|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ระบบการทำงานของ ขันธ์ 5 และ การทำวิปัสนา
ระบบการทำงานของ ขันธ์ 5 และ การทำวิปัสนา พระพุทธเจ้า ทรงสอน เรื่อง อริยสัจ 4 เรื่องแรก ของอริยสัจ 4 ก็ คือ เรื่องทุกข์ ที่ว่า ทุกข์ นี้ อะไรคือทุกข์ พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า
..........ดูกรภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความต่างแห่งทุกข์ วิบากแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งทุกข์ ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว
แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็เป็นทุกข์ แม้พยาธิก็เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาสก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
พระพุทธองค์ทรงตรัสโดยสรุปก็คือ อุปาทานใน ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ 5 เป็นตัวตน เป็นตัวเราของเรา แท้ที่จริง ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
แล้วขันธ์ 5 เป็นของใคร ทำไมจึงมีขันธ์ 5 ?
ที่จริงขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่ เกิดจาก การรวมตัวของธาตุต่างๆๆตามธรรมชาติ แล้วอวิชชา คือ ความไม่รู้ หรือ ความหลงผิด ทำให้เราคิดว่า ขันธ์ 5 เป็นตัวเรา เป็นของเรา
สิ่งที่เราเรียกว่า ขันธ์ 5 ได้แก่อะไรบ้าง ?
ขันธ์ 5 ได้แก่ 1 รูป 2 เวทนา 3 สัญญา 4 สังขาร 5 วิญญาณ
1 รูปขันธ์ สิ่งที่เรียกว่ารูป ก็ คือ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นเอง 1.1 ธาตุดิน ก็ หมายถึง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ปอด ตับ ไต ใส้ พุง ม้าม หัวใจ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ คือ ธาตุดิน
1.2 ธาตุน้ำ ก็ หมายถึง น้ำลาย เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง รวมถึงสิ่งที่เป็นของเหลวง ในร่างกาย
1.3 ธาตุลม ก็ หมายถึง ลมหายใจ ลมในท้อง ลมที่เคลื่อนไหวในร่างกาย เป็นต้น
1.4 ธาตุไฟ ก็ หมายถึง อุณหภูมิ ในร่างกาย ระบบการเผาผลาญ อาหาร พลังงาน ในร่างกาย เป็นต้น
ธาตุ ทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟ ในร่างกาย รวมเรียกว่า รูป
2 เวทนา ขันธ์ สิ่งที่เรียกว่า เวทนา ได้แก่ สุข ทุกข์ อุเบกขา ( ความวางเฉย หรือ เฉยๆ ) นี้ รวมเรียกว่า เวทนา
3 สัญญา ขันธ์ สิ่งที่เรียกว่า สัญญา ได้แก่ ความจำ หรือจำได้หมายรู้ เรื่องราวในอดีต ต่างๆๆที่เกิดขึ้นแล้ว เรา จำได้ นึกขึ้นมาได้ นี่เรียกว่า สัญญา
4 สังขารขันธ์ สิ่งที่เรียกว่า สังขาร คือ เครื่องปรุงแต่งจิต หรือ ความคิด คิดไปในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ความฟุ้งซ่าน ความวิตกกังวล ความรู้สึกนึกคิด ไปในเรื่องของอนาคต นี้ รวมเรียกว่าสังขาร
5 วิญญาณขันธ์ สิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ คือ ความรู้ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น ตาเห็นรูป ก็ เกิดวิญญาณทางตา คือ จักษุวิญญาณ หู ได้ยินเสียง ก็ เกิดวิญญาณทางหู คือ โสตวิญญาณ จมูก ได้กลิ่น ก็เกิด วิญญาณทางจมูก คือ ฆานวิญญาณ ลิ้น ได้ลิ้มรส ก็ เกิดชิวหาวิญญาณ กายได้สัมผัส ก็ เกิด กายวิญญาณ ใจ สัมผัสกับ อารมณ์ต่างๆๆ เกิด ธรรมมารมณ์ คือ มโนวิญญาณ สิ่งต่างๆๆเหล่านี้ รวมเรียกว่า วิญญาณ
เราก็ ได้ เรียนรู้ ส่วนประกอบ ของขันธ์ 5 หรือ ที่เรา ยึดถือว่ามันคือตัวเรา ว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง แล้ว ทีนี้ เรามาดู ระบบการทำงานของขันธ์ 5 ว่า มันทำงานอย่างไร ขันธ์ 5 บางที่ แบ่งเรียกเหลือแค่ รูป กับ นาม รูป ก็ คือ รูปธรรม สิ่งที่ อธิบายมาแล้วในเรื่องของรูป ส่วน ที่เหลือ เป็นนามหรือ นามธรรม ประกอบด้วย ขันธ์ ที่เหลือ อีก 4 ขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ คือ นาม หรือนามธรรม นาม ยัง การทำงาน ออก ไปเป็นอีกสองส่วน คือ เวทนา สัญญา สังขาร ส่วน วิญญาณ มีหน้าที่ ไปรับรู้ ในขันธ์ ต่างๆๆ รวมไปถึงรูป
ทีนี้ จะอธิบาย การทำงานของวิญญาณ ซึ่ง จะ เข้าไปรับรู้ ในขันธ์ ต่างๆๆ ที่เหลือ อีก 4 ขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร การทำงานของ วิญญาณขันธ์ หรือ บางท่านเรียกว่า จิต ก็ได้.. จิต จะวนเวียน ใน 4 ธรรมธาตุนี้ ไม่ไปใหน เดี๋ยวไปรู้ รูป เช่น วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อ จิต รับรู้ อะไรแล้ว ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้ว จะดับไป จิตจะเปลี่ยน ขันธ์ ไป จับ เวทนา คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา จากนั้น ก็ ดับ ไป อีก ไปจับ สัญญา ความจำ ในอดีต แล้วก็ ดับไป ไปจับสังขาร สิ่งที่ ปรุงแต่งจิต ความคิดไปในอนาคต ความฟุ้งซ่านในเรื่องต่างๆๆ แล้ว ก็ จะดับไป ไปจับ ในรูปต่อ จิตจะเกิดดับ เกิด ดับ อยู่ อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน ไปจับ ขันธ์โน้นบ้าง ขันธ์นี้บ้าง สลับ สับเปลี่ยนกันไป แต่ไม่หนีไปจาก 4 ขันธ์นี้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร จะเกิด ดับ เกิด ดับ อยู่ แบบนี้ ตลอด
ทีนี้ ที่พระพุทธองค์ ทรงสอนให้ ทำวิปัสสนา ก็ คือ การ ให้ เห็น ว่า ขันธ์ ทั้ง 5 มันเป็นของที่เกิดดับ นั่นเอง และ จิต มัน เกิด มัน ดับ อยู่ตลอดเวลา แบบนี้ พระองค์จึงทรงให้เข้าไปสังเกตดู ในขณะที่มันเกิด และ มันดับไป แล้วมันก็เกิดอีก แล้วมันก็ ดับไปอีก พระองค์ ให้ทำอย่างไร ก็คือ พระองค์ให้ ตั้งจิต ไว้ อยู่ กับ รูป กาย หรือ ลมหายใจ เพื่อเป็นเสาเขื่อนเสาหลัก ให้จิต เป็นที่ตั้งอาศัย เมื่อ จิต ดับ ไปจาก รูป หรือ กาย หรือ ลมหายใจ ไป รับรู้ สุข ทุกข์ อดีต อนาคต ก็ ให้ ดับ มันเสีย แล้ว กลับมาตั้งจิตไว้อยู่ที่กาย หรือ ลมหายใจ ดังเดิม แล้ว ให้ เห็นว่า จิต มัน เกิด มันดับ อยู่แบบนี้ เมื่อ มันมีเกิด มีดับ มีการแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆแสดงว่า มันไม่เที่ยง มันเป็น อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนอะไร มันเป็นของเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ไม่ควรที่จะเข้าไปยึดถือว่าเป็นเรา หรือ ของเรา เมื่อเข้าไปยึดถือ ก็จะทำให้เกิดทุกข์ นี่คือ วิปัสสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้เห็นเการเกิดและดับ ของขันธ์ ต่างๆๆ
มีคำถามว่า แล้ว ให้ จิต ไปจับ ที่ เวทนา สัญญา สังขาร แล้วตามรู้ไปเรื่อยๆๆ แบบนี้ ได้ใหม?ทำไมต้องตั้งจิต ไว้ที่กาย หรือ ลมหายใจ ?
พระพุทธเจ้า ทรงให้ตั้งจิต ไว้ที่กาย ทรงเรียกว่า กายคตาสติ หรือ ตั้งจิต ไว้ที่ลมหายใจ ทรงเรียก ว่า อานาปานสติ ไม่ให้ จิตไปจับที่ สุข ทุกข์ อดีต อนาคต เพราะ เวทนา สัญญา สังขาร ขันธ์ เป็น ภพ ที่ ตั้งอาศัย ของจิต พอ มี ภพ ชาติ ชรา มรณะ ก็ จะตามมา แล้ว ภพ นี้ เวลา เราตาย จะเป็นที่ตั้งอาศัยของจิต พาให้เราไปเกิด หรือ ไปจับรูปใหม่ ซึ่ง จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่แบบนี้ การที่จิต เข้าไปตั้งอาศัยใน เวทนา สัญญา สังขาร พระพุทธองค์ ทรงเรียกว่า มี นันทิ ( ความเพลิน ) ผู้ใดมี นันทิ ผู้นั้น มีอุปาทาน ผู้ใดมีอุปาทาน ก็ ปรินิพานไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระองค์ จึงทรงให้ละนันทิ คือ ความเพลินในภพคือ เวทนา ขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์เสีย แล้ว ให้ จิต มาตั้งอยู่กับกาย หรือ ลมหายใจ ซึ่ง พระองค์ทรงเรียกว่า เป็นผู้ที่มี สติ สัมปชัญญะ
เมื่อ เราฝึกละนันทิ ไปเรื่อยๆๆ คือ ไม่ให้จิต เข้าไปตั้งอาศัย ใน ภพ คือ เวทนา สัญญา สังขาร ขันธ์แล้ว จิตก็ จะตั้งอาศัยอยู่ที่รูป หรือ ลมหายใจ เมื่อ เราฝึกมากๆๆเข้า จิต จะไม่ไปตั้งอาศัย ในภพ เมื่อถึงตอนตาย รูปกายแตกดับ ลมหายใจดับ จิต ก็ จะดับไปพร้อมๆกับลมหายใจ เพราะ จิต ไม่มีภพเป็นที่ตั้งอาศัยให้ไปเกิดอีก นี่เราจะได้เป็นพระอรหันต์ ตอนตาย แต่ถ้า ใคร มี อินทรีย์ บารมีมากพอ เมื่อฝึก ละนันทิ ทิ้งภพไปเรื่อยๆ เมื่อ จิต มาจับอยู่กับรูป แล้ว ทำจิตให้ เป็นสมาธิ ในระดับของ ฌาน ต่างๆๆ ทั้ง 9 ระดับหรือ ตั้งแต่ ปฐมฌาน ยัน เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือ ระดับใดระดับหนึ่งก็ได้ แล้วตามเห็นการเกิดดับขององค์ฌานนั้นๆหรือ ในระดับต่างๆ ก็ จะ ปล่อยวาง รูปขันธ์ หรือ ขันธ์ ทั้งหมด ได้เอง ก็ จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ หรือ นิพพาน ในชาตินั้นๆๆ
หากมีสิ่งใดสงสัย หรือมีข้อคิดเห็นที่เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ หรือ มีคำถาม ฝากไว้ในกระทู้ ได้เลยครับ
Create Date : 04 เมษายน 2553 |
Last Update : 4 เมษายน 2553 21:31:29 น. |
|
25 comments
|
Counter : 8086 Pageviews. |
|
|
|
โดย: หนิงคะ IP: 125.25.172.218 วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:20:15:47 น. |
|
|
|
โดย: โซดาบ๊วย วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:8:42:24 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:10:39:41 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:10:40:57 น. |
|
|
|
โดย: Chulapinan วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:11:00:06 น. |
|
|
|
โดย: โอเล่ IP: 58.8.77.69 วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:11:54:02 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 7 เมษายน 2553 เวลา:11:36:52 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 8 เมษายน 2553 เวลา:9:25:08 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 9 เมษายน 2553 เวลา:10:14:14 น. |
|
|
|
โดย: พธู วันที่: 9 เมษายน 2553 เวลา:16:43:24 น. |
|
|
|
โดย: อย่านะ วันที่: 7 พฤษภาคม 2553 เวลา:0:33:04 น. |
|
|
|
โดย: อย่านะ วันที่: 8 พฤษภาคม 2553 เวลา:2:36:13 น. |
|
|
|
โดย: พ่อระนาด วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:23:18:47 น. |
|
|
|
โดย: จันทร์เพ็ญ IP: 159.192.217.139 วันที่: 18 กันยายน 2561 เวลา:7:21:46 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
จริงๆก็นั่งสมาธิเกือบทุกวันนะคะ แต่ว่าบางทีจิตก็แกว่งไปแกว่งมา บางวันก็ทำได้ บางวันก็ทำไม่ได้ค่ะ แหะ ๆ คงต้องพยายามต่อไป