|
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
สองสัปดาห์กับหนัง 6 เรื่อง (ซีรี่ส์อีกหนึ่ง) และบทรีวิวอย่างย่อ(มากๆ)
ช่วงที่ห่างหายไปจากบล็อคผมมีโอกาสได้ดูหนังค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นการดูจาก DVD หนังบางเรื่องก็อยากดูเพราะคนในบล็อคแนะนำ แต่ดูจบแล้วกลับไม่ประทับใจเท่าไหร่ เนื่องจากสัปดาห์นี้ผมยังคงไม่มีเรื่องอะไรจะมาอัพบล็อคแบบเป็นเรื่องเป็นราว วันนี้ก็เลยจะขอรีวิวหนังที่ได้ดูมาในช่วงนี้แบบสั้นๆในสไตล์ของตัวเองแก้ขัดไปก่อน ใครที่เคยอ่านงานของคุณ ผมอยู่ข้างหลังคุณ หรือคุณ Merveillesxx แล้วชอบ รับรองได้ว่าของผมห่วยกว่านั้นเยอะ (แล้วจะบอกเค้าทำไมเนี่ย...)
The Incredible HULK เป็นเรื่องเดียวที่ได้ดูในโรง ตอนไปซื้อตั๋วก็ยังลังเลระหว่างเรื่องนี้กับกังฟูแพนด้า สุดท้ายแล้วด้วยเงื่อนไขของเวลาก็เลยต้องเลือกเรื่องนี้ (จริงๆแล้วอยากดูแพนด้ามากกว่า) หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็มานั่งรอหนังฉาย ระหว่างนั้นก็เห็นครอบครัวหนึ่งยกโขยงกันมาซื้อตั๋ว จากจำนวนคนทั้งหมดแล้วคาดว่าคงพากันมาทั้งตระกูล เพราะมีทั้งผู้ใหญ่วัยคุณลุงคุณป้า และเด็กน้อยวัยตั้งแต่แบเบาะไปยันประถมต้น คนเกลียดเด็กอย่างผมเห็นแล้วสยดสยองมากๆ ระหว่างที่มองดูครอบครัวหรรษานี้ซื้อตั๋วก็ภาวนาว่าขออย่าให้มาดูโรงเดียวกับเรา คำภาวนาท่าทางจะสัมฤทธิ์ผล เพราะเมื่อเข้าไปในโรงก็เห็นตระกูลนี้นั่งกันอยู่แถวหน้าที่นั่งของผมพอดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง
เกี่ยวกับตัวหนัง: HULK เป็นหนังที่ดูสนุกตามมาตรฐานที่ีหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องหนึ่งพึงจะมี (เผอิญผมไม่ได้ดูเวอร์ชันของอังลีเพราะได้ยินกิตติศัพท์มาเยอะจนไม่กล้าลอง) หลังจากที่ดูจบความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในใจมี 2 อย่าง คือ 1. ในสายตาผม HULK เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่น่าสงสารที่สุด เมื่อก่อนคิดว่าสไปเดอร์แมนนี่โคตรลำเค็ญแล้ว พอมาเจอ HULK ชีวิตของสไปดี้นี่กลายเป็นเทพนิยายไปเลย เรื่องที่ต้องคอยหลบหนีอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆนี่ไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เรื่องที่ xxxx กับแฟนไม่ได้นี่มันเศร้าสุดยอดจริงๆ (ดูฉากนี้แล้วสงสารพระเอกจนน้ำตาจะไหล) 2. ทำไมฉากต่อสู้ตอนจบมันเหมือนหนังอนิเมชั่นจังวะ หมายเหตุ: ทั้งๆที่เตรียมตัวไว้แล้วว่าถ้าไอ้ Adams Family มันส่งเสียงอะไรให้รำคาญก็จะย้ายที่หนี แต่เอาเข้าจริงตลอดเวลาที่หนังฉายครอบครัวนี้กลับนั่งดูหนังกันเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าน้อยขออภัยในความตื่นตูมของตัวเองมา ณ ที่นี้ด้วยจ้ะ
Heroes Season 1-2
ความจริงผมได้ซีรีส์ชุดนี้ไว้ในครอบครองมานานนมแล้ว แต่พึ่งสบโอกาสได้ดูเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ซึ่งกว่าที่จะดูจบก็ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะกันพอสมควรทีเดียว เพราะต้องอดตาหลับขับตานอนตะลุยดูกันยันดึกยันดื่นหลายคืนกว่าจะจบซีซั่น โดยทั้ง 2 ซีซั่นก็มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันดังนี้
Season 1: เป็นการเกริ่นนำและเปิดตัวผู้มีพลังพิเศษแต่ละคน (ที่ส่วนใหญ่แล้วไม่รู้จัก หรือมีความเกี่ยวข้องกันเลย) หนังค่อยๆแนะนำให้คนดูรู้จักกับความสามารถที่แต่ละคนมี และค่อยๆขมวดปมให้ฮีโร่แต่ละคนเข้ามาเกี่ยวข้องกันด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งบทหนังก็เล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจและมีชั้นเชิง ถึงแม้ช่วงท้ายๆของซีซั่นจะมั่วซั่วและอ่อนพลังไปบ้างแต่โดยรวมๆแล้วก็เป็นซีรี่ส์ที่ดีเรื่องหนึ่ง ดูแล้วก็รู้สึกอิจฉาคนอเมริกันที่ทีวีบ้านเค้ามีซีรี่ส์แบบนี้ให้ดูเยอะแยะ (ยิ่งเปิดมาเจอหนูตุ่มกับน้าโป๊ะบ้านเราแล้วน้ำตาจะไหล) สงสัยจังเลยว่าจริงๆแล้วคนเขียนบทละครบ้านเราเขียนอะไรแบบนี้ได้หรือเปล่า แล้วถ้าเขียนได้จริงๆ จะมีคนดูมั๊ย?...
Seasons 2: ตรงกันข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขียนถึงซีซั่น 1 ข้อดีอย่างเดียวของซีซั่นนี้ก็คือมันสั้น เลยไม่ต้องทนดูนาน
Juno ก่อนจะดู: ด้วยดีกรีรางวัลออสการ์บทภาพยนต์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมที่ไดอะโบล โคดี้ได้รับ รวมกับคำชื่นชมในความฉลาดของบทหนังที่นิตยสารและนักวิจารณ์พากันชื่นชม อีกทั้งบล็อคเกอร์หลายคนในนี้ก็แนะนำว่าเป็นหนังห้ามพลาดแห่งปี ทำให้ระดับความคาดหวังของผมที่มีต่อหนังเรื่องนี้พุ่งสูงปรี๊ด
ดูจบแล้ว: หนังดีจริง บทฉลาดจริง แต่ผมไม่ชอบ สำหรับผมแล้วสิ่งที่แผ่พุ่งออกมาจากหนังในขณะที่ดูไม่ใช่ความอบอุ่นของครอบครัวเหมือนที่ได้รับจาก Little Miss Sunshine แต่เป็นความน่ารำคาญของยัยเด็กจูโน่ที่คอยผลักผมให้ไกลออกมาจากหนังเรื่องนี้ ระหว่างที่ดูก็รู้สึกอึดอัดรำคาญใจชนิดที่ตอนดูจบต้องถอนหายใจด้วยความโล่งเลยทีเดียว
Eastern Promises
ก่อนอื่นอยากจะกราบขอบพระคุณอะไรหรือใครก็ตามที่ทำให้ทางยูไนเต็ดปล่อย DVD หนังเรื่องนี้ออกมาในแบบกระจ่างใสไร้ซึ่งหมอกควันใดๆ เพราะผมยังรู้สึกเซ็งใจไม่หายตั้งแต่สมัยที่ดู A History of Violence แล้วพบว่าฉาก รบ บนขั้นบันไดมันหายไปทั้งกระบิ (ที่กูซื้อก็เพราะอยากจะดูฉากนี้นั่นแหละ) พอได้มาดูฉากต่อสู้ยาวเหยียดในห้องซาวน่าแบบเต็มๆตาแล้วรู้สึกปิติใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นฉากต่อสู้ที่เข้มข้น ได้อารมณ์ดิบ เถื่อน รุนแรงสมคำร่ำลือจนผมต้องรีวายดูไปสองรอบ (เพราะรอบแรกสายตามันมัวแต่มองหาน้องชายของพี่วิคโก้จนดูไม่รู้เรื่อง) ใครที่ชอบสไตล์หนังรุนแรง เข้มข้นแบบโครเนนเบิร์กไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Doomsday
ดูจบแล้วสงสัยอย่างเดียวว่าไอ้ชื่อไทย ห่าล้างโลก นี่ใครตั้ง เป็นคนเดียวกับที่ตั้ง ยิงแม่งเลย รึเปล่า ส่วนตัวหนังก็โอเคดูได้สนุกสนานเพลิดเพลินดี แต่คุณต้องพยายามลืมๆไปนะว่าเคยเห็นอะไรคล้ายๆแบบนี้จากใน 28 Days Later, Escape from New York หรือ Mad Max มาแล้ว ต้องถือว่าผู้กำกับนีล มาร์แชลล์เก่งทีเดียวที่เล่าเรื่องภายใต้องค์ประกอบซ้ำซากแบบนี้ออกมาได้สนุกสนานไม่เบา
National Treasure 2
เรื่องของนักล่าขุมทรัพย์หัวเถิก ที่คราวนี้การตามหาสมบัติ เป็นไปเพื่อการกอบกู้เกียรติยศของวงศ์ตระกูล ยกเว้นหัวของเคจที่เถิกขึ้นๆทุกวันแล้ว ทุกองค์ประกอบที่ดีในภาคแรกจะลดลงครึ่งนึงในภาคนี้ (ไม่เว้นแม้แต่เสน่ห์และความเย้ายวนของน้องไดแอน ครูเกอร์ ที่ภาคนี้ดูโทรมไปถนัดใจ)
ดรีมทีม
ผมดูหนังเรื่องนี้ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ไม่น่าจะสนุกไปกับหนังได้ถึง 2 ประการ อย่างแรกคือสถานที่ๆไม่อำนวย(นั่งดูบนรถบัสบริษัท) อย่างที่สองคือ โดยธรรมชาติแล้ว ผมเกลียดเด็ก แต่กลายเป็นว่าตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งนอกจากความสนุกสนานเพลิดเพลินที่ผมได้รับจากการดำเนินเรื่องและความน่ารักของเด็กๆแล้ว หลายๆฉากของหนังยังทำให้ผมถึงกับน้ำตาซึม (ถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่บนรถบริษัทอาจถึงขั้นน้ำตาท่วม) จุดที่น่าตำหนิของหนังสำหรับผมแล้วมีอย่างเดียวคืออารมณ์ในช่วงไคลแมกซ์ที่ทำได้อ่อนแรงอย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หนังก็บิวท์มาดีตลอด เป็นหนังของคุณเรียวอีกเรื่องที่ผมชอบมากๆ (รองจากโกลคลับ)
แถมอีกนิด (ขอแว่บไปแวดวงทีวีนิดนึง)
นิมิตรมาร ไม่เคยอ่านฉบับที่เป็นนวนิยายของคุณแก้วเก้า แต่เวอร์ชั่นทีวีนี่ทำไอ้ผีหัววุ้นออกมาได้น่ารำคาญมากๆ ถ้าไม่ติดว่าน้องพลอยเป็นนางเอกคงไม่เหลือบแลให้เสียสายตา (แต่ด้วยความยืดยาดเหมือนพายเรือวนในอ่างของบท บางครั้งแม้แต่น้องพลอยก็น่ารำคาญ) ละครเรื่องนี้น่าจะสนุกกว่านี้ถ้าทำเป็นละครสั้นแค่ 10 ตอนจบ ไม่ใช่ว่าทำมามากตอนแต่เนื้อเรื่องยืดเยื้อไม่ไปไหนแบบนี้ ขนาดไม่ได้ดูไป 2 อาทิตย์กลับมาดูใหม่เรื่องก็ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม แต่ที่แน่ๆงานนี้มาร์ทยังหล่อและดังได้อีก ส่วนอั๋น วิทยา คงยังไม่ได้เกิดเหมือนเดิม รายการสุริวิภา ทุกครั้งที่ดูรายการนี้จะเห็น sms ประเภท ทำไมเอาแต่คนรวยๆมาออก หรือ ไร้สาระ มีแต่พวกไฮโซ หรือ ถ้าเค้าไม่รวยจะเอามาออกมั๊ยเนี่ย... ฯลฯ ซึ่งอ่านแล้วรู้สึกหงุดหงิดมากๆ นึกไม่ออกจริงๆว่านอกจากความอิจฉาแล้วมีเหตุผลอะไรถึงคอมเมนท์แบบนี้ ไม่อยากดูคนรวยก็ไปดู คน ค้น คน สิโว้ย มากระแนะกระแหนเค้าอยู่ได้ ไม่เข้าใจคำว่าคอนเซปท์รายการกันหรือไงฟะ
เฮ้อ... รู้สึกโล่งดีจัง
Create Date : 24 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 26 มิถุนายน 2551 8:26:55 น. |
|
20 comments
|
Counter : 2510 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: อั๊งอังอา IP: 124.120.114.105 วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:14:31:03 น. |
|
โดย: อออ IP: 124.120.114.105 วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:14:44:57 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:15:15:54 น. |
|
โดย: Wisther IP: 58.9.87.239 วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:18:42:43 น. |
|
โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 26 มิถุนายน 2551 เวลา:13:00:08 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 3 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:38:42 น. |
|
โดย: อั๊งอังอา วันที่: 4 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:41:52 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 4 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:22:10 น. |
|
โดย: เจ้าชายสีฟ้า (sendho ) วันที่: 27 ตุลาคม 2551 เวลา:17:04:03 น. |
|
| |
|
แฟนผมตัวดำ |
|
|
|
|
โอ้ย....อย่างฮา
แต่พออ่านตามมาข้างล่าง เขียนได้ดีนะคะ
เพราะปกติ จะอ่านบล็อกน้องเมอร์กับคุณผมฯ อยู่เป็นตัวช่วยในการเลือกดูหนังอยู่แล้ว
แต่บางทีก็ต้องการมุมมองใหม่บ้าง ซึ่งเท่าที่อ่านถ้าคุณแฟนผมฯยังรักที่จะเขียนและเขียนเสมอๆ ก็จะติดตามอ่านคะ
ปล.ช่วงนี้น้องเมอร์กำลังบ้าแกลเลอรี่ ถือเป็นจุดแซงโค้งที่ดี
ในการยึดหัวหาดบล็อกเกอร์นักดูหนังมาครองนะคะ
หุหุหุ