~ฉันมีชีวิตอยู่...เพื่อความฝัน~ ~Welcome to my blog my dream&my life~
Group Blog
 
 
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
28 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
พรายเสน่หา(ตอนที่ 1...)





เสียงร้องเพลงอย่างครื้นเครงของนักศึกษาปี 3 คณะศิลปศาสตร์ สาขาทัศนียศิลป์ เข้าจังหวะกับเสียงกลองและกระพรวนมืออยู่ภายในรถทัวร์ ซึ่งกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติภูเอื้องหลวง เพื่อทัศนศึกษาและค้างแรมเป็นเวลา 2 สัปดาห์

ขณะที่เพื่อนๆกำลังสนุกสนานกับการร้องรำทำเพลง แต่สำหรับนนท์ ภพธนภณไม่เป็นอย่างนั้น แม้ว่าจะมีรอยยิ้มผุดขึ้นและเหลือบไปมองเพื่อนๆเป็นครั้งคราว เวลาที่พวกนั้นร้องเล่นปล่อยมุกกันบ้างตามประสา แต่ครู่เดียว เขาก็หันกลับไปพิงริมหน้าต่างมองเหม่อออกไปด้านนอกดังเดิม ต้นฤดูฝนเช่นนี้ สองข้างทางที่รถแล่นผ่าน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่น สลับกับพงหญ้าเป็นบางช่วง เทือกเขาเรียงรายเป็นเงาอ่อนทอดเป็นแนวอยู่ไกลลิบ มองเห็นแผ่นหลังของชาวนาก้มๆเงยๆกลางท้องทุ่งเขียวชอุ่ม หนองน้ำมีให้เห็นบ้างประปรายตามรายทาง

“เฮ้ย เพื่อนๆ วันนี้พวกเรามีพระเอกมิวสิคมาด้วยหรือวะ” ธนัทแซวขึ้นเสียงดัง แล้วชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ

“ไหนพระเอกของนายวะไอ้นัท ฉันมองไปทางไหนก็เห็นแต่ตัวสำรองว่ะ” โกสินทร์ร้องตอบแกล้งทำทีเป็นไม่รู้ว่าธนัทพูดถึงใคร ทั้งที่ความจริงในใจรู้อยู่เต็มอก

นนท์อมยิ้มอยู่คนเดียว เพราะรู้ตัวแล้วว่าเจ้าเพื่อนตัวแสบพากันแซวเสียงดังลั่น

“สงสัยจะคิดถึงน้องตองอ่อนยอดรัก ป่านนี้สาวเจ้าจะทำอันใดอยู่ หรือจะกำลังไปกินข้าว ดูหนังฟังเพลงกับชายใดหนอตองอ่อนน้อยของพี่นนท์” ธนัทยังแซวต่อไม่เลิก

“ไอ้นัท นายจะเลิกแซวเรื่องฉันกับตองได้หรือยัง ที่น้องเขาคิดกับฉันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะว่าพวกนายพากันแซวสนุกปากแบบนี้ไง” นนท์ตอบกลับกึ่งยิ้มกึ่งหน่ายกับเพื่อนที่ชอบจับคู่ให้โดยพลการ เพียงแค่ว่าเขากับปณิตาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ ก็แค่นั้นเอง ทั้งที่จริงแล้วนนท์เห็นเธอเพียงฐานะน้องสาวข้างบ้านคนหนึ่งก็เท่านั้น

“ถามจริงเหอะไอ้นนท์ นายไม่เสียดายบ้างหรือไง น้องเขาออกจะน่ารัก ถ้าเป็นฉันหน่อยไม่ได้ ไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือเด็ดขาดเลย” ธนัทยังทะเล้นตามเคย

“เดี๋ยวฉันไปบอกตองให้ไหมล่ะ เผื่อว่านายกับเขาได้คบกันขึ้นมาจริงๆ จะได้เลิกมาแซวฉันซะที”คำพูดของนนท์เหมือนแทงใจดำของธนัทอย่างจัง ธนัทจึงแกล้งบ่ายเบี่ยงโดยการตะโกนถามโชเฟอร์

“เอ้อ น้าป้อมคร้าบ... อีกนานมั้ยครับกว่าจะถึงอุทยาน”

นนท์แอบหัวเราะเพื่อนเบาๆ แล้วหันมองไปนอกหน้าต่างตามเดิม เขาคิดว่าถ้าไม่เล่นไม้นี้ เจ้าเพื่อนตัวดีคงไม่หยุดปากแซวอย่างแน่นอน

“โอ๊ย อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว น้าจะบอกอะไรให้ การจะไปไหนมาไหนถ้ามัวแต่ใจจดจ่อกับปลายทางมากนัก มันจะทำให้ถึงที่หมายช้าลง เข้าใจไหมนักศึกษาทั้งหลาย” น้าป้อม โชเฟอร์ประจำรถตอบกลับตีสำนวน ทำให้บรรดานักศึกษาพากันโห่แซวประสานเสียง

เพียงชั่วอึดใจ นนท์เหลียวหลังมองข้างทางที่รถแล่นผ่าน เขาก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเบียดแทรกตัวเองออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่ออกันอยู่ตรงกลางทางเดินบนรถทัวร์ แล้ววิ่งปรี่ไปยังคนขับรถ

“น้าป้อมครับ ช่วยหยุดรถก่อน” นนท์รีบพูดน้ำเสียงกระหืดกระหอบ ท่าทางหน้าตาตื่นของนนท์พาให้เพื่อนๆหันมองมาเป็นตาเดียว

โชเฟอร์ชะลอความเร็วรถเพื่อความไม่ประมาท ก่อนจะหันมาถามกลับด้วยความงุนงง “หยุดรถ ตอนนี้เนี่ยนะครับ นี่มันถนนเลนส์เดียวด้วย เกิดมีรถตามหลังมาจะยุ่งนา...”

“โธ่ นะครับน้าป้อม หยุดรถก่อน ไม่เห็นข้างทางนั่นหรือไงครับ”

“เดี๋ยวก่อนๆ นายนนท์ ข้างทางมันมีอะไร” อาจารย์วินิจ ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังคนขับถามแทรกขึ้นมา ท่านเป็นอาจารย์ประจำชั้นภาควิชาทัศนียศิลป์ ห้อง 1 ซึ่งมีนักศึกษาในปกครองอยู่ 30 ชีวิต

“ก็ผมอยากรู้ว่า คนพวกนั้นเขาชะโงกมุงดูอะไรกัน ผมสงสัยว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุ ตรงตีนเขาตรงนั้นน่ะครับ”

อาจารย์วินิจมองตามมือชี้ของลูกศิษย์ก็ประหลาดใจ “ถ้ามีอุบัติเหตุอะไรอย่างเธอว่า อาจารย์กับเพื่อนๆก็ต้องเห็น อย่างน้อยก็ต้องมีตำรวจ มีรถพยาบาล จอดอยู่ให้เห็นบ้าง แล้วถนนเส้นนี้ก็เป็นทางขึ้นเขา ไม่มีหมู่บ้านเพราะเป็นเขตอุทยาน อาจารย์พานักศึกษารุ่นก่อนๆมาที่นี่ทุกปี แล้วตรงที่เธอบอกน่ะมันเป็นหน้าผาสูงที่มองลงไปเป็นอ่าวคุ้งน้ำที่เราจะไปพักแรมกันคืนนี้ไง”

“นั่นสิวะไอ้นนท์ ฉันก็เห็นมีแต่ต้นไม้ มีแต่ป่าตลอดทางเลย แม้แต่เงาคนเดินซักคนยังไม่เห็นมี นี่มันต่างจังหวัดนะเว้ย ไม่ใช่กรุงเทพ” ธนัทออกความเห็น

“ฉันเห็นจริงๆไอ้นัท” บอกเพื่อนสนิทแล้ว นนท์ก็หันไปย้ำคำเดิมกับอาจารย์อีกครั้ง “จริงๆนะครับอาจารย์ ผมเห็นจริงๆ”

“ท่าทางนายจะอดนอนมากไป ไหน ขอฉันดูหน้าหน่อย” ว่าแล้วธนัทก็ใช้มือประกบหน้าของเพื่อนสนิททั้งสองข้างให้หันไปมองหน้าตัวเอง
“ตาก็ไม่โหล หน้าก็ไม่ได้หมองคล้ำอะไร หรือว่าจะช่วยแม่ทำงานเหนื่อยมากไป หรือว่าอ่านหนังสือจนดึกดื่น หรือว่า...”

“เฮ้ยๆ ไอ้นัท เลิกเดามั่วซั่วได้แล้ว” นนท์ยกมือห้ามเพื่อน

“ท่าจะประสาทหลอนแล้วว่ะเพื่อนเรา แสดงว่าก่อนมานี่นอนพักผ่อนไม่เต็มที่ เพราะมัวแต่ช่วยแม่ส่งของอยู่อ่ะดิ” โกสินทร์สมทบถาม


“ถ้าอย่างนั้นคงเป็นอย่างที่ไอ้สินว่า ผมคงจะเหนื่อยเลยเบลอจนกระทั่งตาฝาดไป ผมต้องขอโทษอาจารย์ แล้วก็น้าป้อมนะครับที่ทำให้วุ่นวาย” นนท์จบเรื่องโดยการตัดบทแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม ในเมื่อบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครเห็นเหมือนที่เขาเห็น นนท์ก็จนใจ ทั้งที่เขามั่นใจแน่วแน่ว่าเห็นจริงๆ น่าจะราวๆ 20 คนที่มุงกันอยู่ตรงนั้น หนำซ้ำยังแว่วยินเสียงร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญเข้ามาภายในตัวรถ เขายังได้สบตากับคนบางคนในกลุ่มไทยมุงที่หันมองมา ขณะที่รถคันนี้แล่นผ่านอีกด้วย

รถทัวร์เคลื่อนตัวเลี้ยวเข้าไปในเขตอุทยานช้าๆ แล้วดับเครื่องลงตรงลานจอดรถ อาจารย์วินิจเดินนำหน้าลงมา ตามด้วยนักศึกษาในภาควิชาอีก 30 ชีวิตที่ทยอยกันเดินตามหลังด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใส

“สวัสดีครับอาจารย์วินิจ เดินทางเป็นยังไงบ้าง ราบรื่นดีไหม” ลุงคำนูณ ชายสูงวัยประจำการอยู่อุทยานแห่งนี้ตั้งแต่รุ่นบุกเบิก แกเดินยิ้มแฉ่งมาแต่ไกล พลางยกมือไหว้อาจารย์อย่างนอบน้อม ก่อนจะถามไถ่พูดคุย 2-3 ประโยคอย่างคนเคยเห็นกัน เพราะอาจารย์พานักศึกษามาพักแรมที่แห่งนี้ทุกปี

“สวัสดีครับลุง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ลุงสบายดีนะ”
“ก็ตามประสาคนแก่น่ะครับอาจารย์” พูดไปแกก็หัวเราะไปด้วย

“แล้วคุณนิเวศน์กับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะลุง”

“วันนี้ไม่มีใครอยู่หรอกครับอาจารย์ เมื่อคืนมีพวกลอบตัดไม้ทางฟากโน้น พอดีมีคนตายด้วย ก็เลยต้องไปสืบสาวราวเรื่องกันยาว ทั้งตำรวจทั้งสายตรวจอะไรวุ่นวายไปหมด ตรงนี้ก็เลยเหลือลุงอยู่หัวเดียว” พูดจบลุงคำนูณก็หัวเราะอีกอย่างอารมณ์ดี แล้วแกก็กวาดสายตามองกลุ่มนักศึกษาที่ยืนออกันกลุ่มใหญ่

“เอ้อน่ะ ปีนี้นักศึกษามากกว่าปีก่อนๆ ถ้าผมจำไม่ผิด รู้สึกว่าปีที่แล้วจะมากันแค่สิบกว่าคนเอง นอกเสียจากว่าผมมันจะแก่เกินแกงไปแล้ว ถึงจำผิดจำถูก” แล้วแกก็หัวเราะอีก

“ลุงแกไม่เหนื่อยหรือไงวะ หัวเราะอยู่ได้” ธนัทแอบกระซิบกับนนท์ ส่วนนนท์ได้แต่ยิ้มๆ

“แก่อะไรกันครับ ลุงยังดูแข็งแรงอยู่เลย ผมมากี่ปีๆลุงก็ยังอารมณ์ดีเหมือนเดิม อืม...นักศึกษาทำความรู้จักเอาไว้ นี่คือลุงคำนูณ เป็นคนพื้นที่นี้ แกอยู่มาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ประกาศเป็นอุทยาน นี่ก็ผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้วแกจึงเป็นรุ่นบุกเบิกของที่นี่เชียวล่ะ” คณะนักศึกษาพากันประนมมือไหว้ หลังจากอาจารย์แนะนำ ลุงคำนูณก็รับไหว้ไปพลางหัวเราะไปพลาง จนนักศึกษาแต่ละคนพากันซุบซิบว่าแกสติดีหรือเปล่า ที่เล่นพูดไปขำไป เรื่องไม่น่าตลกก็หัวเราะได้เป็นวักเป็นเวร

“สวัสดี สวัสดี พ่อหนุ่มทั้งหลายแหล่ ลุงขอแนะนำว่า อุตส่าห์มาถึงนี่ทั้งทีแล้ว จะอาบน้ำในห้องน้ำ มันก็ดูจะธรรมดาไปเสียหน่อย ลองไปเปลี่ยนบรรยากาศดูไหม โน่นต้นน้ำฝั่งโน้น น้ำใสแจ๋ว เย็นสบายดีนักแล” ลุงคำนูณชี้ไปยังเส้นทางสู่ต้นน้ำ ทำให้นักศึกษาแต่ละคนสนอกสนใจกันใหญ่

“แล้วเดินไปไกลมั้ยครับลุง” หนึ่งในบรรดานักศึกษาชายร้องถามออกมาจากกลุ่ม

“โอ๊ย ไม่ไกลหรอกพ่อคุณ เดินลัดลงไปทางนี้ ไม่ถึงห้าร้อยเมตร แต่ถ้าใครคิดจะไปอาบน้ำที่นั่น ต้องไปก่อนตะวันตกดินนะ ห้ามไปมืดๆค่ำๆเด็ดขาด”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ” ธนัทร้องถามไปบ้าง ลุงคำนูณหัวเราะและตอบคำถามเลี่ยงๆไปด้วยเหตุผลที่แกใช้อธิบายกับนักศึกษาที่เคยมาค้างแรมรุ่นก่อนๆ

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ทางมันมืดสนิท ไฟสักดวงก็ไม่มี งูเงี้ยวเขี้ยวขอมันก็ชุม อีกอย่างสองข้างทางหญ้ามันรกชัฎเชียวนะพ่อหนุ่มทั้งหลาย ไปตอนฟ้าสว่างดีกว่าจะได้ปลอดภัย” นักศึกษาจึงไม่ได้ถามซักไซ้อะไรต่อ อาจารย์วินิจจึงสาธยายต่อ

“ลุงคำนูณนี่ล่ะที่จะคอยดูแลพวกเราตลอดช่วงเวลาที่พักอยู่ เอาล่ะ นี่ก็บ่ายมากแล้ว เดี๋ยวพวกเราแยกย้ายกันไปเอาเต็นท์ในที่ทำการ เต็นท์หลังหนึ่งจะนอนได้สามคน ใครอยากจะกางตรงไหนก็เลือกเอาตามใจ เสร็จแล้วใครจะนอนจะเดินเล่นชมวิวอะไรก็ได้ อาจารย์ให้เวลาถึงหกโมงเย็น หลังจากนั้นเราจะมารวมตัวกันตรงนี้ จะได้มากินอาหารเย็นกัน” อาจารย์วินิจชี้ไปที่กระต๊อบเล็กๆ คล้ายกับเพิงหมาแหงนแต่มีหลังคากำบังและมีผนังปิด แต่ด้านหน้าไม่มีประตู บนหลังคามีธงชาติไทยเก่าๆ ปลิวไปมาตามแรงลมพัด แล้วท่านจึงให้นักศึกษาแยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย




ลานกางเต็นท์ของอ่าวคุ้งน้ำแห่งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน มีลักษณะเป็นแหลมยื่นออกไปถึงเนินอ่าว นนท์ ธนัทและโกสินทร์เลือกเอาตรงที่มีป้ายปักบอกว่า “ลานปลายคุ้ง” ซึ่งเป็นมุมที่เงียบสงบ ไม่ค่อยมีใครเลือกมาปักหลักฝั่งนี้สักเท่าไหร่ เพราะเป็นลานที่อยู่สุดท้ายปลายอ่าว สาเหตุที่ไม่ค่อยมีใครมากางเต็นท์ฝั่งนี้ก็เพราะว่าอยู่ไกลจากห้องน้ำและเซ็นเตอร์ของอุทยานพอสมควร มีกลุ่มนักศึกษาไปมุมนั้นอยู่ 2 กลุ่ม ส่วนอีกเต็นท์หนึ่งที่มาปักหลักกันอยู่ก่อนแล้ว เป็นนักท่องเที่ยวที่มาจากถิ่นอื่น

“เออๆ ไปกางเบียดกันตรงนั้นเข้าไป ที่มีตั้งเยอะตั้งแยะ จะไปแออัดกันทำไมวะ” ธนัทบ่นงึมงำเมื่อมองไปอีก 2 ลานซึ่งเป็นพื้นที่อันเป็นที่นิยมของบรรดาเพื่อนนักศึกษา และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่
โกสินทร์เหลียวมองซ้ายขวา ก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเพื่อน “หรือเราจะย้ายไปกางเต็นท์ฝั่งนั้นแทนดีวะ ตรงนี้มันวังเวงพิกลว่ะ”
“แต่ฉันว่าอยู่ตรงนี้น่ะดีแล้ว เงียบสงบดี ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่นอย่างไอ้นัทว่า” นนท์ออกความเห็นบ้าง

“ไอ้สิน ฉันขอร้องเลยอย่าปอดแหก นายก็ไปเพ้อเจ้อตามคนอื่นเขา โน่นอ่ะ กลุ่มของไอ้ชัยยังพากันมากางตรงนี้เลย รีบๆช่วยกัน จะได้เสร็จเร็วๆ” ธนัทพูดไปถึงเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังจัดแจงช่วยกันกางเต็นท์อยู่ถัดไปจากกลุ่มของเขาประมาณ 5 เมตร

“เออ ไอ้นนท์ ที่นายบอกว่าเห็นกลุ่มคนมุงดูอะไรกันอยู่ข้างทางน่ะ นายแกล้งกุเรื่องขึ้นมาให้เพื่อนๆในรถแตกตื่นใช่หรือเปล่า” โกสินทร์ถามเพื่อนอย่างพาซื่อ ทำให้นายนนท์หันมองคนถามตาขุ่น

“ฉันจะกุเรื่องขึ้นมาทำบ้าอะไร ก็ฉันเห็นจริงๆ”

“สมมติว่าถ้ามีอยู่จริงตามที่นายบอก แล้วนายไม่กลัวหรือไงถึงจะลงไปดู เกิดเป็นพวกมิจฉาชีพทำงานกันเป็นแก๊งค์จะทำไง ข้างทางมีแต่ป่ารกทึบทั้งนั้น อย่าไว้ใจอะไรง่ายๆสิวะไอ้นนท์”

“เออ ตั้งแต่คบกันเป็นเพื่อนมา ฉันก็เพิ่งได้ยินไอ้นัทพูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวก็ครั้งนี้แหละ” โกสินทร์แกล้งเย้าเพื่อน พลางโอบไปที่ไหล่ของนนท์แล้วตบเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ไอ้นนท์ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ไอ้พวกต้มตุ๋นน่ะมันยอมลงทุนเล็กน้อย เพื่อผลกำไรที่มากนะเว้ย”

เต็นท์สีน้ำเงินเริ่มกางเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว มองไปรอบๆด้าน มีเต็นท์กางอยู่ราว 20 หลัง เนื่องจากว่าเป็นวันธรรมดา จึงมีนักท่องเที่ยวมาค่อนข้างบางตา เต็นท์ที่เห็นอยู่ล้วนแต่เป็นเพื่อนนักศึกษาที่มาด้วยกันแทบทั้งนั้น

“ตอนอยู่บนรถอิ่มข้าวกล่องจนท้องจะแตก ดีนะที่ได้กางเต็นท์ออกกำลังซะหน่อย เหลือเวลาอีกตั้งสามชั่วโมงกว่า เราไปหาอะไรทำกันดีกว่าว่ะ” ธนัทพูดขึ้น

“พวกนายจะไปไหนก็ไปกันเถอะ ฉันว่าจะไปหาที่งีบซะหน่อย” นนท์ตอบเพื่อน

“อ้าว ไรวะ แทนที่จะไปหาอะไรทำแก้เบื่อกัน มาทั้งทีดันมานอนซะงั้นอ่ะ” ธนัทบ่นๆ

“ฉันเหนื่อยจริงๆว่ะ ก่อนมานี่ก็ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ขับรถพาคนงานไปส่งของแถวไทรน้อยโน่น กว่าจะกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามามหาลัย แล้วไหนยังต้องมาเดินทางไกลอีก ยังไม่ได้พักเลย” นนท์พูดถึงกิจการเล็กๆของมารดา เป็นร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างอยู่ในตัวเมืองนนทบุรี ที่เขาต้องรับหน้าที่เป็นสารถีชั่วคราว เพราะว่าลูกจ้างคนที่ขับรถเป็นขอลากลับบ้านต่างจังหวัด ร้านนี้แม้ไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของแม่ ตั้งแต่พ่อแยกกันอยู่กับแม่ ชีวิตของนนท์จึงมีเพียงแม่คนเดียวที่รักและเคารพยิ่งสิ่งอื่นใด หากวันหนึ่งข้างหน้าจะมีใครสักคน เขาก็หวังให้ผู้หญิงคนนั้นเหมือนหรือคล้ายกับแม่ของเขา

“แล้วนายจะไปนอนไหน ในเต็นท์หรือเปล่า” โกสินทร์ถามต่อ

“ไม่หรอก บ่ายๆแบบนี้นอนในเต็นท์ก็ไม่ต่างอะไรกับอบซาวน่าดีๆนี่เอง ฉันว่าจะเดินลงเนินไปริมอ่าว เอาเสื่อไปปูนอนแถวนั้นดีกว่า บรรยากาศน่านอนดี” นนท์ตอบคำถาม

“ถึงขนาดเอาเสื่อสาดมาด้วยเลยหรือวะเพื่อน คงจะเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้วล่ะสิ อย่าบอกนะเว้ยว่าน้ำท่าไม่คิดจะอาบก่อน ที่ตาลุงเส้นตื้นพูดถึงลำธารนั่นก็น่าสนไม่หยอก”

“คงไม่ว่ะ ไว้อาบตอนเย็นทีเดียว เออ แล้วถ้าห้าโมงกว่า ฉันยังไม่กลับขึ้นไป นายโทรมาปลุกด้วยแล้วกัน”



เมื่อมองดูนาฬิกาบอกเวลาบ่าย 3 โมง นนท์ก็ยิ้มให้กับตัวเองอย่างสุขใจที่คงจะได้นอนพัก อีกตั้ง 3 ชั่วโมง กว่าจะถึงเวลารวมตัวกันตามที่อาจารย์นัดหมาย นนท์ค่อยๆก้าวลงเนินไปเรื่อยๆตามชะง่อนหินที่ยื่นออกมา ขณะที่ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือของช่วยยึดเกาะตรอกผาเพื่อความปลอดภัยอีกทาง
...หากไม่ประมาทในการทำสิ่งใด ย่อมไม่มีภัยใดๆมาแผ้วพาน... นั่นคือคำสอนของมารดาที่เขาจดจำเสมอมา

ที่สำคัญคือคำกำชับของมารดาที่ย้ำนักย้ำหนาด้วยความห่วงใย เพราะจะไม่ได้เจอลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถึง 2 สัปดาห์

...รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะลูก นนท์ ระหว่างทางรถผ่าน ลูกอย่าลืมยกมือไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยคุ้มครองให้เดินทางปลอดภัย ถึงที่หมายแล้วก็ยกมือกราบเจ้าที่เจ้าทางเพื่อเคารพท่านขอพักอาศัยจะได้ไม่เป็นการรบกวนเจ้าของสถานที่ แล้วอย่าไปพูดอะไรลบหลู่ดูหมิ่นหรือคะนองปากตามเพื่อนฝูงของลูกนะ เข้าใจไหม แม่ล่ะห่วงแกจริงๆ ตานนท์... นนท์ได้แต่ส่งยิ้มให้มารดาอย่างแห้งๆ ก็ดูเอาเถอะว่า เขายังเป็นชายหนุ่มรุ่นๆ อายุก็เพิ่งจะได้ 22 ปีเท่านั้นเอง แต่แวววรรณ ภพธนภณ ผู้เป็นมารดาก็ออกปากกำชับให้เขาทำในสิ่งที่คนอายุรุ่นเขาจะกล้าทำต่อหน้าเพื่อนฝูงได้อย่างไร

แต่ ณ เวลานี้ ปราศจากสายตาของใครๆ เมื่อได้ลงมาสู่เบื้องล่างซึ่งเป็นพื้นทรายอ่อนนุ่มริมคุ้งน้ำ บ่ายคล้อยยามฤดูฝนแบบนี้ แสงแดดอ่อนที่ทอดลงมากระทบผิวน้ำเป็นพราวระยับ แดดส่องไม่ถึงพื้นทำให้บรรยากาศดูร่มครึ้ม ล้อมรอบไปด้วยแมกไม้ ในอ้อมกอดของเทือกเขาสูงใหญ่ ลมพัดมาเป็นระยะๆ ทัศนียภาพสวยจริงดังคำร่ำลือ และสมกับที่เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมอันดับต้นๆของเมืองไทย

นนท์จึงขอทำตามคำสั่งของมารดาเพื่อความสบายใจ อย่างน้อยแม้ว่าการที่เขาจะทำหรือไม่ทำนั้น ผู้เป็นแม่ไม่มีวันรู้อยู่แล้ว แต่อย่างไรเสีย เขาก็ย่อมรู้แก่ใจของตัวเอง นนท์จัดแจงคลายปมเชือกที่มัดเสื่อพับออก แล้วสะบัด 2-3 ทีก่อนจะปูลงใต้ต้นชงโคป่าที่มีร่มไม้ใบบังเป็นอย่างดี แล้วจึงประนมมือขึ้นเพื่อขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาตามคำสั่งของมารดา หลังจากนั้นสายลมก็พัดโกรกแรงขึ้นคล้ายกับว่าเจ้าป่าเจ้าเขาจะรับรู้ กลิ่นหอมรวยรินของดอกชงโคป่าสีขาวอมแดงโชยมาปะทะปลายจมูก ร่วงโรยเกลื่อนพื้นทราย

ร่างสูงหย่อนตัวลงนั่งบนเสื่อ กลิ่นหอมของดอกไม้นำพาให้นนท์หยิบขึ้นมาพินิจดู แต่เขาไม่รู้ว่าดอกไม้ชนิดนี้ชื่ออะไร นนท์หายใจลึกๆสูดกลิ่นของมันอย่างผ่อนคลาย แล้วเอนตัวลงนอนเหยียดกายบนผืนเสื่อ วางดอกไม้ดอกนั้นไว้บนแผ่นอก มองท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศสงบเงียบ กับลมโชยเป็นระยะ ทำให้นนท์ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว

“คุณนนท์ คุณนนท์จ๊ะ” เสียงเย็นยะเยือกของใครบางคนแว่วมาข้างหู ทว่าบรรยากาศยามนั้นช่างมืดครึ้มอึมครึม รู้สึกลมพัดเย็นจนขนลุกซู่

นนท์รู้สึกตัวตื่น ค่อยๆลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงหวานกังวานใส ที่ถือวิสาสะมานั่งพับเพียบเรียบร้อยบนเสื่อของเขา ร่างสูงพรวดพราดลุกขึ้นนั่งหน้าตาตื่น แล้วรีบเขยิบห่างออกมา

หญิงสาวประนมมือไหว้นนท์อย่างนอบน้อม จนเขายกมือรับไหว้แทบไม่ทัน

“ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า สมัยนี้ยังมีผู้ชายที่กลัวผู้หญิงอยู่ด้วย” หญิงสาวพูดสบประมาทแล้วหัวเราะคิก
“ไม่เห็นมีอะไรน่าขำ แล้วฉันก็ไม่ได้กลัว ฉันแค่ตกใจเท่านั้น เธออย่ามากล่าวหากันมั่วๆ” นนท์แก้ตัวเสียงขุ่น ตะกุกตะกักจนส่อพิรุธ

“ก็เรื่องจริงนี่จ๊ะ ปกติแล้ว ถ้าผู้ชายเห็นผู้หญิง ก็มีแต่จะเข้าใกล้ ไม่ใช่ถอยห่างแบบนี้”

“ฉันไม่ใช่พวกเจ้าชู้ไก่แจ้ที่เห็นผู้หญิงแล้ววิ่งเข้าใส่อย่างเธอว่า” คำยอกย้อนของชายหนุ่มทำให้เธออดหัวเราะไม่ได้

“ผู้ชายสมัยใหม่อย่างคุณ ยังรู้จักคำว่าเจ้าชู้ไก่แจ้อีกหรือจ๊ะ ฉันคิดว่า สมัยนี้คงไม่มีใครพูดแล้ว”

“มันจะแปลกตรงไหน ก็ฉันเคยได้ยินยายปีบพูดออกบ่อยไป” นนท์กล่าวถึงแม่บ้านคนสนิทของมารดาและเป็นคนที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กๆ “นี่ๆ แม่คุณ เลิกทำเฉไฉได้แล้ว บอกมาว่าเธอเป็นใคร แล้วรู้จักชื่อของฉันได้ยังไง” นนท์แสดงน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ก็ได้ยินคำสบประมาทแบบนั้น ลูกผู้ชายอย่างเขาก็ย่อมรู้สึกเสียหน้าเป็นธรรมดา แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังก้มหน้ายิ้มๆ

“อ้าว ถามแล้วทำไมไม่ตอบล่ะ นี่ตกลงว่าจะปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาฟังเธอพูดเยาะฉัน แล้วก็นั่งดูเธอยิ้มให้ฉันแค่นี้ใช่ไหม” นนท์ถามต่อ ด้วยเสียงขุ่นๆ หญิงสาวค่อยๆชำเลืองมองเห็นว่าคู่สนทนาเริ่มอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เธอจึงคลายรอยยิ้มลงและพูดต่อ

“โธ่ คุณ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิจ๊ะ” เธอเว้นระยะการพูดช่วงหนึ่ง เพื่อสังเกตอาการของชายหนุ่มข้างกายที่ยังนั่งเงียบ หน้างอง้ำอยู่เช่นเดิม

“ฉันบอกก็ได้จ้ะ ที่ฉันรู้จักชื่อคุณก็เพราะว่า บังเอิญได้ยินเพื่อนคุณเรียกก็เท่านั้นเอง” เธอแก้ตัวไปแบบน้ำไม่ขุ่นเท่าไหร่ เป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้นอยู่บ้าง

แม้ว่าทีแรกจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่พอมองเห็นรอยยิ้มที่ยิ้มเล็กน้อยอย่างพอเหมาะพอควร สมกับเป็นอิสตรี ซึ่งเห็นได้ยากนักกับผู้หญิงสมัยนี้ เขาก็ระงับอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้ได้บ้าง เพราะรอยยิ้มนั้นช่างเป็นรอยยิ้มที่สวยหวานอย่างที่เขาไม่เคยเห็นหญิงใดยิ้มได้สวยอย่างนี้ แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็นปนเศร้าสร้อยเพียงใดก็ตาม

อีกอย่างที่นนท์แอบเสียมารยาทใช้สายตาสำรวจมองหญิงสาวข้างกาย นั่นคือรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายของเธอ ช่างต่างกับผู้หญิงสมัยนี้อย่างเห็นได้ชัด รูปหน้าเรียวรี ดวงตาหวานกลมโตรับกับขนตางอนหนาเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การใส่ขนตาปลอมอย่างสาวสมัยนี้ จมูกโด่งเป็นสัน เรียวปากอ่อนบาง เรือนผมยาวพลิ้วสลวยเหยียดตรงยาวเกือบถึงสะโพก ประกอบรวมกันแล้วช่างสวยงามน่ารักแบบหญิงไทยแท้ๆ หากแต่ผิวพรรณของเธอนั้น แม้จะเนียนใสผุดผ่อง แต่กลับดูซีดเซียวราวซากศพตากน้ำค้าง

กิริยาท่าทางที่อ่อนช้อย อีกทั้งเครื่องแต่งกายแปลกตาที่ดูคล้ายกับหญิงไทยสมัยก่อน เธอนุ่งซิ่นที่ความยาวกรอมเข่าสีเขียวอ่อน เสื้อแขนกระบอกแขนยาวสีครีม พาดผ้าสไบเฉียงสีเดียวกับซิ่น และไม่สวมรองเท้า
“คุณไม่เชื่อฉันหรือจ๊ะ” สาวเจ้าเอ่ยถามน้ำเสียงเนิบนาบ เมื่อเห็นว่านนท์เงียบนิ่งไปนาน เพราะลึกๆแล้ว นนท์ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี แต่เขาก็เลือกที่จะไม่คาดคั้นอะไรในเรื่องเดิมอีก

“เปล่าหรอกนะ อืม...แล้วบ้านเธออยู่แถวนี้หรือว่ามาเที่ยวล่ะ”

“ฉันอยู่ที่นี่จ้ะ อยู่มานานมากแล้ว”

“อ้าว แล้วไหนอาจารย์บอกว่าในเขตอุทยานไม่มีหมู่บ้าน แม้แต่โรงแรมหรือรีสอร์ตก็ไม่มี จะมีก็แค่เพิงขายของเล็กๆ แล้วก็เซ็นเตอร์ของอุทยานยังไงล่ะ” นนท์เริ่มซักไซ้

“มีสิจ๊ะ เพียงแต่ว่าบ้านของฉันเป็นบ้านหลังเล็กๆ จากตรงนี้เดินไปไม่ไกลเท่าไหร่ อยู่ถัดไปด้านใน เอาไว้ถ้าเรามีโอกาสได้พบกันอีก ฉันจะพาคุณไปก็แล้วกัน” สาวเจ้าอธิบายพลางชี้ไปยังจุดๆหนึ่ง ที่พอนนท์มองตามแล้วก็ไม่เห็นอะไรเลย นอกเสียจากต้นไม้ใบหญ้าและป่ารกทึบ “แต่วันนี้คุณควรจะกลับได้แล้ว เพราะเพื่อนของคุณกำลังตามหาคุณอยู่”

“แล้วเธอรู้ได้ยังไง ว่าเพื่อนของฉันกำลังตามหาอยู่” นนท์ถามกลับ

“ฉันรู้ก็แล้วกันจ้ะ” หญิงสาวตอบแบบส่งๆ “เอ่อ...วันนี้ ฉันต้องไปแล้วนะจ๊ะ” แล้วเธอก็รีบขอตัวกลับ ส่งยิ้มหวานให้เขาเป็นการทิ้งท้าย ก่อนที่เธอจะค่อยๆ คลานเข่าถอยหลังออกไปอย่างเนิบนาบ

“อ้าว แล้วเราจะได้พบกันอีกหรือเปล่า แล้วเธอชื่ออะไร ยังไม่ได้บอกฉันเลย” นนท์ถามรัวเร็ว

ชั่วพริบตาเดียว เรือนร่างโปร่งบางของหญิงสาวผู้นั้นก็ค่อยๆลับเลือนหายไป ทิ้งไว้แต่เพียงรอยยิ้มหวานเศร้าเจือจางที่ติดตรึงในห้วงแห่งความรู้สึกของชายหนุ่ม

“เดี๋ยวสิ ยังคุยกันไม่ทันรู้เรื่องเลย เดี๋ยว!!” นนท์ร้องละเมอเรียกออกมา แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นพบกับความเป็นจริง
...อ้าว ฝันไปเหรอวะเรา เฮ้อ... เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ และเหลียวมองไปรอบๆก็พบเพียงความว่างเปล่าและมืดสลัว คิดทบทวนกับหญิงสาวในความฝัน เขายอมรับกับตัวเองว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนสวยงามเทียบเท่าผู้หญิงในฝันคนนี้เลย ใบหน้าหวานเศร้านั้นช่างกินใจ คำพูดคำจาที่อ่อนหวาน อีกทั้งอิริยาบถนอบน้อมและท่วงท่าสง่างามของเธอยังฉายชัดอยู่ในความทรงจำ

...เธอเป็นใครกันถึงมาอยู่ในฝันเราได้...





Create Date : 28 เมษายน 2554
Last Update : 21 มิถุนายน 2554 4:07:14 น. 7 comments
Counter : 1221 Pageviews.

 
ขอฝากนิยาย "พรายเสน่หา"
ของนักหัดเขียน ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ^^
น้อมรับคำติชมทุกประการค่ะ


โดย: dayydream_m วันที่: 28 เมษายน 2554 เวลา:20:38:48 น.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ

เป็นตอนแรกเลย

รออ่านต่อนะคะ


โดย: เด็ก(อยาก)แนว วันที่: 28 เมษายน 2554 เวลา:20:43:38 น.  

 
เธอเป็นใครกันนะ อิอิ


โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 28 เมษายน 2554 เวลา:20:47:05 น.  

 
ยินดีต้อนรับคุณเด็ก(อยาก)แนว
ยินดีต้อนรับคุณตะวันเจ้าเอย
เป็นอย่างยิ่งค่า^___^


โดย: dayydream_m วันที่: 28 เมษายน 2554 เวลา:21:38:31 น.  

 
แวะมาเยี่ยมจ้า บล๊อกโรแมนติกมากกก อิอิ


โดย: พี่ปัณณ์ IP: 49.49.134.237 วันที่: 29 เมษายน 2554 เวลา:9:37:16 น.  

 
ทักทายจ่ะ อิอิ บ่ายแล้วร้อนมากเลยนะจ่ะ


โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 29 เมษายน 2554 เวลา:13:45:57 น.  

 
แวะมาเยี่ยมบล๊อคจ๊ะทักทายๆ ขอบคุณนะคะที่แวะชม เชียงค๊าน เชียงคาน อิอิ อ่านนิยายต่อเลย.


โดย: มู่ลี่มู่หลัน วันที่: 30 เมษายน 2554 เวลา:1:27:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วันฝัน วันซันเดย์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอความฝัน...จงบังเกิด
หลงรัก...คนรุ่นพ่อ
...หัวใจดวงนี้ ไม่มีอะไร นอกจากความห่วงใย... ถึง...ใครบางคน
> : Users Online
TOP

Free Cursors
Friends' blogs
[Add วันฝัน วันซันเดย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.