Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
3 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
๐ กมโลภิกขุ..ชายหนุ่มผู้บวชเป็นพระ ๐ (บทที่ 9)




บทที่ 9




หลวงพี่อาจพาเด็กไปหาหมอที่โรงพยาบาลในเมือง..คุณหมอขอตัวไว้เพื่อให้น้ำเกลือ ผมตั้งใจมอบปัจจัยที่ได้รับในวันบวชเป็นค่ารักษาพยาบาล แต่หลวงพี่แย่งจะช่วยเหลือ..ตกลงช่วยกันทั้งสองคน



ปรึกษากันว่าจะให้เด็กน้อยชื่ออะไร..หลง บุญ วัด โชคดี พะ หรือสอง เพราะเขาได้รับการช่วยเหลือโดยผมและหลวงพี่อาจ...สุดท้ายใช้ชื่อ “นึง” ตามยายหรือย่าของเขา นึง มาจากคำนึง คะนึง ที่แปลว่าคิดทบทวน คิดตรอง คิดถึง เผื่อโตขึ้นเขาจะได้คิดทบทวนคิดตรองและคิดถึงสิ่งดีๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองในการดำเนินชีวิต...เขาแทบไม่มีใครนอกจากตัวเอง เวลานี้แน่นอนว่ามีผมและหลวงพี่อาจเป็นที่พึ่ง แต่ก็แค่คนอื่น จะเป็นได้อีกกี่มากน้อย..อัตตา หิ อัตตโน นาโถ..ตนเป็นที่พึงแห่งตนเสียแล้วนายนึง

ผมและหลวงพี่อาจไม่ได้ฉันเพล ไม่ใช่ว่าลืม แต่เพราะเหตุการณ์ต่อเนื่องจนไม่มีเวลา ดีที่ฉันเช้าไว้มากเพราะอาหารของญาติโยมทำมาเป็นพิเศษถวายหลวงตาใบ ผมเลยพลอยได้อานิสงส์..เห็นแก่รับประทานหรือเปล่าพระนิด!

ยังไม่ทันเย็น แค่บ่ายแก่ๆ ท้องก็ร้องจ๊อกๆ เสียแล้ว..หลวงพี่อาจจะเป็นอย่างไรบ้าง..ตัวใหญ่..กระเพาะใหญ่

“ชงโอวัลตินมาให้..” นึกถึงปุ๊บก็มา “คงหิวเหมือนกันซินะเรา”

“ขอบคุณครับ” รับถ้วยมาดื่มรวดเดียวหมด

“อีกไหม?” ยิ้มพอใจ

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” พูดเพราะก็เป็น..นายนิดเริ่มหายไป พระนิดมาแทน

“สบายใจแล้วใช่ไหมที่ไม่มีผี”

“ก็สบายใจไปเรื่องหนึ่งครับ..” ยกแก้วเปล่าขึ้นดื่ม ก้นถ้วยอีกสองสามหยด คล้ายเขิน คล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูดต่อมา “เรื่องผี พอสว่างก็จบ..เรื่องคน เท่าไหร่ก็ไม่จบเสียที ยิ่งนับวันปัญหายิ่งมากตามเวลาอายุ”

“เรื่องเด็กนึงใช่ไหม?..” หลวงพี่คว้าแก้วไปจากมือผม “เดี่ยวมานะ”

ไม่ใช่แค่เรื่องเด็กนึง..ที่ผมพูดหมายถึงความจริงของคนทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้..แต่ขณะนี้ดูเหมือนจะโฟกัสที่ผมและครอบครัวเป็นพิเศษ..เรื่องเฉพาะหน้า..อีกสองวันพระมหาชัยจะสึก ซึ่งหมายถึงผมด้วย ทีแรกก็ไม่ได้กังวลอะไรมากแค่นึกเสียดายที่ได้อยู่วัดน้อยไป..ยังสนุกอยู่..แต่เดี๋ยวนี้ผมกลับไม่อยากสึก..แน่ละ!..ส่วนหนึ่งคือเด็กนึง..อีกอย่างคือ...

“แล้วก็บอกว่าพอ..” หลวงพี่อาจกลับมา..ยื่นแก้วให้ “พูดอะไรตรงกับใจดีที่สุด”

“บางเรื่องก็ไม่ได้ บางทีก็ไม่สมควร..ผมว่านะ” ดื่มอักๆ ทั้งร้อนๆ

“เรื่องอะไรว่ามา..เราซี้กันพอใช่ไหม?” นั่งลงข้างๆ..ท่าน้ำท้ายศาลา..ที่เดิม

“ผมกำลังมีความรัก”

“ฮ้า!..” หลวงพี่อ้าปากค้าง

“ฮะ..ฮะ..ฮะ..” ขำท่าทางหลวงพี่มาก..ไม่ใช่ๆ ..ขำท่าทางของหลวงพี่อาจมาก

“ได้อย่างไร..เราเป็นพระต้องละทางโลกให้สิ้น..รัก..โลภ..โกรธ..หลง..ไม่สมควรเกิดกับพระสงฆ์ทุกรูป” ไม่เคยเห็นสีหน้าจริงจังของหลวงพี่มาก่อน

“ผมรักนึง..รักวัด..รักชีวิตของพระ การดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย..อาบน้ำก็ไม่ต้องเช็ดผม ไม่ต้องซักกางเกงในอีกต่างหาก” อ้าว!..นึกว่ามีแต่พระนิด ที่แท้นายนิดก็ยังอยู่

“จริงหรือที่พูดออกมา..รักนึง อาจเพราะสงสาร..รักวัดรักชีวิตเรียบง่ายแบบพระ ไม่ใช่เพราะความขี้เกียจหรอกหรือ?”

“ทำไมว่าผม..หมายความว่าอย่างไร?”

“อะ..แอ้ม..” หลวงพี่อาจชักขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ มือกุมอยู่บนตัก..บนพุง “เวลานี้ที่วัด พระสงฆ์ส่วนมากโดยเฉพาะพระนิดหละหลวมธรรมวินัยมาก..ผมก็พลอยเป็นไปด้วย..จึงทำให้เหมือนอยู่กันสบายๆ ไปวันๆ ไม่ต้องทำมาหากิน แค่เดินถือบาตรตอนเช้า กลับมาทำวัตรนิดหน่อย ยิ่งไม่อยู่ในพรรษาเช่นนี้ทำบ้างไม่ทำบ้าง..ฉันเช้า..จำวัด..ฉันเพล..จำวัด..เล่นกล้าม..อ่านหนังสือเริงรมย์..พี้ยา..รับจ๊อบทำพิธี ทำดอกไม้ไฟ..ให้เช่าแลกเปลี่ยนพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง..เฮ้อ..อื่นๆ อีก..”

“เอ่อ..” จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยดี

“คนที่เคยต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตัวหาเลี้ยงครอบครัว ต้องเจอ ต้องต่อสู้กับปัญหาของคนใกล้ชิดที่ไม่มีวันหมดสิ้นลงง่ายๆ ทั้งสามีภรรยา ลูก พี่น้อง พ่อแม่บุพการี หัวหน้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน...เมื่อมาอยู่วัด ปัญหาและคนเหล่านั้นไม่อาจตามมาด้วยเพราะได้ตัดเราตัดเขาเสียแล้ว..พ่อแม่ก็ไม่กล้ามาอ้อนเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย..ภรรยาก็ไม่มาขอค่าใช้จ่ายเลี้ยงดู ลูกๆ น้องๆ ก็ไม่มาให้ช่วยทำการบ้าน ไม่มีเจ้านายคอยจ้องจับผิด..ใจจึงโล่งเกิดความสุข”

“ถ้าผมรักชีวิตพระ ไม่สึกออกไปเจออะไรๆ อย่างที่หลวงพี่สาธยาย ผมก็สบาย มีความสุข..ผมมิใช่คนเห็นแก่ตัวหรอกหรือ?”

“ไม่รู้สิ..เผอิญแม่ผมมีลูกหลายคน ผมเป็นคนกลางไม่มีประโยชน์อะไรกับใครเท่าไหร่ ลูกเมียยังไม่มีจึงไม่ทันคิดในเรื่องนี้”

“ผมเป็นลูกคนโต มีน้องห้าคน พ่อเสียชีวิตตั้งแต่น้องคนเล็กอายุสี่เดือน..” หยุดคิด “คงรักชีวิตพระไม่ได้นาน..” มองหน้าหลวงพี่ “ขี้เกียจไม่ได้นาน!”

“ไม่เอาน่า..ผมไม่ได้สรุปอย่างนั้น แค่แสดงความคิด” สีหน้าหลวงพี่อาจห่วงความรู้สึกของผมจนเห็นได้ชัด

“ไปดูนายนึงกันนะครับ”

“ไป”



นึง ยังนอนไม่ได้สติ สีหน้ามีเลือดฝาดขึ้น กลิ่นคาวหายไปกลายเป็นกลิ่นแป้งเด็ก

“คงต้องฝากไว้ที่นี่สักคืน..” หลวงพี่อาจเปรยขึ้น “เป็นพระจะมานั่งเฝ้าไข้ไม่ได้หรอก แค่อุ้มขึ้นรถสองแถวมานี่ก็ดูไม่ค่อยดีแล้ว”

“ทำไงดี...” ความคิดชั่วร้ายแวบมา “ถอดจีวรออกก่อนก็ได้”

“พระนิด!..” หลวงพี่ตาถมึง “ถึงพูดเล่นก็ไม่สมควร..คิดจริงยิ่งไม่สมควรใหญ่..ถ้าทำอย่างพูดละก็สึกแน่”

“ขอโทษครับ..ผมคิดจริงนะ แต่คงไม่กล้าทำหรอก” รับสารภาพ

“น่าจะติดเด็กวัดมาด้วยสักคน..แต่ก็ละนะใครเขาจะทำให้”

การทำความดีไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ...เจ้าของไข้ต้องมีหลักฐานแสดงชัดเจน ยิ่งกรณีของนึงที่มาในสภาพน่าสงสัยถึงแม้จะมีคำบอกเล่ายื่นยันที่น่าเชื่อถือ

“ใบสุทธิของผมอยู่ไหนก็ไม่รู้..” หลวงพี่คงหมายถึงบัตรประจำตัวของพระสงฆ์ “ไม่นึกว่าจะต้องใช้งานเป็นเรื่องเป็นราวอย่างนี้”

“ของผมยังไม่ได้ทำ บัตรประชาชนก็ฝากโยมกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว”

เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอาจเกรงใจผ้าเหลืองของเราทั้งสอง อีกทั้งบารมีชื่อวัดที่หลวงพี่ยกขึ้นอ้าง และคำมั่นสัญญาว่าจะนำพระผู้ใหญ่มาพร้อมหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร...หลวงตาใบจะเห็นตามด้วยหรือไม่!



วันรุ่งขึ้นหลังจากฉันเช้า ผมและหลวงพี่อาจเข้าไปกราบเรียนปรึกษาหลวงตาใบ ท่านใจดีรับจะช่วยเหลือ หลังเพลหลวงพี่จึงจัดการหารถปิ๊กอัพนำหลวงตาเข้าเมือง

นึง ดีขึ้นมากหลังจากอยู่โรงพยาบาลมาหนึ่งวันหนึ่งคืน อาการไข้หายเกือบหมด ตุ่มแดงตามตัวยังอยู่แต่ไม่เป็นอันตราย ไม่มีอาการแทรกซ้อนอย่างใด

ทั้งหลวงตาและหลวงพี่ลงความเห็นว่าน่าจะพานึงกลับได้แล้ว...ใจผมยังอยากให้อยู่ต่อแต่พูดอะไรไม่ได้ อีกอย่างมาครั้งนี้มีรถมาเอง เด็กดำก็มา คงสะดวกกว่าที่จะอุ้มนึงขึ้นรถสองแถวกลับตามลำพัง

ไม่ได้นึกว่าจะพานึงกลับกะทันหันจึงต้องห่อเขาด้วยผ้าเช็ดตัวเหลืองผืนใหญ่อย่างขามา..ดำเป็นคนอุ้ม..นึงก็เจียมตัวไม่ร้องโยเยอะไรได้แต่มองคนโน้นทีคนนี้ที อ้อแอ้ว่า พะ..พะ..และอีกคำไม่ชัดนักแต่ทำให้คนที่ได้ยินสะเทือนใจ “ยาย..ยาย..”

มองชัดๆ แล้วนึงไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อนเสียทีเดียว..ที่เห็นไกลๆ จากท่าท้ายศาลาเขามอมแมม ว้าเหว่ เลื่อนลอย จึงดูคล้ายเป็นอย่างนั้น..ถ้าได้รับความรักความอบอุ่นเพียงพออาการเอ๋อที่มีอยู่คงหายไป



ปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อกลับถึงวัด..จะให้นึงอยู่ที่ไหน..เวลากลางวันอยู่ในส่วนของหลวงตาใบหน้าศาลาก็น่าจะได้เพราะที่นั่นเหมือนส่วนรับแขกกลายๆ อยู่แล้ว หรือต้วมเตี้ยมบนศาลายาวก็คงไม่เป็นไร...กลางคืนนึงจะนอนกับใคร ถึงจะสามสี่ขวบแล้วแต่การพัฒนาของร่างกายและจิตใจน้อยกว่าอายุ เขาต้องการความอบอุ่นใกล้ชิดจากใครสักคน ยิ่งตอนนี้เขายังไม่สบายอยู่

“นอนกับพระอาจแล้วกัน..” ในที่สุดหลวงตาใบสรุปแก้ปัญหา “เป็นคนอุ้มเขามาไม่ใช่หรือ?”

ถ้าตัดสินตามเหตุผลนั้นหลวงตาน่าจะให้นึงอยู่กับผมมากกว่า เพราะผมต่างหากเป็นผู้รู้เห็นและต้นคิดในการช่วยเหลือ

“มีผู้อื่นร่วมห้องจะได้หรือครับ..ผม..ผม..” หลวงพี่ติดอ่างขึ้นมา

“ทุกกฎทุกวินัยมีข้อยกเว้น..เอาเถอะ..ท่านไม่ได้ทำด้วยอำเภอใจ ถูกบังคับเสียด้วยกระมัง..อีกอย่าง..มีบุคคลรู้เห็นและยินยอมถึงสองคน..ไม่ผิดแน่” หลวงตาให้ความมั่นใจ

“ติดอยู่ที่..ผมไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน..ครับ”

“ให้อยู่กับผมก็ได้..” แทบจะยกมือขึ้นอาสาในทันที “ผมเคยเลี้ยงน้องมาหลายคนครับ”



จู่ๆ ผมก็มีสิทธิ์สั่งนายดำทำงานให้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับนึง..เวลานี้ไม่ใช่เพียงผม แม้แต่หลวงตาก็มีทีท่าเอ็นดูนึงมากเหมือนกัน

งานแรกคือติดไฟต้มน้ำลวกขวดนมที่เพิ่งซื้อมาจากร้านค้าหน้าโรงพยาบาล

“อย่างนี้เชียวหรือหลวงพี่” ดำบ่นพลางยกกาน้ำขึ้นตั้งบนเตา

“เขาไม่สบาย ถ้าท้องเสียขึ้นมาอีกจะยุ่ง..” หรือผมทำมากไป..ก็เคยเลี้ยงน้องอย่างนี้ “เผื่อไว้ใส่กระติกสำหรับใช้กลางคืนด้วยนะ”

“ไม่ต้องก็ได้..ฮะ..ฮะ..” ดำละจากเตาบนระเบียงเข้าไปในศาลา..กลับมาพร้อมกับสิ่งหนึ่ง “หลวงตามีกระติกน้ำไฟฟ้าตั้งหลายอัน” ตักน้ำกินจากตุ่มใส่กระติกหิ้วไปวางหน้าห้องผม...อีกคนละที่เอ็นดูนึง

ผมขอจีวรเก่าของหลวงพี่อาจมาปูเป็นที่นอนให้นึง ผ้าเช็ดตัวพับเป็นหมอนเล็กๆ วางบนเสื่อในมุ้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกฉี่ออก..หลวงตาซื้อให้หลายชุด

ฉีกนมสดจากกล่องใส่ขวดนมให้นึงดูดกิน สักพักกินยาที่คุณหมอจัดมาให้..ดีที่กินยาง่าย..สักพักก็หลับไป..นึงไม่เป็นเด็กขี้อ้อน คงเป็นเพราะถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวจนชิน แค่ได้เห็นใครสักคน ได้อิ่มท้องก็พอใจ..น่าแปลกที่ไม่ได้ยิน พะ..พะ..จากนึงอีก

ล้างขวดนมลวกน้ำร้อนจากกระติกไฟฟ้าเสร็จเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีสายตาหลายคู่แอบมองอยู่..ก็น่าจะ..ความจริงเห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มัวแต่ใจมุ่งให้ลุผ่านจึงไม่ทันคิดอะไร...หรือผมจะสึกพร้อมพระมหาชัย พานึงกลับไปเลี้ยงที่กรุงเทพฯ ในฐานะลูกบุญธรรม น้องบุญธรรม..แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อนมให้กิน ฐานะทางบ้านผมไม่ค่อยดีนัก แม่เลี้ยงลูกคนเดียวหกคน ผมคนโตยังไม่มีอาชีพอะไรเลย

โบ้ยนึงให้เป็นลูกหลวงตา..ใครจะเป็นคนดูแล..ไม่พ้นผมอีก..ผมชอบเลี้ยงเด็กอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ในภาวะเช่นนี้ ไม่อยากถูกมองแปลกๆ...ประกาศหาโยมใจบุญช่วยรับเลี้ยงดู..เป็นทางออกที่สมควรและดีที่สุด..แต่..ผมจะทำได้หรือ..แค่สองวันผมรู้สึกผูกพันกับนึงมาก..แต่ไม่แน่..ถ้าไม่ได้ยิน พะ..พะ..สักพักผมคงถอนใจจากเขาได้

“ยาย..ยาย..อือ..” ผมเลิกมุ้งเข้าไปดู “อือ..” นึงนอนละเมอ..คราบน้ำตาอยู่ที่หางตา จิตสำนึกของการเจียมตน แม้ร้องไห้ก็ไม่มีเสียง..ผมปริ่มๆ จะร้องตาม..แต่แล้วต้องสะดุ้งกับสัญญาณผูกพันที่จะยึดผมไว้ตลอดชีวิต


“พะ..พะ..อือ..อือ..”






Create Date : 03 สิงหาคม 2553
Last Update : 3 สิงหาคม 2553 17:37:03 น. 3 comments
Counter : 498 Pageviews.

 
แวะมาอ่านแล้ว ลงชื่อครับ
บทที่ 9 นี้น่าเห็นใจนายนึงน่ะครับ
ยายก็เสียชีวิตเสียแล้ว


โดย: คั่วกลิ้งหมู IP: unknown, 115.87.12.10 วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:18:06:01 น.  

 
กำลังเขียนไม่ออก ...

หลายวันมาแล้ว ...

คุณขั้วกลิ้งหมูแวะมา .. ค่อยอยากเขียนต่อ .. ครับ ...

ดาเรน ...


โดย: ดาเรน (ดาเรน ) วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:6:42:23 น.  

 
ขอประทานโทษครับ ...

คั่วกลิ้งหมู ต่างหาก มิใช่ ขั้วกลิ้งหมู ...

ดีน ...


โดย: ดาเรน (ดาเรน ) วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:10:02:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาเรน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add ดาเรน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.