~ฉันมีชีวิตอยู่...เพื่อความฝัน~ ~Welcome to my blog my dream&my life~
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
10 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
พรายเสน่หา(ตอนที่ 3...)



3...

“ตะโกนโหวกเหวกอะไรอยู่วะไอ้นัท”

ทันทีที่ได้ยินเสียงเพื่อนสนิทร้องตอบมาจากด้านหลัง ธนัทก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างชัดเจน

“ไอ้นนท์ ดึกดื่นป่านนี้ ยังจะมานอนชมวิวอยู่อีก โอย ทั้งมืดทั้งวังเวง ไอ้หมาบ้าก็หอนเกรียวขนาดนี้ ท่าจะบ้าแล้วเพื่อนกู” ธนัทบ่นไปพลาง ลูบแขนขึ้นลงไปพลาง

นนท์เงยหน้าขึ้นมองชายต่างวัยสองคนที่ไม่เพียงแตกต่างแค่วัย หากแต่สีหน้าก็ยังแตกต่างกันจนน่าขัน คนหนึ่งทำหน้าตาตื่น หวาดระแวง เหลียวหน้าเหลียวหลัง ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ ส่วนอีกคนหนึ่งกลับยืนหัวเราะเบาๆ สูบยาเส้น พ่นควันฉุยอย่างสบายอารมณ์

“แล้วบัวล่ะ บัวไปไหนแล้ว” นนท์ไม่ตอบคำถามเพื่อนยังไม่พอ กลับถามถึงหญิงสาวในความฝัน ที่พอเจ้าเพื่อนสนิทได้ยินเข้าถึงกับทำหน้าเหมือนหมาสงสัย

“นายเพี้ยนหรือเปล่าวะ บัวก็โน่นไง อยู่ในบึงโน่นไง” ธนัทตอบพาซื่อ แล้วชี้มือไปยังดอกบัวที่ชูช่อเรียงรายอยู่ในอ่าวคุ้งน้ำ

เสียงลุงคำนูณหัวเราะร่วนท่ามกลางความเงียบสงบรอบด้าน ให้ชายหนุ่มสองคนยิ่งฉงนสนเท่ห์
“แค่กับเพื่อนผม ผมก็จะบ้าตายกับมันอยู่แล้ว ยังจะให้ผมมานั่งประสาทเสียกับลุงอีกหรือไง มันมีเรื่องอะไรน่าขำมากนักหรือลุง” ธนัทพูดเสียงขุ่น

ชายสูงวัยทิ้งก้นบุหรี่ใบจากของแกลงบนพื้นทราย แล้วใช้เท้าขยี้ดับไฟ แกจ้องหน้าชายหนุ่มสองคนที่ยืนทำหน้าฉงน แล้วก็หัวเราะหึๆในลำคอ

“เปล๊า...” แกแกล้งลากเสียงสูง “ลุงแค่คิดว่า สงกะสัยผีสางนางไม้แถวนี้จะพาเพื่อนเอ็งลงมาล่ะม้าง” พูดจบแล้วแกก็หัวเราะอีก แต่ธนัทชักเริ่มขำไม่ออก บรรยากาศวังเวงเงียบสงัด หมาหอนเกรียวแบบนี้ ยังจะมาพูดเรื่องผีๆ สางๆ อีก

“โธ่ ลุง อย่าพูดสิ คนยิ่งกลัวๆอยู่ด้วย”

“พวกขี้กลัวน่ะ ผีมันยิ่งชอบนา... หรือว่าเอ็งอยากจะเจอ ลุงจะได้บอกวิธีให้” แกแกล้งหยอก


“ลุงนี่ยิ่งพูดยิ่งยุ” ธนัทค้อนขวับ ทำเสียงขุ่น

ลุงคำนูณเดินยิ้มมาตบไหล่พ่อหนุ่มขี้หงุดหงิดเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “เออ พอๆ ลุงไม่แกล้งเอ็งก็ได้ แต่ตอนนี้ ลุงคิดว่าสองพ่อหน่อ รีบกลับขึ้นไปก่อนเถอะ เดี๋ยวคนอื่นรู้เข้าจะพาลเรื่องใหญ่อีก”

“ไอ้นัท นี่แสดงว่าอาจารย์วินิจยังไม่รู้เรื่องใช่หรือเปล่า” นนท์หันไปถามเพื่อน

ธนัทส่ายหน้าดิก “ยังอะ พอดีฉันตื่นมาเข้าห้องน้ำไม่เห็นนาย ทีแรกก็ตั้งใจจะไปหาอาจารย์นั่นแหละ แต่พอดีเจอลุงคำนูณซะก่อน”

“ช่าย... ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะไปรบกวนคนอื่นเขาทำไม ถามลุงนี่ เจ้าถิ่นอยู่ตรงนี้ รู้ทุกอย่าง”

คำว่า ‘รู้ทุกอย่าง’ ของแกสะกิดใจให้นนท์นึกอะไรขึ้นได้ “ถ้าลุงรู้ทกอย่างจริงๆ งั้นผมขอถามอะไรหน่อย ข้างในนี้มีบ้านคนหรือเปล่าครับ” แล้วเขาก็ชี้ไปยังจุดที่หญิงสาวในความฝันบอกกับเขา

“ในนั้นน่ะเรอะ” แกถามกลับห้วนๆ ผู้ถูกถามพยักหน้าช้าๆ “บ้านคนน่ะไม่มีหร๊อก แต่บ้านผีล่ะก็ไม่แน่” คำตอบของแกยังกำกวม ด้วยยังไม่ถึงเวลาที่จะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้เด็กหนุ่มฟัง

“เอาอีกแล้ว นี่ถ้าลุงอยู่รุ่นเดียวกับผมนะ ผมขอสักหมัดเหอะ คนยิ่งกลัวๆ ก็พูดอยู่ได้” ธนัทพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

“จะถามลุงทำไม หือ พ่อหนุ่ม” ชายสูงวัยแกล้งถามด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น ถามทั้งที่แกพอจะรู้เรื่องราวอยู่แล้ว

“ลุงรู้จักผู้หญิงที่ชื่อบัวไหมครับ”

ลุงคำนูณพยายามเก็บอาการพิรุธ แล้วแกล้งย้อนถาม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ “บัวไหนของเอ็ง”

“เขาบอกว่าเขาชื่อบัวบูชา บ้านอยู่ในนั้นน่ะครับลุง ผมเห็นว่าลุงเป็นคนแถวนี้ น่าจะรู้จักเธอ”

“แล้วเอ็งไปรู้จักมักจี่กับมันได้ยังไง” แกถามเสียงขรึม

“ผมเห็นเธอในความฝันครับลุง” เมื่อได้ยินคำตอบจากเด็กหนุ่ม ชายสูงวัยก็หัวเราะร่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูจริงจัง

“ปัดโธ่เอ๊ยไอ้หลานชาย กะอีแค่ความฝัน ลุงจะบอกเอ็งให้นะว่า หลายครั้งที่ลุงเองก็ชอบฝันถึงใครก็ไม่รู้ จะว่ารู้จักหรือก็ไม่ ดันมาอยู่ในความฝันเรา คิดมากๆ ไปๆ กลับได้แล้ว”

ชายสูงวัยตัดบทง่ายๆ แกส่งไฟฉายให้สองหนุ่ม แล้วร้องสั่งทิ้งท้าย “เอ็งสองคนล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวลุงตามขึ้นไป”

เด็กหนุ่มสองคนพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย แล้วก็พากันปีนขึ้นเนินไป จนแกแน่ใจว่าทั้งคู่พ้นสายตาไปแล้ว แกจึงเดินไปยังป่าทึบที่นนท์บอกว่าเป็นบ้านของหญิงสาวที่ชื่อบัวบูชา

“นังบัว เอ็งอยู่แถวนี้หรือเปล่า ออกมาหาข้าหน่อย”

ไม่นานนัก แสงสว่างสีเขียวก็เปล่งวาบขึ้นมาท่ามกลางความมืดสนิท แสงสว่างนั้นนำพาร่างโปร่งบางในชุดไทยยืนไขว้มือไว้ข้างหน้าอย่างนอบน้อม เธอปรากฏกายในชุดเดียวกับที่นนท์เห็นในฝัน

“ลุงคำนูณ เรียกบัวหรือจ๊ะ” ผีพรายสาวเอ่ยถาม เธอสบสายตาชายสูงวัยที่ยืนอยู่อย่างหวาดๆ

“ใช่ นังบัว ต่อไปถ้าเอ็งทำอย่างวันนี้อีก จะหาว่าข้าไม่เตือนเอ็งไม่ได้นะ” ลุงคำนูณพูดเสียงขรึม

“บัวทำอะไรหรือจ๊ะ” พรายสาวแสร้งถาม

ลุงคำนูณหันไปจ้องตาเธอเขม็ง “เอ็งมาปรากฏร่างให้เขาเห็นทำไม เอ็งคิดจะทำอะไรนังบัว”

“โธ่ ลุงจ๊ะ บัวยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลย”

“ถ้าเอ็งไม่ได้ทำ แล้วพ่อหนุ่มนั่นจะลงมานอนหมดสติอยู่ที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ได้ยังไง แม้แต่กระทั่งเอ็งลบความทรงจำของเขา ข้าก็รู้”

“ก็บัวทำให้พี่นนท์ไม่รู้ว่า บัวมีตัวตนอยู่ที่นี่อย่างไรล่ะจ๊ะ แบบนี้ลุงยังจะต่อว่าบัวอีกหรือ”

“แล้วเอ็งมาเข้าฝันเขาทำไม”
“ก็แค่ความฝันเท่านั้นนะจ๊ะลุง แค่ฝันจ้ะ” สาวเจ้าย้ำคำ

“หึ แค่ความฝัน แล้วถ้าเกิดพ่อหนุ่มนั่นไม่ได้ลงมาที่นี่ด้วยสมัครใจ เอ็งจะเข้าฝันเขาได้ไหม”
บัวบูชาก้มหน้าสลด พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ ลุงคำนูณจึงพูดต่อ
“เงียบทำไม ถ้าเงียบ นั่นก็หมายความว่า ถ้าเขาไม่ลงมาที่นี่ เอ็งก็ต้องใช้ฤทธิ์เดชของเอ็งทำให้เขามา แล้วเอ็งคิดหรือเปล่า ถ้าอีคำหล้ากับอีแย้มมันรู้เข้า พ่อหนุ่มนั่นจะเป็นยังไง กะอีแค่ฤทธิ์เดชกระจอกงอกง่อยของเอ็งจะไปปกป้องคุ้มครองอะไรเขาได้”

น้ำตาของเธอเริ่มคลอเบ้า เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสะอื้น “โธ่ ลุงจ๊ะ ลุงก็รู้ว่าบัวไปไหนไม่ได้ นอกจากคุ้งน้ำนี้เท่านั้น”

“แล้วทำไมต้องเป็นพ่อหนุ่มคนนั้น” แกถามกลับอย่างใคร่รู้

“บัวขอยังไม่บอกลุงตอนนี้ได้ไหมจ๊ะ ถึงเวลาสมควรแล้ว ลุงก็จะรู้เอง”

“นังบัวเอ๊ย... ข้าขอเตือนนะว่า ต่อให้สิ่งที่เอ็งคิดจะทำมันเป็นอะไรก็ตาม แต่เอ็งอย่าลืมว่าเอ็งน่ะเป็นผีพรายที่ถูกอีคำหล้ามันสะกดวิญญาณไว้ให้สิงสถิตอยู่ใต้คุ้งน้ำนี้เท่านั้น” ลุงคำนูณตบท้ายด้วยประโยคแทงใจดำ ก่อนที่แกจะปีนขึ้นเนินไป ทิ้งพรายสาวร่างบางให้ยืนร่ำไห้อย่างน่าเวทนาอยู่เบื้องหลัง



เมื่อชายหนุ่มสองคนปีนขึ้นมาถึงยอดเนิน ความรอบคอบก็ทำให้พวกเขาไม่หุนหันพลันแล่นขึ้นมาด้านบน โดยไม่สอดส่ายสายตาสำรวจโดยรอบให้ดีเสียก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครเห็น เมื่อมองจนแน่ใจแล้ว ทั้งคู่ก็กุลีกุจอขึ้นมาด้านบน แล้วรีบเดินกลับไปที่เต็นท์ของตนเองที่มีโกสินทร์นอนหลับสนิทอยู่

เสียงกระแอมกระไอของลุงคำนูณแว่วมาจากด้านล่าง แกกำลังปีนขึ้นเนินตามมา เด็กหนุ่มสองคนจึงเดินย้อนกลับไปที่เดิม ด้วยเห็นท่าทางต้วมเตี้ยมของแกแล้วก็อดขำไม่ได้ โดยปกติแล้วเรื่องปีนเขาเตี้ยๆ แค่นี้เป็นเรื่องธรรมดามากๆ สำหรับแก แต่เวลาเหล้าเข้าปากเรี่ยวแรงมันก็มักจะอ่อนระทวยตามไป

เด็กหนุ่มสองคนเอื้อมมือไป เพื่อช่วยดึงให้แกขึ้นมาด้านบน

“เออ ขอบใจ ขอบใจ”

“ลุงคำนูณครับ” นนท์เรียก รอจนแกหันมาสบตา เขาจึงพูดต่อ “ขอบคุณมากนะครับลุงที่อุตส่าห์อดตาหลับขับตานอนไปตามผม”
ชายสูงวัยหัวเราะร่วน แล้วโบกมือโบกไม้ว่อน

“โอย ขอบอกขอบใจอะไรกัน ลุงยังไม่ได้หลับสนิทอะไร แค่เคลิ้มๆเท่านั้นเอ๊ง”

“ไม่ให้เคลิ้มได้ไงล่ะลุง นอนกอดเหล้าขาวไว้ขวด ตกเกลื่อนอยู่ข้างๆอีกสองขวด ยังเดินปร๋ออยู่ได้” ธนัทหยอก

“แน่นอนสิวะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างพวกเอ็ง เทียบลุงไม่ได้หรอก ไอ้ลุงน่ะมันตัวคนเดียว เมียก็ตายไปแล้ว ลุงก็คิดซะว่าไอ้ขวดเหล้านี่แหละวะเมียลุง”

“ถึงได้นอนกอดใช่ไหมล่ะครับ” นนท์เย้ากลับบ้าง

ลุงคำนูณหัวเราะถูกใจกับคำเย้าของเด็กหนุ่มทั้งสอง “พวกเอ็งน่ะพากันไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นกันแต่เช้า เกิดคุยๆกันอยู่ แล้วอาจารย์วินิจมาเห็นเข้า ลุงจะพลอยโดนด่าไปด้วย หาว่ามาชวนลูกศิษย์แกคุยกลางดึกกลางดื่น”

“ครับลุง เอ้อ ผมกับเพื่อนยังไม่ได้แนะนำตัวเลย”

“ชื่อเอ็งน่ะลุงรู้แล้ว” แล้วแกก็ใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่แผ่นอกของนนท์ “พ่อนนท์ พ่อยอดดวงใจแห่งพรายน้ำ” นนท์ขมวดคิ้วให้กับฉายาที่ชายสูงวัยตั้งให้ และแน่นอนว่าภาพฝันและหญิงสาวผู้นั้นเลือนหายไป
“ฮั่นแน่ แสดงว่าลุงได้ยินอาจารย์วินิจเรียกมันใช่มั้ยล่ะ ถ้างั้นลุงก็ต้องรู้ชื่อผมด้วยน่ะสิ” ธนัทถามกลับ

“ลุงรู้แต่ชื่อเจ้านี่คนเดียว ส่วนเอ็งน่ะลุงไม่รู้หรอก เป็นความจริงนะ”

“อ้าว แล้วทำไมลุงถึงรู้ชื่อผมล่ะครับ” นนท์ถามอย่างสงสัย

“สงกะสัยว่าพรายมันจะกระซิบบอกลุงล่ะม้าง” แกตอบทีเล่นทีจริงแล้วหัวเราะ แต่ชายหนุ่มสองคนที่ยืนหน้านิ่วอยู่ตรงนั้นชักอารมณ์ขุ่นๆ กับพฤติกรรมกับคำพูดกำกวมของแก

“ลุงก็พูดเรื่อยเปื่อย อย่างกับว่าลุงเป็นขุนแผนงั้นแหละถึงได้มีพรายกระซิบ” นนท์อดเหน็บแนมไม่ได้

“แต่พรายตนนี้น่ะเป็นผีสาวนะหลาน มิใช่ผีหนุ่มเหมือนเจ้าขุนแผนแสนสะท้าน เอ้อ แล้วตกลงเอ็งชื่ออะไรล่ะ ลุงจะได้เรียกถูก”

“ผมก็นึกว่าพรายจะกระซิบบอกลุงซะอีก ผมชื่อธนัท เรียกผมว่านัทก็ได้”

“โอเค ยินดีที่ได้รู้จัก ถึงเวลาที่ทั้งสองหลานจะต้องไปนอนแล้ว และก็ถึงเวลาที่ลุงคำนูณจะต้องไปหลับนอนแล้วเช่นกัน” ชายสูงวัยหัวเราะทิ้งท้าย ก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทางโซเซเล็กน้อย ตามประสาของแก ค่ำคืนแรกของการมาเยือนอุทยานนี้จึงผ่านพ้นไปแบบแปลกๆพิกล



เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วมาจากหมู่บ้านที่อยู่นอกเขตอุทยาน บรรยากาศหัวรุ่งฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่บรรดานักศึกษาภาควิชาทัศนียศิลป์กำลังทยอยตื่นและเข้าห้องน้ำทำกิจวัตรในยามเช้า ด้วยความที่ห้องน้ำมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนคนที่มาใช้ ทำให้นักศึกษาชายบางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มของนนท์และเพื่อนๆ พากันเดินไปล้างหน้าแปรงฟัน ยังลำธารต้นน้ำที่ลุงคำนูณแนะนำเมื่อวานนี้

เช้านี้นับว่าเป็นวันที่อากาศดี แม้ฟ้ายังสลัวรำไร ลมบนเนินเขาโกรกแรงจนผมเผ้าพันกันวุ่นก็ตาม แต่อากาศก็บริสุทธิ์สดชื่นเหมาะกับการสูดลมหายใจให้เต็มปอด บริเวณลานตรงกลางอ่าว เรียงรายไปด้วยขาหยั่งและเฟรมผ้าใบสีขาวนวล นักศึกษาผู้ที่เป็นเจ้าของผ้าใบแต่ละคนนั่งคุยกันไปและรอคอย

ไม่นานนัก จากฟ้าที่มืดสนิทก็ค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ ทิวเขาที่ทอดยาวรอบด้านเริ่มปรากฏแสงสีส้มระเรื่อ สลับกับสีขาวของเมฆอยู่บนท้องฟ้า ประกอบกับหมู่นกฝูงใหญ่บินมุ่งไปทางทิศเหนือเพื่อออกหากิน ทำให้ภาพของตะวันทอแสงเช้านี้ยิ่งงามจับตา

นนท์ในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีขาว เขาจัดการเลื่อนผ้าคาดผมที่คล้องคออยู่ขึ้นไปคาดผมไว้เพื่อไม่ให้ปลิวมาปรกหน้า เขาหยิบพู่กันจุ่มสีน้ำมัน แล้วทาบทาลงบนเฟรมสีขาวให้สีสันซึมซาบให้กลายเป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเบื้องหน้า นักศึกษาแต่ละคนในเวลานั้นต่างก็ใจจดจ่ออยู่กับงานชิ้นแรกกับการมาสัมผัสที่นี่ตามที่อาจารย์มอบหมาย นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาจะได้เรียนรู้...

ดังคำกล่าวที่ว่า ‘งานศิลปะคือสุนทรียภาพทางอารมณ์ งานศิลปะเปลี่ยนแปลงคนราวพลิกฝ่ามือ’
เห็นว่าจะจริงดังนั้น

แม้กระทั่งธนัท รวมไปถึงบรรดานักศึกษาบางคนที่ปกติแล้วจะเป็นคนพูดมาก ทะเล้น ไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่เมื่ออยู่ในช่วงเวลาตรงหน้าผืนผ้าใบ ทุกคนก็ดูตั้งอกตั้งใจจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“โอ้โห ไอ้เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ มันรู้จักตื่นแต่เช้ากันเป็นด้วยนะครับอาจารย์” เสียงตะเบ็งกลั้วหัวเราะมาแต่ไกลของลุงคำนูณ พาให้สมาธิของนักศึกษาแต่ละคนกระเจิดกระเจิง ทุกคนหันขวับไปมองแกกันเป็นตาเดียว

“ถ้าผมไม่ให้ตื่นมาวาดภาพพระอาทิตย์ขึ้น ป่านนี้คงยังนอนคุดคู้อยู่เต็นท์ใครเต็นท์มันน่ะแหละครับลุง ว่าแต่ลุงเถอะ เมื่อคืนท่าทางจะไม่ได้ดวดน่ะซีครับ ถึงได้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ” อาจารย์วินิจแกล้งถามเชิงเหน็บทิ้งท้าย แต่ชายสูงวัยยังไม่ทันได้ตอบ นายธนัทผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนก็เสนอหน้าตอบแทนให้

“อาจารย์เข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ผมตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกยังเห็นแกนอนกอดขวดเหล้าอยู่เลย แถมที่พื้นยังมีอีกสองขวดล้มระเนระนาดอีกต่างหาก”

ลุงคำนูณหัวเราะชอบใจจนเห็นฟันเหลืองที่ไม่ครบสามสิบสองซี่

“นั่นน่ะถือว่ายังน้อยนัก ใช่ไหมครับลุง” อาจารย์วินิจยังไม่หยุดหยอก

“นี่สิ เรียกว่ารู้ใจกัน คืนนี้มาสังสรรค์กันหน่อยไหมล่ะอาจารย์” จบคำพูดเชื้อเชิญของลุงคำนูณ อาจารย์ตอบคำถามด้วยรอยยิ้มเล็กๆ แต่ประโยคนั้นกลับเข้าทางนายธนัท

“แถวนี้มีเหล้าฝรั่งขายไหมล่ะลุง ถ้าเหล้าฝรั่งน่ะเยี่ยมเลย แต่เหล้าไทยแรงไป ผมเห็นจะสู้ไม่ไหว”

“อย่าเหม็นขี้ฟันนาพ่อหนุ่ม คนแน่คนจริง ไม่ว่าจะฝรั่งจะไทยก็ย่อมได้ทุกสถานการณ์ เอาไหมล่ะ คืนนี้ลุงขอท้า แต่ว่าตอนนี้ดูท่าอาจารย์ของพวกเอ็งจะไม่ชอบใจเสียแล้ว มองลุงตาขวางเชียว ฉะนั้นลุงจึงต้องขอตัวไปปลุกอีนังหลานขี้เซาของลุงก่อน ตะวันส่องก้นแล้ว ยังไม่เห็นหัวเห็นหางมันเลย”
แกพูดทิ้งท้ายแล้วก็เดินจากไป คำพูดทีเล่นทีจริงของแกพาให้อาจารย์วินิจส่ายหน้าช้าๆ อย่างระอา

“เฮ่ย ลุงแกพูดถึงหลานสาวแกที่มานั่งทำมิวสิคเมื่อคืนนี้ใช่หรือเปล่าวะ” ธนัทกระซิบถามเพื่อนสนิทสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน

“แล้วนายมั่นใจได้ยังไงว่าเขาเป็นหลานสาวของแก” นนท์ถามกลับห้วนๆ


“เดี๋ยวได้เห็นก็ได้รู้เอง แต่นาย ไอ้สิน อย่าลืมเหล้าหนึ่งกลมตามสัญญา”

โกสินทร์กลั้นหัวเราะเบาๆ เกรงว่าอาจารย์จะได้ยิน“มั่นอกมั่นใจเหลือเกิ๊นไอ้นัท ให้มันชนะก่อนเถอะแล้วค่อยคุย”
บทสนทนาเรื่องหญิงสาวนิรนามปิดท้ายไว้แค่นั้น แล้วพวกเขาก็หันมาใจจดจ่อกับผืนผ้าใบของตัวเอง ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น ภาพวาดของเหล่านักศึกษาก็สำเร็จเสร็จสิ้น แม้ว่าภาพพระอาทิตย์ขึ้นจะเป็นภาพเดียวกัน หากแต่แตกต่างในการร่างภาพนั้นลงบนผืนผ้าใบ ทั้งเฉดสี มุมมอง ความลึกและมิติของภาพ ต่างคนก็ต่างสไตล์ตามแต่ความเป็นตัวตนของคนนั้นๆ ออกมา

กลิ่นหอมกับข้าวโชยมาจากในกระต๊อบ ยั่วยวนจนน้ำลายสอ ไม่รอช้า บรรดานักศึกษาหนุ่มก็ตรงดิ่งไปยังจุดหมายคือกระต๊อบเพิงหมาแหงนหลังนั้น

ป้าอี๊ดยืนเคียงคู่กับหญิงสาวร่างฉะอ้อน ผมยาวเลยบ่าไปหน่อยเดียว ผิวออกคล้ำ หล่อนใส่เสื้อรัดรูปจนเน้นหน้าอกหน้าใจ กางเกงก็ขาสั้นเห็นเรียวขาอ่อนอวบอิ่มที่สะดุดตาเพศตรงข้ามมากทีเดียว หล่อนทำท่ากระดี๊กระด๊า โปรยยิ้มให้หนุ่มๆ ที่กำลังเข้าคิวเพื่อไปรับถาดอาหารมื้อเช้า เป็นข้าวต้มหมูสับกับไข่ลวก ดู
เหมือนหล่อนจะถูกใจที่มีนักศึกษาชายบางคนพูดหยอกล้อแซวเล่นไปตามประสาหมาหยอกไก่
“น้องเป็นหลานของลุงคำนูณใช่หรือเปล่าจ๊ะ” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาถามเสียงทะเล้น

“ใช่จ้ะ ฉันชื่อช่อ ฉันขายของอยู่ในเพิงโน้นแน่ะ พี่อย่าลืมไปอุดหนุนกันนะ” หล่อนทำท่าเอียงอายม้วนต้วน มือไม้ไขว้หน้าไขว้หลังเป็นพัลวัน

“เอ้าๆ บิดเข้าไป เดี๋ยวมือจิ้มลงไปในหม้อข้าวต้มร้อนๆ แล้วอย่ามาร้องนะ ข้าจะสมน้ำหน้าให้” ป้าอี๊ดว่าเสียงขุ่น

“โธ่ ป้าก็ ช่อก็แค่อยากจะประชาสัมพันธ์ร้านรวงของช่อให้พวกเขารู้จักก็แค่นั้นเอง” ช่อย้อนกลับ พลางมือก็ส่งถาดอาหารให้กับหนุ่มๆไปด้วย

กลุ่มของนนท์กับเพื่อนสองคนตามมาทีหลัง ทันทีที่แม่ช่อฟ้ายาใจได้สบตากับชายหนุ่มผมประบ่า รอยยิ้มของหล่อนที่ฉีกกว้างอยู่แล้ว ก็ยิ่งเบ่งบานราวกับดอกทานตะวัน

หล่อนส่งถาดอาหารให้กับเขาด้วยมือไม้สั่นคลอน จิตใจหวั่นไหวเต้นรัวอย่างที่ไม่ได้รู้สึกกับใครมากมายเท่ากับคนนี้ ส่วนธนัทเมื่อเห็นหญิงสาวแปลกหน้ายืนอยู่ข้างแม่ครัว ด้วยนิสัยเขาจึงไม่เก็บความสงสัยเอาไว้

“ผู้ช่วยเหรอครับป้าอี๊ด”

“จะว่ายังงั้นก็ได้ นังช่อมันเป็นหลานตาคำนูณไงล่ะ มันมาช่วยแปบเดียวเดี๋ยวมันก็ไปเปิดร้านขายของมันแล้ว”

ธนัทเบิกตาโพลงที่ได้ยินคำตอบ ก็ลักษณะของแม่สาวก๋ากั่นคนนี้ไม่ได้มีความเหมือนหรือคล้ายกับหญิงสาวร่างบางที่เขาเห็นเมื่อคืนเลย แล้วสาวเจ้าคนนั้นคือใคร แต่สำหรับตอนนี้ เธอจะเป็นใครก็ยังไม่สำคัญเท่า กับการที่เขาจะต้องควักกระเป๋าซื้อเหล้าเลี้ยงเพื่อนตามที่พนันกันไว้

ทางฝ่ายโกสินทร์หัวเราะร่าที่ตนเองเป็นฝ่ายเข้าเส้นชัย เขาตบไหล่เพื่อน เน้นๆ เป็นเชิงเยาะเย้ย ก่อนจะเดินนำลิ่วไปยังใต้ต้นไทรที่เป็นมุมเดียวกันกับเมื่อวานที่พวกเขาใช้กินข้าว

“อย่าเพิ่งมั่นใจไปสิวะไอ้สิน บางทีหลานลุงคำนูณ อาจจะมีสองคนก็ได้” ธนัทยังทู่ซี้ ทั้งที่รู้ว่าความหวังจะชนะนั้นริบหรี่

“จะมาพนันกันให้มันเรื่องมากทำไม แค่เหล้าขวดเดียว ก็แชร์กันออกไปซะก็สิ้นเรื่อง” นนท์ว่าเพื่อน

“ไม่ได้เว้ย ลูกผู้ชายเสียชีพอย่าเสียสัตย์ ถึงฉันแพ้ ฉันก็ไม่มีวันผิดคำพูดเด็ดขาด” ธนัทย้ำเสียงหนักแน่น นนท์ส่ายหน้าช้าๆ ส่วนโกสินทร์ได้แต่อมยิ้มในชัยชนะและตักข้าวต้มใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ ไม่ขาดปาก




ระหว่างกำลังนั่งสนทนากันอยู่เพลินๆ หารู้ไม่ว่ามีสาวร่างฉะอ้อนกำลังเดินทอดน่องเข้ามา แม้ว่าตัวจะยังมาไม่ถึง แต่กลิ่นน้ำหอมที่หล่อนใส่นั้นโชยฉุยมาก่อนเสียอีก

ชายหนุ่มสามคนที่นั่งรวมหัวกันกินข้าวอยู่บนเสื่อ หางตาก็ชำเลืองมองเห็นขาอวบอิ่มของใครบางคนมายืนอยู่ใกล้ๆ สายตาสามคู่ก็แหงนมองจากเท้าขึ้นไปจนปะกับใบหน้ายิ้มกริ่มของหล่อน แต่สายตาของธนัทกับโกสินทร์แหงนมองหน้าได้แปบเดียว ก็ค่อยๆ เลื่อนลงมามองต้นขาอวบนั้นอีกครั้งอย่างกลืนน้ำลายดังเอือก

“ปลาซิวทอดเนี่ย ฝีมือช่อเอง อร่อยไหมจ๊ะ” หล่อนพูดพร้อมกับหลิ่วตา แล้วก็หย่อนตัวลงนั่ง พยายามชิดไปทางนนท์ จนเขาต้องรีบเขยิบตัวห่าง

“ก็อร่อยดีนะ เธอเองก็ทำกับข้าวอร่อยไม่เบา” โกสินทร์ตอบกลับ แต่ดูเหมือนสาวเจ้าจะไม่ใส่ใจกับคำตอบเท่าใดนัก หล่อนเอาแต่จดจ้องไปที่ชายหนุ่มผู้ที่เป็นเป้าหมาย อันที่จริงถ้านี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการทำความรู้จัก การที่นนท์กระเถิบห่างจากหล่อนแบบนี้ หล่อนคงจะกระเถิบตามไปแล้ว

“เออ น้อง ถามอะไรหน่อยสิ เห็นป้าอี๊ดบอกว่าน้องเป็นหลานลุงคำนูณ พี่อยากรู้ว่าน้องเป็นหลานคนเดียวของแกหรือเปล่า” ธนัทยังอดแคลงใจไม่ได้

สาวเจ้ายิ้มยั่วยวนก่อนจะเอื้อนเอ่ยวาจาอย่างหลงตัวเอง “ก็แน่นอนสิพี่ แต่ไม่ใช่ว่าช่อจะเป็นแค่หลานคนเดียวของลุงหรอกนะ แต่ยังเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในแถบนี้ด้วยนะพี่”
โกสินทร์หัวเราะร่วนขึ้นมา เมื่อหันไปเห็นเพื่อนทำหน้าจืดสนิท ด้วยท่าทางที่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าแพ้พนันแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าแถวนี้ยังมีผู้หญิงคนอื่น นอกจากเธออยู่ด้วยงั้นสิ” ธนัทเริ่มประโยคในการหลอกถามเอาความจริงถึงหญิงสาวผมยาวคนเมื่อคืน

“มีน่ะมีอยู่แล้ว แต่ความสวยสดน่ะ ไม่มีใครสู้ช่อได้หรอก” หล่อนพูดตรงๆ อย่างไม่ละอาย “แต่ว่าไม่มีใครอยู่ในเขตอุทยานหรอกนะ มีช่อคนเดียวแหละที่อยู่ที่นี่ นอกนั้นอยู่ในหมู่บ้านนอกเขตอุทยานโน่น”
คำตอบของหล่อน พาให้ชายหนุ่มทั้งสามฉงนใจยิ่งนัก พาให้นนท์ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้นทันควัน

“อ้าว แล้วผู้หญิงผมยาวเหยียดคนที่มานั่งอยู่ริมน้ำข้างล่างนั่นล่ะ พวกฉันเห็นอยู่เมื่อคืนนี้น่ะ”

“ไม่มีหรอกพี่ นอกจากช่อ ก็ไม่มีผู้หญิงที่ไหนแล้วจ้ะ หรือไม่ก็อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวก็ได้”

“นักท่องเที่ยวที่ไหนจะไปนั่งชมวิวตรงที่เปลี่ยวๆ มืดค่ำแบบนั้น ฉันว่าไม่น่าจะใช่ เธอลองคิดดูดีๆ ซิว่าแถวนี้ยังมีใครอีกหรือเปล่า” นนท์ยังเซ้าซี้

แม่ช่อแหงนหน้า ทำท่าทางครุ่นคิดเป็นการใหญ่ แล้วหล่อนก็ทำหน้าตาตื่นก่อนจะตอบ “เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นพะ...” หล่อนชะงักอยู่เพียงเท่านั้น ทันทีที่มีเสียงตะเบ็งลั่นของใครบางคนดังมาแทรก

“เอ็งมาเสนอหน้าอะไรตรงนี้วะนังช่อ ร้านน่ะเปิดหรือยัง”
“โธ่ เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าเอง ร้านมันไม่หนีไปไหนหรอก” หล่อนตอบกระฟัดกระเฟียด

“ไปเลยไป เรื่องทำมาหากินให้มันเก่งช่ำชองเหมือนกับเรื่องคุยกับผู้ชายหน่อยเป็นไร นังช่อ ไปเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมาทำสะดีดสะดิ้ง” ช่อลุกพรวดขึ้นมาจากพื้นอย่างไม่พอใจที่ลุงมาขัดจังหวะ แล้วหล่อนก็เดินสะบัดก้นซ้ายขวาห่างออกไปยังเพิงขายของ

‘เกือบไปแล้วนังช่อ นังปากไม่มีหูรูด เฮ้อ...’ แกคิดในใจคนเดียว โชคยังดีที่แกมาขัดจังหวะไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่หลานสาวปากมากจะพูดอะไรออกไป





Create Date : 10 พฤษภาคม 2554
Last Update : 21 มิถุนายน 2554 4:05:27 น. 21 comments
Counter : 999 Pageviews.

 
รูปประกอบได้อารมณ์มากน้องนุ่น


โดย: พี่ปัณณ์ IP: 223.205.18.188 วันที่: 10 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:00:46 น.  

 
ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมที่บล๊อกนะคะ
ตอน 3 แล้ว ถ้าอ่านก็คงไม่รู้เรื่อง
ไว้มีเวลาแล้วจะมาอ่านเริ่มต้นค่ะ


โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 11 พฤษภาคม 2554 เวลา:4:18:53 น.  

 
เก่งจังเลยนะคะ เขียนได้เยอะขนาดนี้
อยากเขียนมั่งจังแต่คงไม่มีปัญญาอะ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมกันนะคะ


โดย: mutcha_nu วันที่: 13 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:46:47 น.  

 
ฝนตกเปียก...รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ


โดย: Gunpung วันที่: 13 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:13:16 น.  

 
กำลังจะปิดคอมพ์แล้วค่ะ ไม่ไหวๆๆฝนตกหนักมาก ฟ้าก็ร้องเสียงดัง กลัวฟ้าจะผ่าเอาค่ะ


ขอบคุณนะคะที่แวะไปทักทายกันที่บล็อค


แต่งนิยายด้วยเหรอคะเนี่ย เก่งจังเลยค่ะ ของเราแค่คิดที่จะแต่งก็จอดแล้วค่ะ ไม่ใช่แนวจริงๆ

ทำงานกะกลางคืนเหรอคะ โห....เหนื่อยแย่ บรรยากาศคืนนี้ก็เป็นใจซะด้วย ยังไงก็สู้สู้นะคะ เดี่ยวก็เช้าแล้ว



โดย: ตะแน๋วกิ๋วกิ้ว วันที่: 13 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:42:58 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ

ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันนะครับ









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:5:23:04 น.  

 
รูปได้อารมเข้ากะเรื่องเลย


โดย: janzilla IP: 115.87.207.23 วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:7:54:13 น.  

 
ว้าวว..คุณเดย์ครีมเป็นนักเขียน
รึคะเนี่ยะ..นิยายด้วยอะ
แสดงว่าต้องเป็นคนมีจินตนาการบรรเจิดเนาะ
แวะมาทักทายค่ะคุณเดย์ดรีม ขอบคุณที่แวะไป
เที่ยวที่บล๊อกนะคะ


โดย: แก้วศกุลตลา วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:7:56:39 น.  

 
สวัสดีตอนเช้าๆน่ะครับ

เช้านี้ฝนตก อากาศดีมากๆ :)


โดย: ฮูโต๋ (กุหลาบเหมันต์ ) วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:8:12:16 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...สุขสันต์วันหยุดนะคะ


โดย: มิลเม วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:47:17 น.  

 
ขอบคุณนะคะ ที่แวะไปเยี่ยมแต่เช้าเลย
ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะคะ
บ้านนี้สวยจังเลย


โดย: kissira วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:11:20:22 น.  

 
แวะมาเยี่ยมค่ะ ทานกลางวันรึยังเอ่ย เข้ากะดึกๆดูแลสุขภาพดีๆน๊า


โดย: คุณหนูแพนด้าตัวน้อย วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:12:22:25 น.  

 
สวัสดีค่ะวันอากาศน่านอนค่ะ


โดย: หยุดนิ่ง วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:16:38:28 น.  

 




.....วันนี้วันหยุด... ต้องเข้ากะอีกหรือเปล่าอ่ะครับ...



...^-^...


โดย: saraburitrebor วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:38:55 น.  

 



ขอบคุณที่แวะไปทักทายค่ะ
เมื่อคืนแถวที่ทำงานฝนตกมากหรือคะ
แถวบ้านป้าลงแค่พรำๆค่ะ

เขียนเก่งนะคะ ตอน 3 แล้ว ลงได้ยาวด้วย
ในบล็อกเรามีนักเขียนมือโปรหลายท่านทีเดียว
คุณนุ่นคงเป็นมือโปรอีกคน

สาวน้อยในกล่องคอมเมนท์รู้สึกจะโดนลมแรงทีเดียว




โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:19:10:17 น.  

 
หวัดดียามค่ำ

มีนักเขียนเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว เขียนเก่ง

รักษาสุขภาพด้วย


โดย: กาแฟสดกะพรรณไม้งาม วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:19:16:47 น.  

 
เข้ามาอ่านต่อตอนที่สาม

ขอบคุณที่ไปที่บล็อคนะคะ

ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลย




โดย: เด็ก(อยาก)แนว วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:33:44 น.  

 
ขอบคุณน้องนุ่นมาก ๆ นะคะ ที่แวะไปเยี่ยมเยียน กำลังพยายามหาเวลาเขียนตะเกียงอยู่จ้า...^_^

สบายดีนะจ๊ะ พี่อ้วนเล่าให้ฟังว่า ได้เจอกันแล้วใช่ป่าวคะ


โดย: ริเศรษฐ์ วันที่: 15 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:27:36 น.  

 
ต้องหาเวลาว่าง ๆ อ่านนิยายของคุณครีมซะแล้ว


โดย: มิลเม วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:11:49:43 น.  

 
สวัสดีจ้า...
พรุ้งนี้ วันพระใหญ่ ไปทำบุญที่ไหน ขอให้มีความสุข..จิตใจเบิกบานครับ


โดย: หมุนตามไมล์ วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:11:53 น.  

 
รีบๆมาต่อตอนสี่นะคะ
ปูเสื่อรออยู่


โดย: ต้นข้าวรวงรัก วันที่: 19 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:15:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วันฝัน วันซันเดย์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอความฝัน...จงบังเกิด
หลงรัก...คนรุ่นพ่อ
...หัวใจดวงนี้ ไม่มีอะไร นอกจากความห่วงใย... ถึง...ใครบางคน
> : Users Online
TOP

Free Cursors
Friends' blogs
[Add วันฝัน วันซันเดย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.