
 |
|
|
 |
 |
|
|
| | 1 |
| 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
| 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
| 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
| 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
| 30 | 31 | |
|
|
| |
|
 |
 |
|
|
|
[T-Movie] ลูกอีสาน: เพราะเราและเขาไม่เหมือนกัน

เราจะรู้สึกอย่างไร หากมีคนจับตุ๊กแกกินเป็นอาหาร กินไข่มดแดงคลุกน้ำคลำแบบสดๆ รวมไปถึงพวกงู นก จิ้งหรีด พังพอน แมงมุม ฯลฯ สำหรับคนจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะกับคนเมืองที่รักความสะอาดซึ่งไม่กินของดิบนอก เสียจากซูชิปลาดิบจากญี่ปุ่นแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่แปลกและน่าขยะแขยง ก่อนจะตัดสินด้วยตัวเองว่าคนเหล่านั้นเป็นพวก “บ้านป่าเมืองเถื่อน” กลายเป็นภาระในของคนเมืองต้องเข้าไป “พัฒนา”
แต่การคิดตัดสินไปเองเช่นนี้ถูกต้องแล้วหรือ? ภาพยนตร์เรื่อง “ลูกอีสาน” ดูจะกำลังพยายามตอบคำถามนี้
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “ลูกอีสาน” นั้น เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากนวนิยายชื่อเดียวกันของคำพูน บุญทวี ที่เล่าถึงสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางภาคอีสานของไทย ผ่านตัวละครที่ชื่อว่า “คูน” เด็กชายคนหนึ่งในหมู่บ้าน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ฉายให้เห็นถึงสภาพความแห้งแล้งยากลำบากในหมู่บ้าน ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล เพาะปลูกก็ไม่ขึ้น อาหารการกินก็อาศัยอยู่ได้ก็แต่โดยปลาแดก (ปลาร้า) ที่ต้องไปจับถึงแม้น้ำมูล หรือไม่ก็จับสัตว์ป่าต่างๆ มาทำกิน ในส่วนของชาวบ้านเองบางทีก็ทะเลาะตบตีกันให้เห็น นั่นทำให้หมู่บ้านนี้ดูจะไม่ใช่ “สวรรค์ชนบท” ของการท่องเที่ยว แต่เป็น “นรกบนดิน” ที่คนรักความสะดวกสบายโดยเฉพาะคนเมืองต้องการหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด
แต่ถึงจะประสบความยากลำบากแค่ไหน ชาวบ้านส่วนใหญ่โดยเฉพาะครอบครัวของคูนก็เลือกที่จะไม่จากไปไหน ...ข้าเกิดที่นี่ ข้าเป็นคนที่นี่... ดูจะเป็นคำพูดที่สื่อถึงความรู้สึกของชาวบ้านเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีที่สุด
เป็นความรู้สึกที่คนเมืองอาจไม่เข้าใจหรือไม่พยายามเข้าใจ ...ก็ในเมื่อที่เป็นอยู่มันแย่ ทำไมถึงไม่ยอมออกมา... การมองเช่นนี้นำไปสู่การตัดสินเอาเองฝ่ายเดียวของคนเมืองว่า ที่ไม่ออกก็คงเพราะชาวบ้าน “โง่” ไม่รู้สิ่งที่ควรทำ อันเป็นการมองแบบมีอคติโดยไม่คำนึงถึงพื้นหลังของสังคมที่แตกต่างกัน
สังคมเมืองกับสังคมชนบทนั้นมีความแตกต่างกันอยู่หลายอย่าง อย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือความสัมพันธ์ของคนในชุมชน สำหรับสังคมเมืองซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่คนที่มีพื้นเพอยู่เดิมแต่ย้ายมาจากที่อื่น อาจจะด้วยเข้ามาทำงานหรือว่าเรียน สายสัมพันธ์ที่ร้อยคนในสังคมเมืองไว้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบทุติยภูมิที่เน้นหน้าที่การงานเป็นหลัก โดยไม่เกิดความผูกพันกับพื้นที่มากนัก สามารถย้ายไปที่อื่นได้ทุกเมื่อ
ตรงกันข้ามกับสังคมชนบท ที่ผู้คนอยู่อาศัยมาอย่างยาวนาน บางครอบครัวตั้งรกรากอยู่ต่อเนื่องเป็นร้อยปี ขณะที่ในบางแห่งคนในหมู่บ้านหากสืบต้นสายขึ้นไปก็จะพบว่าล้วนแต่เป็นญาติกัน ทั้งนั้น เหตุนี้ทำให้สังคมชนบทมีความสัมพันธ์ในเชิงปฐมภูมิคือแบบญาติสนิทมิตรสหาย เป็นหลัก มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน การออกจากพื้นที่จึงเป็นเรื่องยาก เพราะเท่ากับออกจากครอบครัวและผืนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเขาสร้างมาด้วย
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า แต่ละบุคคล แต่ละชุมชนล้วนมี “เหตุผล” อยู่เบื้องหลังการกระทำต่างๆ ด้วยกันทั้งสิ้น และเหตุผลเหล่านั้นก็ไม่เป็นหนึ่งเดียว แต่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล แต่ละชุมชน การเอาบรรทัดฐานของเราไปกะเกณฑ์โดยไม่สนใจพื้นฐานของเขา นอกจากจะไม่ช่วยให้เข้าใจเขาได้แล้ว ยังอาจทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ตามมาอีกด้วย
อย่างเช่นแนวคิดการพัฒนาในประเทศไทย ซึ่งแม้จะเริ่มมีมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ก็ยังประสบปัญหาต่างๆ เพราะการพัฒนาที่ผ่านมามักเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียวจากส่วนกลาง โดยใช้กรอบการมองแบบส่วนกลาง ไม่คำนึงถึงความคิดความเห็นของคนในพื้นที่ ทำให้สุดท้ายผลประโยชน์ที่ได้ก็ตกไปอยู่แต่เฉพาะคนที่ส่วนกลาง ชาวบ้านก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำร้ายบางทีอาจแย่ลง ซึ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเข้าข่ายการพัฒนาแต่อย่างไร
แต่ถ้าหากลองเปลี่ยนมุมมองมาเป็นมุมของเขาดูบ้างก็จะพบว่า บางทีการกินอาหารแปลกๆ ไม่ใช่เพราะชาวบ้านป่าเถื่อน แต่เพราะสภาพแวดล้อมโดยรอบผลักดันให้เป็นไปในทางนั้นต่างหาก ในชุมชนที่ไม่มี 7-11 โออิชิ เคเอฟซี คริสปี้ครีม ฯลฯ ฝนก็แล้ง ปลาก็หายาก การจับสัตว์ป่ากินหรือเอาปลาที่เก็บได้มาถนอมอาหารเป็นปลาร้าสำหรับเก็บไว้ เป็นอาหารต่อไป ดูจะเป็นทางรอดเดียวหากต้องการยังมีชีวิตอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้ถึงขนาดว่า ต้องให้ใช้เหตุผลของเขาแทนเหตุผลของเราเสียทีเดียว แต่เพียงแค่ต้องการให้ยอมรับและเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายในฐานะที่เท่าเทียม กันด้วยเท่านั้น อย่างบุญลาซึ่งกำลังจะหนีออกจากชุมชนเพราะทนความลำบากไม่ไหว พ่อของคูนซึ่งยืนยันว่าจะไม่ย้ายไปไหนแม้ว่าจะลำบากเพียงใด กลับเป็นคนที่ช่วยเหลือบุญลาให้ย้ายไปที่อื่นได้อย่างสะดวก นั่นก็เพราะพ่อของคูนเข้าใจในเหตุผลของบุญลา และไม่เอาเหตุผลของตัวเองไปตัดสินแทน
หากสังเกตดีๆ จะพบว่า ลูกอีสานแม้จะเป็นเรื่องของความแร้นแค้น แต่ก็ไม่ขมขื่นเท่าไหร่นัก ชาวบ้านยังอยู่ต่อ เพียงอาจต้องการแค่ฝนเท่านั้น ไม่ใช่เขื่อน ถนน เงิน ฯลฯ หรือการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างพลิกฟ้าทลายดิน ซึ่งเราจะไม่สามารถรู้ความต้องการจริงๆ ของชาวบ้านได้เลย หากเรายังคิดเอง เออเอง และมองอีกอย่างฝ่ายอย่างมีอคติอยู่เช่นนี้
| Create Date : 14 มกราคม 2554 |
|
1 comments |
| Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2554 20:04:19 น. |
| Counter : 1026 Pageviews. |
|
 |
|
|
| โดย: ยนืเยรัฟ IP: 183.89.11.147 วันที่: 21 มกราคม 2555 เวลา:0:57:06 น. |
|
| |
|
| เซียวเล้ง |
 |
|
|
 |
|
//watchshoppingonline.blogspot.com
//babytoykids.blogspot.com