keep walking.......
|
||||
ความทรงจำวัยเด็ก วันนี้อยู่ๆก็เข้าไปห้องชานเรือน ฉันเหลือบไปเห็นกระทู้แนะนำกระทู้หนึ่ง อยากแชร์คำพูดของลูกที่ทำให้แม่อย่างเราต้องร้องไห้คะ ^^ แล้วก็เลยกดเข้าไปอ่าน >> ฉันคิดว่าเนื้อหาน่าจะเป็นลูกทำให้เสียใจจนร้องไห้ แต่ปรากฏว่าเปล่าเลย คุณแม่ทั้งหลายรักลูกเหลือเกิน... และลูกๆของคุณแม่ทั้งหลายน่ารักมากๆ มันดูเหมือน... ตอนที่คุณแม่เล่าเรื่องของลูกๆด้วยความภาคภูมิใจ มีไออุ่นๆแผ่ออกมา จนฉันรู้สึกได้ คุณแม่คนเขียนไปและยิ้มไปอย่างปลื้มปิติ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดไว้ในตอนแรก จนฉันรู้สึกอิจฉา...ลูกๆของคุณแม่อยากบอกไม่ถูก ดวงตาของฉันร้อนอย่างบอกไม่ถูกและมีน้ำใสๆไหลออกมาในที่สุด ตอนเด็กๆที่ฉันเป็นแบบนั้นคุณแม่และคุณพ่อฉัน มีความภูมิใจอย่างนี้บ้างหรือเปล่า ฉันอาจจะจำวัยเด็กตอนนั้นไม่ได้ว่าฉันได้ทำอะไรที่น่ารักแบบลูกๆของคุณแม่บ้างหรือไม่ แต่ฉันกลับจดจำแต่สิ่งที่เป็นสีเทาๆ เหมือนหมอกเทาๆกระจายอยู่รอบตัว ตั้งแต่จำความได้ฉันจำไม่ได้แม้ซักครั้งว่า ทำการกระทำน่ารักแบบนั้นไปบ้างหรือไม่... อาจจะมีบ้าง... แต่ฉันกลับจำมันไม่ได้เลย แต่สิ่งที่ฉันจำได้แน่นอนคือสิ่งที่ถูกกระทำและกระทำไว้ให้เป็นรอยแผลเป็นในใจจนถึงทุกวันนี้ ถึงจนทุกวันนี้มันจะเกือบจางหายไป แต่ทุกครั้งที่มียางอย่างมากระทบ รอยแผลเป็นนั้นก็พร้อมจะดูดกลืนความเจ็บปวดทั้งหมดมาไว้ในตัวฉัน และอักเสบขึ้นมาใหม่ ฉันรับรู้กลายๆตั้งแต่ ป.2 ที่เริ่มมีความคิดว่า ครอบครัวฉันไม่อบอุ่นเหมือนคนอื่น ฉันอิจฉาเพื่อนสนิท ที่เกิดมาเพอร์เฟคเหลือเกิน คุณพ่อและคุณแม่มารับที่โรงเรียนทันทีที่โรงเรียนเลิก อาจจะให้หลังสองสามชั่วโมง แต่ฉันอยู่่เป็นคนสุดท้ายของห้องเสมอ พอโตขึ้นหน่อย ฉันก็อยู่เป็นคนสุดท้ายของโรงเรียน นักเรียนมีเป็นพัน แต่ฉันกลับต้องอยู่เป็นคนสุดท้าย ฉันกลัวเสียฟ้าร้อง ฉันกลัวเสียงฝนตก ฉันกลัวโรงอาหารที่เกือบจะไม่มีใครอยู่ โตขึ้นอีกหน่อยฉันหนีสภาพความอ้างว้างและน่ากลัวไปอยู่ในร้านหนังสือที่ห้างที่เเพิ่งสร้างเสร็จ ขอบคุณที่ช่วยฉัน ไม่ให้ต้องอยู่มืดๆคนเดียว ฉันจำได้ว่าทุกเย็นที่เลิกเรียน หลังจากจบอนุบาล ฉันมีหน้าที่ต้องไปรอคุณพ่อที่ประตูโรงเรียน ฉันนั่งรอจนแดดล่ม มองนักเรียนที่เดินออกจากโรงเรียน... ฉันคงสัยว่าทำไมพ่อแม่เขาต้องเข้ามารับถึงในนี้ รอจนทั้งฟ้ากลายเป็นสีเกือบจะคราม บางวันดวงดารเริ่มสว่างบนท้องฟ้า ฉันได้แต่รอว่าเมื่อไหร่รถยนต์สีน้ำเงินจะมาจอด ฉันพร้อมจะวิ่งไปทุกเมื่อ... ตอนป.6วันเกิดของฉันพ่อพาฉันไปฝากยายเอาไว้ และไปงานเลี้ยง ฉันคิดว่าพ่อจะพาฉันไปงานเลี้ยงด้วยต่างหาก... แต่เขากลับโทรมาบอกฉันว่าลืม เพราะเห็นเพื่อนของฉันนำของขวัญวันเกิดมาให้ ฉันนั่งรอจน ห้าทุ่มพอจึงมารับพร้อมกับตุ๊กตาหมีสีขาว ฉันน้อยใจอย่างบอกไม่ถูกเขายบอกฉันว่าจับฉลากได้... ในตอนนั้นฉันคิดว่าพ่อไม่ขอเขามาต่างหาก เพราะเขาไม่มีวันที่จะจับฉลากได้ วันนั้นฉันกลับรู้สึกขอบคุณเพื่อนคนหนึ่งซึ่งไม่ลืมวันเกิดฉัน มีนาฬิกาทรายที่ฉันอยากได้มาเป็นของขวัญวันเกิด หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครสนใจวันธรรมดาวันหนึ่งอีก ฉันเองก็ไม่พยายามจะสนใจเช่นกัน แต่วันเกิด... ฉันก็อยากได้คำอวยพรทั้งนั้น นานๆไปก็คิดได้ว่าคำอวยพรก็แค่คำพูดทำอะไรไม่ได้ ทันทีที่ขึ้น ม.1 ฉันรู้สึกว่าจะแกล้งโง่ทำไมในเมื่อทำไมก็เท่านั้น วันที่พ่อขับรถไปส่งฉันตอนตี 5ไปเข้าข่าย เขาไม่รู้หรอกว่าพูดอะไรต่ออะไรให้ฉันต้องเสียใจ ไม่รู้หรอกว่าวินาทีนี้ฉันยังคงจำคำนั้นได้อยู่ จำได้กระทั้งความรู้สึกในตอนนั้น ฉันเดินลงจากรถในชุดพละสีน้ำเงิน ฉันรู้สึกเหมือนอาจจะเดินไป แล้วให้รถชนไปเสียตรงนั้น... ฉันยังเด็กและไม่พร้อมจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น ฉันเพียงแค่อยากมีครอบครัวเหมือนคนอื่น อย่างที่ฝัน อยากไปเที่ยวด้วยกันตอนที่ฉันจำความได้ ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแค่ในรูปที่ยืนยันว่า ฉันเคยไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวกับเขาเหมือนกัน ปิดเทอมฉันไม่เคยออกไหนเพียงแค่ทำงานบ้านอยู่กับบ้าน คนเดียว ฉันเห็นเวลาคุณแม่ไปดูงานที่ต่างๆก็มักจะมีลูกๆของเพื่อนไปด้วย ฉันสงสัยว่าทำไมเขาให้ฉันอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน แต่ฉันก็ไม่เคยถามและเรียกร้องอยากจะไป ทั้งๆที่เพื่อนสนิทของฉันมักชวนไปเที่ยวกับแม่บ่อย เขาชอบถามฉันว่าทำไมแกไม่ไป... ฉันจนใจจะตอบ แค่บอกว่าไม่อยากไป พอกลับมาเขามักจะเล่าอะไรต่างๆนานาทำให้ฉันอิจฉาเหลือเกิน ต้นไม้ดอกไม้ที่เชียงใหม่ช่างสวยนัก บนดอยอากาศดี มีกระเหรี่ยง พอไปเที่ยวน้ำตกก็บอกว่าสวยเหลือเกิน ฉันฟังเพื่อนเล่าอิจฉาใจจะขาด ทำไมไม่มีโอกาสแม้จะได้ไปไหนกับคุณแม่แบบเพื่อนบ้าง ฉันอยากเห็นน้ำตก ดอย กระเหรี่ยงที่ว่า ฉันพยายามที่จะไม่ฟังเขาเล่ามากนัก จนเขาจับได้ คราวหลังไปไหนเขาจังไม่ค่อยเล่าให้ฉันฟังเท่าไหร่ มีแต่ของฝากเท่านั้น ครั้งหนึ่งที่ฉันจะโดนพ่อตี น้องชายฉันพูดขึ้นมาว่า "พ่ออย่าตีพี่ไหมเลย แต่หม่อนแทนเถอะ" มันทำให้ฉันสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไมฉันถึงจะถูกพ่อตี แต่ทำไมน้อยชายถึงปกป้องฉัน ฉันไม่เคยเขียนเรียงความได้เหมือนใครๆเขียนกัน.... ฉันไม่ได้รู้สึกอบอุ่นเวลาที่อยู่ในบ้าน ตรงกันข้ามเป็นความหวาดกลัว และหวาดเกรงเสียมากกว่า ฉันไม่ได้ไว้วางใจและไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ที่บ้าน นั่นทำให้เวลาฉันมีปัญหาฉันมักจะครุ่นคิดและแก้ไขมันด้วยตัวเองเท่านั้น เลยอาจเป็นผลให้ฉันโตกว่าคนอื่นๆ เหล็กร้อนถูกหล่อหลอม พิมพ์ใด ยามเย็นคงรูปไว้ พิมพ์นั้น ตำหนิปกปิดไซร้ สลักลักษณ์ ลงลาย เปลือกนอกหลุดลอกครั้น เผยเห็น รูพรุน by yai-mai จนตอนนี้ที่ฉันอยู่มหาลัยแม้ความรู้สึกบางอย่างจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่มันก็ยังทำให้ฉันรู้สึกกลัว ที่จะพูดอะไรกับคุณพ่อและคุณแม่ตามตรงอยู่ดี หากใครถามฉันว่าทำไม ถึงเอาแต่อยู่มหาลัยฉันก็ยังคงไม่สามารถบรรยายให้ใครๆเข้าใจได้ ว่าทำไม... คำถามตอนเด็กๆนั้นมีเกี่ยวกับคำว่า Home และ House ถึงตอนนี้ฉันจะยังไม่มีคำตอบให้แม้แต่ข้อเดียว เวลาทำให้ฉันรู้ว่าคำสันนิฐานของฉันผิด อย่างมหันต์ ครั้งหนึ่งฉันเข้าใจอย่างจริงจังว่าคุณพ่อและคุณแม่ไม่เคยรักฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันเคยคิดว่า.. ถ้าความตายจะชดใช้บุญคุณที่ท่านทั้งสองมีให้ฉันได้ฉันนั้นก็จะยอมทำ แต่เมื่อความตายใกล้เข้ามาหาฉันอย่างจริงจัง ฉันพบว่าท่านทั้งสองทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ฉันจากไป เมื่อความตายใกล้เข้ามาหาฉันจริงๆ ผู้เป็นแม่แทยไม่สามารถทนอยู่เฉยมองฉันอยู่บนเตียงคนไข้ได้ ถึงจะไม่ใช่หมอแต่ทุกวิถีทางที่ท่านทั้งสองทำได้ก็จำทำ แม่นอนไม่หลับ สีหน้าไม่เป็นสุข เธอไม่ได้มีรอยยิ้มเหมือนทุกๆวัน เมื่อความตายกำลังย่างกลายมาหาฉัน ท่านตรงหน้าที่นั่งอยู่ปลายเตียงคนไข้เหมือนจะตายไปพร้อมๆกับฉัน มันทำให้ฉันอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกที่ความคิดฉันมันผิดพลาด ท่านบอกฉันว่าห้ามหลับ ขอบคุณที่ช่วงเวลาเลวร้ายนั้นผ่านมาได้ ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันคิดผิดมาตลอด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่รอยแผลเป็นที่อยู่ในใจของฉัน มันลึกเสียจนจะเยียวแล้วจริงๆ เพียงลดความทรมานลงไปบ้างเท่านั้น ความฝันลึกของฉันก็ยังคงเป็นความฝันลึกๆ ที่จะเก็บไว้ลึกจนสุดหัวใจ ว่าฉันยังอาจจะมี HOME and HOUSE not only house with out love like this i also want to spend much time more than this with dad mon and my little brother 4 people 2gether.................. too tried yai-mai swt dream all ^_^ |
lustig
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |