เครื่องสำอาง
ความก้าวหน้าของเครื่องสำอางไทย
นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของสารนำพาที่วิจัยค้นคว้าโดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ไทย
นู-เอ็นแคป (Nu-Encap) คือระบบการนำพาสารสู่ผิว ที่ได้จดสิทธิบัตรและเปิดตัวในการประชุมแพทย์สากล ณ มลรัฐซานฟรานซิสโกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2547
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งวงการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามคิดค้นวิธีการและสารนำพาใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาและเครื่องสำอาง โดยเน้นการพัฒนากลไกในการดูดซึม หรือการนำพาสารสู่ผิวที่มีประสิทธิภาพ แต่พบว่ายังมีข้อจำกัดและปัญหาสำคัญอยู่หลายประการ ได้แก่
1. การที่ตัวยาหรือสารออกฤทธิ์ หลายชนิดไม่สามารถผสมผสานกันได้ เนื่องจากจะทำให้ประสิทธิภาพตัวยาลดลงหรือเสื่อมสภาพ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาสูตรหรือเครื่องสำอางที่ให้ผลอย่างมีประสิทธิภาพสูงได้
2. ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากปัญหาผิวหนังบางชนิดจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยการเพิ่มความ เข้มข้นของตัวยาในปริมาณสูงเพื่อหวังผลการรักษาที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้มีโอกาศเกิดผลข้างเคียงได้
3. แท้ที่จริงแล้วเทคโนโลยีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถผลิตยาหรือเครื่องสำอางที่ดูแลรักษาปัญหาได้มากกว่า 1 ปัญหาในผลิตภัณฑ์เดียว ทำให้ผู้บริโภคต้องใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดซึ่งไม่สะดวกและสิ้นเปลือง
4. การรักษาฤทธิ์หรือประสิทธิภาพของส่วนผสมหรือตัวยาให้คงสภาพเพราะประสิทธิภาพจะลดลงตามธรรมชาติ อุณหภูมิ การเก็บ ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการดูแลรักษาหรือบำรุงด้อยลง ทัง้ยังมีผลต่ออายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์อีกด้วย
คณะแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ไทยจำนวนกว่า 40 คน จากสถาบันไบโอไฟล์ (Biophile Corporation Limited) นำทีมโดยนพ.ธนุสิน พลอยแสงงาม ร่วมกับควอลิตี้ รีเสิร์ช แลบบอราทอรี่ (Quality Research Laboratory) ของไบโอไฟล์ สหรัฐอเมริกา ภายใต้การดูแลของดร.นาร์โด ไซแอส (Nardo Zaias, MD) ได้ทำการค้นคว้าวัจัยเป็นเวลานานถึง 3 ปี โดยใช้เงินลงทุนกว่า 1,000,000 เหรียญสหรัฐ จนสามารถนำเอาระบบผลิตครีมโดยทั่วไป มาผสมผสานกับการบรรจุสารนำพาที่มีอณูขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นด้ยวตา เปล่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมพร้อมทั้งความสามารถในการลดปริมาณความเข้ม ข้นของตัวยา ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
นู-แอ็นแคป เป็นสารนำพาเสมือนไลโปโซม แต่พิเศษและแตกต่าง รวมทั้งมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่า ในลักษณะเป็นเม็ดบีดสีต่างๆ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ เปลือกนอกที่ซับซ้อนหลายชั้น และส่วนในที่เป็นแคปซูลซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า ไมโคร-เอ็นแคปซูลเลตเทด เมื่อทาลงไปบนผิวเปลือกนอกจะแตกออก และส่วนในที่เป็นแคปซูลขนาดเล็กจะค่อยๆ แตกตัวนำส่วนผสมสำคัญหรือตัวยาที่เป็นสารออกฤทธิ์ซึมลงสู่ผิวอย่างต่อเนื่อง เม็ดสีแต่ละชนิดจะบรรจุอณูสารนำพาไว้มากมายหลายชั้น สามารถบรรจุส่วนผสมหรือตัวยาได้หลายหลากชนิด
นับเป็นครั้งแรกที่วงการแพทย์สามารถคิดค้นไลโปโซมในลักษณะซับซ้อนหลายชั้น บรรจุส่วนผสมได้หลายชนิด ทั้งยังปกป้องคุณสมบัติของส่วนผสมแต่ละชนิดไว้ได้จนถึงเวลาที่ทาลงไปบนผิว
จากการค้นคว้าและวิจัย ดร.นาร์โด อธิบายว่าไลโปโซมที่ใช้กันอยู่ทั่วไปนั้น คงทนในสภาพอุณหภูมิปกติได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่นานพอสำหรับอายุของเครื่องสำอาง (ประมาณ 2 ปี) จึงยังไม่มีวิธีใดๆ เหมาะสมที่จะสามารถรักษาสารนำพานี้ได้ นอกจากการเก็บไว้ในตู้เย็นหรือการปรับสูตรอย่างพิเศษ ดังนั้นการค้นพบนู-เอ็นแคปซูล จึงช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ นอกจากนี้ยังสามารถผสานสารออกฤทธิ์หลายๆ ตัวให้อยู่รวมกันได้ พร้อมทั้งรักษาคุณสมบัติของตัวยาให้คงสภาพและค่อยๆ ปลดปล่อยสารเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทาลงผิว วิทยาการนี้ทำให้สามารถลดปริมาณขนาดของสารออกฤทธิ์ลงได้ 5-10 เท่า อย่างโทปีคัล คอร์ติโคสเตอรอยด์ส เทรตินอยด์ ไฮโดรควิโนน และยาต้านเชื้อรา ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียง
ผลจากการทดสอบยาฆ่าเชื้อราที่เท้า (Tolnaftate และ Terbinafine) ให้ผลภายใน 2 สัปดาห์ นอกจากใช้ตัวยาในจำนวนที่น้อยลงแล้ว ยังได้ผลเร็วกว่าปกติอีกด้วย
จากการทดสอบระหว่างมอยส์เจอไรเซอร์ยี่ห้อต่างๆ กับมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของนู-เอ็นแคป พบว่ามอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของนู-เอ็นแคป ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวดีกว่า และสามารถควบคุมการปลดปล่อยสารออกฤทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังไม่มันหรือเหนียวเหนอะหนะ ให้ความเรียบลื่นน่าสัมผัส
ผลการค้นคว้านี้นับเป็นก้าวสำคัญต่อวงการแพทย์ผิวหนังและวงการเครื่องสำอาง ซึ่งจะเป็นจุดกำเนิดของการบุกเบิกและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่สูงกว่า
ที่มา : นิตยาสารแอล
เครื่องสำอาง
เครื่องสำอางเกาหลี
เครื่องสำอางแบรนด์เนม
Create Date : 05 มกราคม 2552 |
Last Update : 5 มกราคม 2552 18:16:43 น. |
|
0 comments
|
Counter : 589 Pageviews. |
|
|