Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
14 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
๐ ... จันทร์ครึ่งดวง ... ๐ ( บทที่ 2 )



บทที่ 2



“เม่า!..” เสียงพ่อตวาดเม่าได้ยินถึงเณร...ดึกมากแล้วในซอยลึกมีแต่ความเงียบและเสียงจิ้งหรีด


“เม่า!..” สักพักเสียงพ่อดังขึ้นอีก..เณรพอเดาได้ว่าเม่าคงพยายามลงจากบ้านเพื่อตามหาเขาและดีดี

“งี๊ดๆ” ดีดีร้องเบาๆ มันกลัวหรือร่วมมีความทุกข์กับเณรกันแน่

“เออ..เดี๋ยวมานะ” เณรตบหัวดีดี ความสัมพันธ์ทางใจเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว..เณรย่องสวบๆ ออกจากพงหญ้าข้ามถนนไปบ้าน แสงจันทร์หรุบหรู่พอมองเห็นทาง เขาตรงดิ่งไปที่แคร่ใต้ถุนบ้านมองหามุ้งและผ้าห่มผืนบางของเขา...ให้ตายสิ!..ไม่นึกว่าพ่อจะใจร้ายขนาดนี้..มันไม่อยู่ตรงนั้นทั้งสองอย่าง..เณรหันรีหันขวาง อะไรบางอย่างแล่นขึ้นจุกลำคอ พ่อโกรธมากขนาดนี้เชียวหรือ

“จี๊ด!..” เณรอดสะดุ้งไม่ได้เมื่อหนูตัวหนึ่งวิ่งจากหม้อข้าวผ่านเขาไป เณรเปิดฝาหม้อข้าวดูเห็นมีข้าวอยู่มากผิดปกติ..แม่คงคาดว่าเขาจะแอบเข้ามา ดีที่พ่อไม่ได้นึกถึงสิ่งนี้

“แอ๊ด ด ด ..” เณรค่อยๆ แง้มตู้กับข้าว ยังไม่วายมีเสียง มีปลาเค็มวางอยู่ในชามสี่ห้าชิ้น คงฝีมือแม่เช่นกัน เขาหยิบมาสามชิ้นกะพอให้รอดตายในวันสองวันนี้ คดข้าวใส่ถุงพลาสติกที่ล้างแขวนไว้ โรยน้ำปลาบนข้าว ค้นหาพริกขึ้หนูก้นกระชุใส่ลงไป ตักน้ำกินใส่ถุงอีกใบพร้อมถ้วยใบเล็ก มองหากะละมังเก่าสนิมขึ้นเขรอะใต้ตู้กับข้าวไปเผื่อใส่ข้าวให้ดีดี

“พรึบ!..” เสียงผ้าบนราวสะบัดลมทักทาย..ยังไม่มีใครเก็บผ้าให้เขาเลย แม่คงไม่กล้า กลัวพ่อโวยใส่ เณรกลับเข้าไปแถวแคร่ที่เก็บของส่วนตัวของเขา ยัดหนังสือเรียนลงเป้พร้อมเสื้อผ้าที่เก็บมาจากราว มีชุดนักเรียนรวมอยู่ด้วย .. เขาจะยังมีโอกาสไปโรงเรียนอีกหรือ?

เณรหันกลับไปมองเงาตะคุ่มของบ้านอีกครั้ง..นี่เขาจะต้องจากบ้านไปจริงๆ หรือ เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าเรื่องจะเลยเถิดถึงขนาดนี้ แต่การที่พ่อเก็บเครื่องนอนของเขาไปแสดงว่าพ่อโกรธและไม่ต้องการให้เขาอยู่ด้วยแล้ว เขาจะไปไหน ชีวิตจะเป็นเช่นไร

เณรเดินลงจากถนนเข้าในพงไม้ที่ดีดีนอนอยู่ เทข้าวใส่กะละมัง ฉีกปลาเค็มเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ดีดี..ทั้งเขาและดีดีกินข้าวกันอย่างเงียบๆ

“แม่จ๋า..ถึงแม่จะรักเณรอยู่ห่างๆ ก็ยังดีกว่าพ่อที่เหมือนไม่รักเณรเลย ดูสิแม้แต่มุ้งและผ้าห่มยังตามเก็บไป..โกรธแค้นอะไรนักหนา” เณรรำพึงอยู่ในความมืด


เม่าแอบมองลอดร่องพื้นกระดานบ่อยๆ เผื่อจะเห็นเณรเข้าบ้าน เม่าถูกพ่อปรามสองสามพักเมื่อเห็นเธอทำท่าจะลุกลงจากบ้าน...เม่าคงไม่มีสติคิดป้องกันความร้ายของพ่อได้ แต่อาจเพราะเป็นห่วง สงสารน้องชายมากกว่าเธอจึงหอบมุ้งผ้าห่มของเณรขึ้นข้างบนตั้งแต่หัวค่ำ



“เมื่อคืนไอ้เณรมันไม่เข้าบ้านหรือ?” พ่อเณรถามแม่เช้าวันรุ่งขึ้น

“ไม่เห็นนี่” แม่เณรตอบเรื่อยๆ ไม่ทุกข์ร้อนอะไร เธอย่องลงมาดูหม้อข้าวแต่เช้ามืดแล้ว

“แม่กลิ่นไม่ห่วงลูกหรือ ทำเฉยอย่างนั้น” น้ำเสียงพ่ออ่อนลงเป็นคนละคนกับเมื่อเย็นวาน

“ก็ห่วง แต่แกทำกับลูกมากไป มันคงกลัวจนไม่ยอมเข้าบ้าน”

“ฉันก็เคยตีมันบ่อยๆ ไม่เห็นจะโกรธแค้นเหมือนครั้งนี้เลย” พ่อเณรเดินไปที่ถนน

“ฉันว่ามันไม่ได้โกรธ คงกลัวมากกว่า” แม่ไปที่ส่วนครัว เปิดโน่นเปิดนี่ เตรียมตัวหุงหาอาหาร

“เม่า!..เม่า!..” เสียงพ่อดังอยู่ในพงหญ้าฝั่งตรงข้าม

“จ๋า..” เม่าวิ่งลนลานลงบันได หอบมุ้งผ้าห่มของเณร ตรงไปที่พ่อเรียก

“แก..” แม่พึมพำ มองตามร่างเม่าที่กำลังพะรุงพะรังข้ามถนนด้วยสายตายากจะคาดเดา เหมือนเจ็บช้ำ หวาดระแวง หวั่นกลัวและเกลียดชัง ... ‘แก’ หมายถึงใครกันแน่!

“ช่วยกันหาไอ้เณรหน่อย” พ่อตะโกนสั่งเม่า

“เฮ้อ!..” แม่ยกมือทาบอกโล่งใจ

“อยู่ตรงโน้นมั้ง” เม่าออกความเห็น ชี้มือลึกเข้าไปอีก

“ไหนๆ..” พ่อลุยสวบๆ เข้าไปตามที่เม่าชี้ “ไม่เห็นมี” สักพักพ่อเดินกลับมา

“นี่ไง..นี่ไง..” เม่ากระซิบบอกตัวเอง พอดีพ่อเดินมาถึงเธอจึงวางมุ้งผ้าห่มปิดทับรอยข้าวหกเกลื่อนที่ดีดีทำไว้หวังให้พ้นตาพ่อ จะได้ไม่รู้แหล่งที่เณรนอนพัก คืนนี้จะได้ไม่มาตามตัว...หารู้ไม่ว่ามันมีค่าเท่ากัน

“อ้อ..ไอ้เณรนอนตรงนี้ คืนนี้จะมาลากมันเข้าบ้าน อวดดีนักมึง” พ่อด่าเณรแต่กราดสายตาไปที่เม่าผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผู้ก่อเรื่อง

“พอกัน..” แม่อยู่ใต้ถุนเรือนแต่พอได้ยินเสียงสนทนาของสองพ่อลูก “ตาแก่ไม่เห็นหรือไงว่าเม่ามันหอบผ้าไปวางน่ะ..เออ..” แล้วแม่ก็ไม่ได้สนใจฟังเสียงสวบหญ้าแปลกๆ ที่ตามมา



เมื่อคืนหลังจากได้กินข้าว เณรมีแรงลากดีดีลึกเข้าไปในพง เขาเคยเห็นท่อนไม้ใหญ่วางพาดลำกระโดงด้านนั้น เณรลากดีดีข้ามฝั่ง แล้วย้อนไปพงหญ้าที่เม่าเคยมุดเข้าไปเล่นบ่อยๆ จนเป็นพื้นราบซ่อนอยู่ในพงสูงท่วมหัว..แม้จะเข้าใกล้เขตอันตรายแต่ใกล้บ้านเพื่อให้เม่าช่วยดูแลดีดีตอนเขาไปโรงเรียน..นี่เขายังคิดไปโรงเรียนอีกหรือ?

เณรเทข้าวคลุกปลาเค็มที่เหลือบนพื้นหญ้าใกล้ตัวดีดี เทน้ำใส่กะละมังวางใกล้ๆ กัน จับหน้าดีดีจิ้มเบาๆ ลงบนข้าว “ถ้าหิวเมื่อไหร่ก็กินซะ” เณรกระซิบบอก...เขาถอดเสื้อผ้าชุดที่ใส่อยู่วางพาดกิ่งไม้ที่ให้ร่มอยู่เหนือพงหญ้า เลือกด้านที่อยู่ตรงข้ามกับตัวบ้าน

เณรลังเลใจที่จะหยิบชุดนักเรียนออกมา แต่แล้วเขาก็ใส่มัน สะพายเป้เรียบร้อยเดินไปที่ท่อนไม้ข้ามลำกระโดงเมื่อคืน

ยังเช้ามืด..เณรยืนบนถนนมองตัวบ้านที่นิ่งสงบอยู่ เสียงแม่ไอเบาๆ เสียงกุกกักของพ่อที่กำลังเตรียมตัวออกไปขายของที่ตลาด เขาต้องรีบออกไปก่อนพ่อเพราะทางไปโรงเรียนต้องผ่านทางนั้น



พระสงฆ์ยืนรับบาตรอยู่ที่ตลาด เณรกลืนน้ำลายเมื่อเห็นข้าวปลาอาหารล้นย่ามและกระป๋องสีเหลืองที่ลูกศิษย์ถือตามหลัง เขารู้สึกอิจฉาลูกศิษย์วัด

“ตุ้บ!..” ถุงอาหารหล่นลงมาจากกระป๋องสองสามถุง เณรก้มลงช่วยเก็บ

“เอ๊ะ!..ไอ้นี่..” ลูกศิษย์วัดตัวโข่งทำท่าจะเบิ๊ดหัวเณรเมื่อเขาหย่อนถุงคืนใส่กระป๋อง พระท่านเหลือบตามองไม่ได้ว่าอะไร

ถึงจะหิวอย่างไรเณรก็ไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง..แต่เขาก็หิวจริงๆ

“เฮ้ย!..เณร..เณร..” เกียงยืนกินหมูปิ้งอยู่ข้างหลังเณร มาเมื่อไหร่ไม่รู้ “กินมั้ย?” เกียงยื่นหมูให้เณรไม้หนึ่ง

“ขอบใจนะเกียง กินไปเถอะเดี๋ยวไม่อิ่ม..” เณรรู้ว่าเกียงกินจุเพราะร่างอ้วนสมบูรณ์ของเธอ “ฉันจะรีบไปโรงเรียน”

“ยังเช้าอยู่เลย..” เกียงชม้ายตา “เล่นกับฉันก่อนนะ”

“เดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทัน” เมื่อก่อนนี้เณรเคยวิ่งเล่น คุ้ยหาเศษพลาสติกสีสวยกับเกียงและเม่าที่กองขยะเมื่อสองพี่น้องตามพ่อมาขายของที่ตลาด

“ม่ายเอา เล่นกับกูก่อน” เวลาถูกขัดใจเกียงจะพูด แสดงกิริยาไม่เรียบร้อย

“ฉันจะไปโรงเรียน” เณรสะบัดมือหลุดจากเกียง

“ไอ้เณรไม่เล่นกับกู” เกียงดิ้นเร่าๆ ขว้างหมูปิ้งสองไม้ทิ้ง

“ฉันโตแล้วนะ” เณรอดมองหมูปิ้งบนพื้นไม่ได้..เดี๋ยวนี้เณรโตเป็นหนุ่มแต่เกียงยังเป็นเด็กแม้ร่างกายจะโตเป็นสาวแล้วก็ตาม

“กูเกลียดไอ้เณร!” เกียงตะโกนลั่น ไม่มีใครสนใจ

“อาเกียงน่า..” อาม้าย่าของเกียงชะโงกออกมาจากร้านขายกาแฟ

“อาจุไลไปลูพี่สาวเอ็งซิ” แป๊ะไน๋ปู่ของเกียงตะโกนสั่งหลานสาวคนเล็กที่มีสติสมบูรณ์ดีกว่าพี่สาว แต่ไม่มากกว่าสักเท่าไหร่

“ผมไปโรงเรียนก่อนนะ” เณรร้องบอกลอยๆ เห็นท่าไม่ดีรีบเดินจากไป

“เณร..เณร..” บุญเล็กออกมาดูเกียงร้องโวยวายจึงพบเณร “ไปโรงเรียนเช้าจัง ไปทำเวรหรือ วันนี้อย่าลืมสอนการบ้านฉันนะ”

“ฮื่อ..” เณรรับคำ ยืนอยู่อึดใจเผื่อบุญเล็กจะมีขนมให้ เขากล้ารับของจากบุญเล็ก..อย่างน้อยก็เป็นค่าสอนการบ้านล่ะนะ เณรคิดเข้าข้างตัวเอง...แต่วันนี้ไม่มี!



ยังไม่มีใครมาสักคน เณรแวะกินน้ำที่ก๊อกข้างสนามก่อนเข้าห้องเรียน

“ดีเหมือนกัน..” เณรพึมพำคว้าไม้กวาดเก่าๆ หลังห้องทำความสะอาดพื้น “จะได้ลืมหิว”

“เณร!..” เด็กชายคนหนึ่งรุ่นเดียวกับเณรร้องเรียกอยู่หน้าห้อง

“ทำไมหรือ? มาแต่เช้าเหมือนกันนะป๋อง” เณรถามแต่ยังกวาดพื้น

“เมื่อวันศุกร์ข้าลืมเอากระเป๋ากลับบ้าน เลยรีบมา..” ป๋องยืนลังเลไม่แน่ใจว่าจะพูดกับเณรดีไหม เณรไม่ใช่เด็กร่อนเร่อย่างเขา “ไปขายของกันไหม ได้เงินนะ วันนี้วันจันทร์อย่าเพิ่งเรียนเลย”

“ขายอะไร?..” เณรฉุกใจนึกถึงภาพชายขะมุกขะมอมแอบแร่ขายยาบ้าแถวตลาด “ขาดเรียน”

“ขายของที่แม่ข้าทำ” ป๋องยิ้มเป็นนัยๆ รู้ว่าต้องถูกแย็บกลับ

“หา!..แกมีแม่ที่ไหน..” เณรนึกไม่ชอบมาพากล “ขายกระดาษ สติกเกอร์รูปพระเจ้าแผ่นดิน หรือพวงกุญแจใช่มั้ย?” เณรดักคอในทางที่ดีไว้ก่อน

“แม่ข้าทำจิงจิ๊งงง..” ป่องทำสีหน้ากึ่งล้อเรียนกึ่งตลก

“แม่แกทำยาบ้าเหรอ?” เณรกล้าพูดเพราะรู้ว่าป๋องไม่มีแม่

“บ้าสิ!..” ป๋องเข้าบีบคอเณรเขย่าเล่นๆ “ขายบุหงาดับกลิ่นต่างหากโว้ย ขายกระดาษสติกเกอร์พวงกุญแจมันเชยแล้วไม่ค่อยมีคนซื้อหรอก”

“บุหงาดับกลิ่น!..เป็นยังไง?” เณรกวาดห้องเสร็จพอดี

“ดอกไม้ตากแห้งใส่น้ำหอมเป็นถุงๆ..” ป๋องหยิบเป้หนังสือของเณรวิ่งออกจากห้อง “ตามมา!”

“เฮ้ยๆ ข้ายังไม่ตกลงเลย..” เณรวิ่งตาม..ใจนึกอยากไป

“ที่ข้าบอกว่าแม่ข้าทำคือเวลาไปขายให้บอกว่าแม่ทำแล้วเรามาช่วยขายหารายได้ให้ครอบครัว คนเขาจะสงสารและช่วยซื้อ” ป๋องวิ่งไปพูดไป

“ทำไมไม่ไปโรงเรียน ถ้าเขาถามล่ะ?” เณรหยุดเก็บเป้ที่ป๋องทิ้งไว้ข้างหลัง

“วันนี้ไม่มีข้าวกิน ต้องหยุดเรียนมาขายไง..หลาดหน่อยสิแก” ป๋องหยุดหอบแฮ้กๆ

“ไม่รู้วิ่งทำไม” เณรส่ายหัว

“ถ้าครูมาเห็นแกจะออกมาได้รึ เจ้าโง่”

“เออ..เอ็งเก่ง” เณรเดินตามป๋องไปแต่โดยดี

“แต่มันมีปัญหาหนึ่ง..” เดินไปได้สักพักป๋องพึมพำ

“อะไร?” ป๋องจะมาไม้ไหน เณรนึกระแวง

“เอาของเขาไปขายมันต้องมีเงินมัดจำ” ป๋องชำเลืองมอง

“อ้าว!..แล้วก็ไม่บอก งั้นข้ากลับไปเรียนดีกว่า” เณรหันหลังกลับ

“เดี๋ยว!..เอาอย่างนี้ก็ได้ แบ่งของข้าไปขายก่อนแล้วกัน วันหลังมีเงินค่อยมัดจำเป็นส่วนของแกโดยตรง” นักธุรกิจในอนาคตเสนอแนะ

“ถามจริง แกได้อะไรจากการชวนข้ามาขาย” เณรไม่หายระแวง

“คืองี้..ข้าหักส่วนแบ่งที่เอ็งจะได้เป็นของข้า แต่ถ้าเอ็งมีเงินมัดจำก็ได้เต็มๆ และข้าก็จะได้รางวัลที่นำเด็กมาช่วยขายอีกรายหนึ่ง”

“มิน่า..” ธรรมดาป๋องไม่ค่อยสุงสิงกับเณรนัก แต่เพราะผลประโยชน์ ประกอบกับวันนี้เณรมาโรงเรียนแต่เช้ายังไม่มีครูมา

“ตกลงว่าไง?” ป๋องท่าทางกระเหี้ยนกระหือผิดปกติ

“เออ..” พอดีเณรนึกอยากได้เงินไว้ใช้ แม้จะยังไม่ไว้ใจเพื่อนเจ้าเล่ห์คนนี้..ทำอย่างไรได้ก็เขาออกจากบ้านมาแล้วนี่



เกือบเที่ยงเณรยังขายบุหงาดับกลิ่นไม่ได้สักถุง ป๋องเองที่ว่าขายเก่งก็ยังเพิ่งได้ถุงเดียว ป๋องพาเณรไปตามที่ทำงานร้านค้าต่างๆ จนทั่ว

“ข้าหิว..” เณรไม่อายที่จะบอกป๋อง เขาหิวข้าวตั้งแต่เช้าแล้ว

“กินน้ำไปก่อน..” ป๋องยื่นขวดพลาสติกมอมแมมให้

“ขอบใจ” เณรดื่มอั้กๆ

“มีอยู่ที่หนึ่ง..” เหมือนป๋องหรี่ตามองอย่างเจ้าเล่ห์ เหมือนชั่งใจ คาดการณ์ “แกลองเข้าไปขาย ถ้าแกตั้งใจจริงก็คงได้เงินใช้”

“ไปสิ..” เณรเป็นฝ่ายดันให้ป๋องออกเดิน

“ตามใจเอ็งนะ” คล้ายจะพูดว่า ข้าไม่เกี่ยวด้วยนา

ป๋องพาเณรเดินไปสักพัก ใกล้ตลาดปากซอยเข้าบ้าน

“ไม่ใช่ที่ทำงานสักหน่อย บ้านคน สวนกล้วยไม้นี่..ข้าเดินผ่านทุกวัน” เณรตั้งข้อสังเกต

“เออ..พี่ๆ ที่ทำงานในสวนเขาใจดีชอบซื้อของที่เด็กๆ นำมาขายเชื่อข้าสิ..” ป๋องดันเณรเข้าประตูรั้ว “เข้าไปคนเดียวนะ หลายคนเขาจะงง”

“บอกว่าแม่ทำเองใช่ไหม?” เณรย้ำเพิ่มความมั่นใจ

“เออๆ..เข้าไป ได้เท่าไหร่แบ่งให้ข้าบ้างนะ” พูดจบป๋องรีบเดินจากไปอย่างมีพิรุธ

เณรเข้าไปในร่มแสล้น เดินไปตามทางที่ขนาบด้วยแผงไม้ระแนงวางต้นกล้วยไม้ และที่แขวนอยู่ระโยงระยางสดชื่นสวยงาม เณรเพลินดูดอกสารพัดสี ไม่ทันรู้ตัวว่าใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองด้วยสายตาแปลกๆ

“ไงหนุ่ม!..เข้ามาทำไม” เสียงไม่เชิงดุดังขึ้น

“ป๋องให้เข้ามาครับ..” เณรหันขวับหลุดคำพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ “มาขายบุหงาดับกลิ่นครับ แม่ผมทำเอง” ตามมาเป็นชุด

“ฮะ..ฮะ..” ชายหนุ่มหัวเราะชอบกล “อ๋ออย่างนี้เอง ป๋องส่งมา..” ชะโงกเข้าใกล้ “ไหนมีอะไรมาขายล่ะเรา”

“บุ..บุ..หงา..ครับ..” เณรใจคอไม่ดีไม่รู้ทำไม “ถุง ละ..”

“ห้าสิบบาท ฉันซื้อสองถุง” ชายหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงสามส่วน

“ครับ..” เณรกำลังจะหยิบถุงบุหงา แต่ถูกชายหนุ่มจับหัวไหล่ดึงให้เดินตาม

“ไปเอาเงินก่อนฉันไม่ได้หยิบมา..ทางโน้น..” ชายหนุ่มพาเณรไปถึงที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกล “อยู่เฉยๆ ล่ะฉันหยิบเงินก่อน” พูดพลางล้วงกระเป๋ากางเกง ล้วงกางเกง..

“เฮ้ย!..” เณรร้องในใจ สังหรณ์ใจบางอย่าง

“เดี๋ยวนะ..” เสียงสั่นๆ ของชายหนุ่มขณะล้วงกางเกงด้านหน้า “ได้แล้วๆ..” จู่ๆ เขารูดกางเกงลงพร้อมกับดึงตัวเณรที่ยืนตะลึงเข้าไปกอด

“เฮ้ย!..” คราวนี้เณรร้องออกมาดังๆ เด้งตัวออกทันควันเพราะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว

“มาสิ..มาซิ..” หนุ่มวิปริตร้อง คว้าตัวเณรอีกครั้ง

“นี่แน่ะ!..” เณรกระโดดถีบจนไอ้คนนั้นหงายหลังแล้วฉวยเป้วิ่งแน็บ “ป๋อง!..ป๋อง!..” เณรร้องเรียกเพื่อนตัวการทันทีที่ออกมาจากบ้านกล้วยไม้..แต่ไร้วี่แวว

ถัดจากบ้านกล้วยไม้สามหลังเป็นห้องแถวร้านค้า บ้างกำลังเปิดร้านบ้างยังปิดเงียบอยู่ หนุ่มน้อยหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังเช็ดกระจกหน้าร้านตัดเสื้อ เขาหันมองเณรที่วิ่งกระหืดกระหอบ ร้องโวยวาย


“โดนอีกรายละซี..หึ..หึ..”





Create Date : 14 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2552 14:38:32 น. 1 comments
Counter : 761 Pageviews.

 
เห็นลงเณรในบล็อก เลยแวะมาเยี่ยมเยียนครับ อ่านค้างไว้ถึงบทที่ 3 อะ ยังไม่ได้ตามต่อเลย มันเฉ้าาาาาา


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:15:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาเรน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add ดาเรน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.