือลูกๆ ของเรา เราไม่อยากเห็นเขาป่วยหรือไม่สบาย ซึ่งจากที่เล่าไปในตอนต้น ประสบการณ์มันบอกให้ผมรู้ว่า “วิกฤต มันจะมาโดยไม่บอกล่วงหน้า แล้วเราก็ปฏิเสธมันไม่ได้ ถ้าไม่เตรียมการ” บทความนี้ของผมเลยอยากบอกเล่าประสบการณ์ตรงเพื่อแนะนำคนอ่าน อย่านิ่งนอนใจ อย่างให้เข้าตำราไทยว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เพราะนั่นอาจหมายถึงการเสียคนที่เรารัก ต่อไปจะพูดถึงการเตรียมอากาศในบ้านนะครับ ก่อนอื่นต้องคุยกันตามตรงก่อนว่าบ้านคนไทย ยิ่งปลูกมานาน น้อยหลังนักจะออกแบบตามทิศทางลมตามหลักพลศาสตร์ หรือสถาปนิกออกแบบมา แต่อยู่ไปนานาๆ สถาปนึกก็แก้ไขแบบ ดังนั้นการถ่ายเทอากาศอาจยากขึ้น (บ้านพ่อแม่ผมเป็นต้น) ดังนั้นเราต้องมาจัดวางของกันใหม่ ห้องไหนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่มากๆ เราควรจัดเป็นห้องที่ว่างที่สุด ของน้อยที่สุด เช่นห้องกินข้าว ห้องนั่งเล่น ที่ทุกคนในบ้านมารวมตัวกัน และทำกิจกรรมร่วมกัน ของมีเท่าที่จำเป็น ที่เหลือเอาไปเก็บที่อื่น เดินไปหยิบเมื่อจะใช้ โดยเฉพาะห้องเด็กอ่อน บ้านที่มีลูกน้อย หลายๆ ท่านเอาสะดวกพ่อแม่ ผ้าอ้อม ผ้าห่ม ชุดเด็ก กองพะเนิน อยู่ข้างที่นอนนุ่มนิ่ม คือนุ่มทั้งห้อง แต่ลองปิดไฟ เอามือตบฟูก แล้วเปิดไฟฉายมือถือ คุณจะรู้ว่าห้องลูกคุณน่ากลัวแค่ไหน เมื่อเราจัดระเบียบบ้านให้ห้องที่คนอยู่ประจำโล่ง สะอาด (มีที่ให้ฝุ่นเกาะได้ยาก) เราก็ต้องมีเวลาเปิดปิด ระบายอากาศ อาจจะใช้พัดลมช่วยทุกวัน แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์ก็ควรจะมีเครื่องกรองอากาศเป็นตัวช่วย เพื่อให้อากาศที่ไหลเวียนในห้องสะอาดและปลอดภัย
 

แต่ถ้าว่าด้วยเรื่องเครื่องกรองอากาศ ก็ต้องบอกก่อนว่าต้องเลือกคุณภาพด้วยนะครับ ไม่ใช่สักแต่ว่าใช้ เพราะถ้าซื้อแค่ “เครื่องกรองอากาศ” โดยไม่ดูคุณภาพ ประสิทธิภาพ คุณลักษณะการกรอง บางทีก็เหมือนซื้อแค่เครื่องมาตั้งสวยๆ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า บ้านเรามักถูกดัดแปลงแบบจากเดิมที่สร้างแต่แรกไว้ ทำให้มีมุมอับมุมห้องต่างๆ ซึ่งถ้ามีฝุ่นก็ไม่เท่าไหร่ แต่มันมีเชื้อโรค เชื้อไวรัส แก๊สพิษต่างๆ จากอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านตกค้างอยู่ด้วย เราจึงต้องดูสเปคของเครื่องกรองอากาศให้ดี แรกๆ หลายตำราที่ผมเปิดหาใน google บอกให้ดูอัตราการกรอง เพราะคนเขียนจะชอบบอกว่า “เครื่องกรองฯ ความละเอียดพอๆ กัน ให้ดูอัตราการกรองดีกว่า อันไหนไวกว่าดี” แต่พออ่านซ้ำสัก 2-3 รอบ ผมซึ่งเรียนสายวิทย์มาเริ่มงง สมมุติว่าแผ่นกรองเป็นตาข่าย ถ้ามันตาห่างเหมือนตาข่ายวอลเล่ย์ แต่เชื้อโรคเล็กเท่าลูกปัด ต่อให้มันกรองเร็ว กรองปริมาณมากๆ ลูกปัดมันก็วิ่งผ่านอยู่ดี ดังนั้นจะมีประโยชน์อะไร กลายเป็นเครื่องกรองเราคือสนามเด็กเล่นตะกร้อลอดห่วงให้เชื้อโรค พอเล่นเหนื่อยก็เข้าไปกินอาหารในร่างกายเราซะงั้น ดังนั้นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงจริงๆ คือตาข่าย หรือความละเอียดของแผ่นกรองที่จะดักจับ เชื้อโรค ไวรัส สารก่อภูมิแพ้และสารต่างๆ ที่จะทำให้เราเกิดการระคายเคืองอันเป็นที่มาของโรคต่างๆ นั่นเอง

ห้องใดควรมีเครื่องกรองอากาศบ้าง
                   ผมขอแนะนำดังนี้ ห้องนอนของทุกคน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ และห้องที่ทกคนจะมาสุมหัวกัน หรือห้องนั่งเล่นนั่นเอง ตรงนี้เพิ่มเติมนิดว่า ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนควรเปลี่ยนทุก 3 วัน หมอน ที่นอน ควรดูดฝุ่น ตบฝุ่นออกทุกอาทิตย์ ถัดมาคือห้องนั่งเล่นที่ทุกคนมารวมตัวกัน โซฟาถ้าเป็นไปได้ควรเป็นไม้หรือหนัง แต่ถ้าเป็นฟูกไปแล้ว ก็ควรดูดฝุ่นที่โซฟาให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อมีกรองเครื่องอากาศแล้ว ผมก็ขอแนะนำว่าก่อนใช้พื้นที่ห้องต่างๆ ที่ดีที่สุดควรเปิดเครื่องทิ้งไว้ก่อน เพื่อให้อากาศสะอาดก่อนเข้าใช้งานนะครับ
 
                   ที่เล่ามานั้นเป็นประสบการส่วนตัวมาบอกเล่ากันนะครับ ซึ่งถ้าท่านใดสนใจเรื่องการป้องกันฝุ่น PM2.5 และโรคที่มากับอากาศ หรือการเลือกเครื่องกรองอากาศ ทักไลน์มาคุยแลกเปลี่ยนกันได้ที่ ID Line : a-ri-ya-srup นะครับ สำหรับการเลือกเครื่องกรองอากาศที่ผมใช้ หากท่านใดสนใจผมจะได้เขียนแนะนำในโอกาสต่อไป ขอให้สุขภาพแข็งแรงครับ
 




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2562
2 comments
Last Update : 10 มกราคม 2563 23:26:06 น.
Counter : 2206 Pageviews.

 

เปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุก3วัน​ แม่บ้านไม่ไหว​ เหนื่อยมากแน่ๆค่ะ

 

โดย: JoYu Chu IP: 27.55.69.103 23 มกราคม 2563 1:56:09 น.  

 

ถ้าไม่ไหว อาจจะเป็นทุกสัปดาห์ แต่ในห้องต้องจัดให้โล่งนะครับ อุปกรณ์อันเป็นที่พักฝุ่น เช่นตุ๊กตา หมอนน่ารัก ของใช้กระจุ๊กกระจิ๊ก ของตกแต่ง ต้องเอาไปไว้ห้องอื่นนะครับ

 

โดย: สมาชิกหมายเลข 4309986 29 กุมภาพันธ์ 2563 0:18:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

สมาชิกหมายเลข 4309986
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 4309986's blog to your web]
space
space
space
space
space