|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
...ทะเลเจดีย์สี่พันองค์แห่งเมือง พุกาม...
...ทะเลเจดีย์สี่พันองค์แห่งเมือง พุกาม...
เช้าวันที่สอง...เราต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ ตาลีตาเหลือกหอบสังขารกับตาที่สะลึมสะลือไปสนามบิน เตรียมขึ้นย่างกุ้งแอร์ไลน์ บินไป "พุกาม"
พุกาม อาณาจักรโบราณเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเซียอาคเนย์ กำเนิดขึ้นหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรน่านเจ้า หรือราว 1,200 กว่าปีมาแล้ว... นับว่าก่อนสุโขทัยมากมายนัก และก่อนที่จะเกิด นครวัด เสียด้วยซ้ำ
พุกามรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 พระเจ้าอโนรธาได้รวบรวมพุกามเป็นปึกแผ่น มีการค้นคิดตัวอักษรภาษาพม่าขึ้นมาเป็นครั้งแรก และได้นำพุทธศาสนาลัทธิหินยานเข้ามาสู่พม่าตอนเหนือ
ผู้คนต่างศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนากันอย่างมากมาย มีการสร้างวัดสร้างเจดีย์จำนวนมากมายขึ้นทั่วอาณาจักร เพราะเชื่อว่า การสร้างเจดีย์จะได้อานิสงส์สูงสุด เจดีย์ของชาวบ้านก็จะมีขนาดเล็ก เจดีย์ของเจ้านายชั้นสูงก็จะมีขนาดใหญ่ เจดีย์หุ้มทองก็จะเป็นของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
เจดีย์จะสร้างจากอิฐเผาสีแดงหรือไม่ก็ศิลาแลง มีหลายรูปแบบ แต่ส่วนมากจะเป็นสี่เหลี่ยมหักมุม ทรงกลมระฆังคว่ำ ทรงแบบอินเดีย ฯลฯ มีทั้งองค์เดี่ยว องค์หมู่ มากมายนับแทบไม่ถ้วน
ว่ากันว่า เจดีย์ในพุกามมีมากถึง 4 พันองค์ แต่ทุกวันนี้หลงเหลืออยู่เพียง 2 พันกว่าองค์เท่านั้น ทั้งจากที่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา และที่ถูกรื้อถอนมาสร้างเป็นกำแพงเมืองหอรบ ในสงครามครั้งสุดท้ายของพุกาม สงครามกับ พระเจ้ากุบไลข่าน แห่งมองโกล
และนั่นคือ จุดจบของ อาณาจักรพุกาม ที่รุ่งเรืองมาเกือบ 500 ปี
ถ้า .. ย่างกุ้ง.. ถูกเปรียบว่าเป็น ดินแดนแห่งเจดีย์ทองคำ พุกาม ...ก็สมแล้วที่จะถูกเรียกว่า ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์
ตลอดที่ราบริมฝั่งอิระวดี พื้นที่กว้างไกลสุดสายตา ล้วนประดับประดาไปด้วยเจดีย์ มากมายหลากหลายรูปร่าง เหมือนเข้ามาอยู่ในโลกลับแล
ด้วยเหตุนี้ พุกาม ถึงได้รับยกย่อง ให้เป็น มรดกโลก World Heritage จาก UNESCO
ด้วยปัญหาทางการเมืองภายในของพม่าเอง และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย
รัฐบาลพม่าเข้าไปบูรณะเจดีย์ส่วนใหญ่ในพุกาม โดยไม่ฟังคำแนะนำทัดทานจาก UNESCO การบูรณะ ที่น่าจะเป็นสิ่งที่ดี และจำเป็นสำหรับเจดีย์เก่าแก่กว่าพันปี ที่ทรุดโทรมจนใกล้จะพังลงมาเต็มที
แต่การบูรณะของพม่า..คือ ..การสร้างใหม่ !!! ไม่ใช่ซ่อมแซม ....
เจดีย์สีอิฐใหม่ชมพูสดใส มีให้เห็นอยู่ตลอดทาง ไม่ใช่เจดีย์อิฐเผาสีน้ำตาลอมดำตะไคร่เกาะที่บ่งบอกถึงกาลเวลา มิหนำซ้ำ รัฐบาลทหาร ยังได้สร้าง "หอคอย" ขึ้นกลางทะเลเจดีย์ เผื่อให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมทัศนีย์ภาพ หลายสิ่งหลายอย่างเหล่านี้ ทำให้ UNESCO ไม่พอใจอย่างมาก จนในที่สุดก็งดการให้เงินช่วยเหลือสนับสนุนในนามของ World Heritage
ท่ามกลางทะเลเจดีย์จำนวนมากมายทั่วพุกาม พระมหาเจดีย์ที่สำคัญที่สุดของพุกาม และเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพม่า พระมหาเจดีย์ที่สำคัญเป็นอันดับสอง รองจาก ชเวดากอง ในกรุงย่างกุ้ง นั่นคือ.. "พระเจดีย์ชเวสิกอง" แห่ง พุกาม
เจดีย์ชเวสิกอง สร้างโดยพระเจ้าอโนรธา เมื่อคราวที่รบชนะมอญ ทำให้ พระเจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำศิลปะแบบมอญ ก่อนที่จะมีศิลปะแบบ พุกาม แท้ๆ เกิดขึ้น เชื่อกันว่า ภายในบรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า
"ชเว" แปลว่า ทอง "สิกอง" แปลว่า พื้นทราย
ที่ว่าเป็น "พื้นทราย" เพราะว่า พุกามตั้งอยู่เขตพื้นที่แห้งแล้ง Dry Zone ตอนกลางของพม่า ทั้งๆ ที่มีแม่น้ำอิระวดีที่ใหญ่กว่าเจ้าพระยาหลายเท่า แต่ที่ดินแถบนี้ก็แห้งแล้งเกินกว่าจะทำการเพาะปลูกได้
ไกด์พม่าเล่าว่า...ที่พุกามแห้งแล้ง เพราะคนสมัยนั้น ต่างคนต่างแข่งกันสร้างเจดีย์ ตัดไม้ เผาอิฐ...สร้างเจดีย์ ตัดไม้จนไม้หมด ผืนดินเลยแห้งแล้งเป็นทะเลทรายนับตั้งแต่นั้นมา
จะจริงจะเท็จไม่รู้... รู้แต่ว่า... ถ้าเมืองไทยยังตัดไม้อยู่แบบนี้ อีกหน่อยคงเป็นทะเลทรายเหมือนที่พุกาม
เจดีย์ที่เหลือในทะเลเจดีย์ทุกวันนี้ทั้ง 2 พันกว่าองค์ ส่วนมากเป็นเจดีย์ร้าง วัดร้าง ไม่มีพระสงฆ์อาศัยอยู่ แต่ด้วยแรงศรัทธาต่อพระศาสนา และการเกรงกลัวต่อบาปที่ฝังลึกในจิตใจของชาวพม่า
เจดีย์ยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ถูกขุดรื้อทำลาย พระพุทธรูปยังคงประดิษฐานอยู่งดงามอยู่ทุกซุ้มเจดีย์ แม้แต่.. อุณาโลมเพชร ทับทิม หรือ มรกต ก็ยังไม่มีชาวพม่าคนใดกล้าเข้าไปแตะต้องลักขโมย
ถ้าเป็นเมืองไทย คงโดนตัดไปทั้งพระเศียร หรือไม่ก็ยกไปทั้งองค์นั่นละ เห้อ เศร้าใจ
เจดีย์นับพันๆ องค์ คงเที่ยวกันไม่หมด บรรยากาศน่าหาเสือหมอบมาขี่เที่ยวสักคัน ขี่เสือ ถ่ายรูป วาดภาพสีน้ำ คงสุขน่าดู ฮี่ๆ แต่จะให้ทั่วคงต้องอยู่ที่นี่เป็นอาทิตย์เลยละมั้ง
คราวนี้คงได้ไปแต่เจดีย์ที่สำคัญๆ อย่าง เจดีย์ที่สวยที่สุด "วัดอานัตตา" เจดีย์ที่สูงที่สุด "วัดสัพพัญญู" เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด "วัดธรรมยังยี" อะไรที่สุดๆ อีก จำไม่ไหวเหมือนกัน
"วัดกุปยอว์ยี" ก็มีจิตรกรรมฝาผนังที่ยังคงสีสันสดใสงดงาม ถึงแม้จะผ่านเวลามานับพันปีก็ตาม เพราะเป็นการเขียนสีบนพื้นปูนเปียก ที่เรียกว่า "Fresco"
วันนั้นเดินเข้าเจดีย์นั้น เดินออกเจดีย์นี้ เดินเท้าเปล่าทั้งร้อน ทั้งหนามตำ หินข่วน จนเท้างี้ระบมไปหมด เหอเหอ
ตกเย็นก็ปีนขึ้นไปบนยอด "มิงกาลาเจดีย์" ที่เป็นจุชมวิวที่พอขึ้นไปยืนแล้ว เหมือนลอยอยู่กลางทะเลเจดีย์จริงๆ
เจดีย์น้อยใหญ่นับร้อยนับพัน เรียงรายกระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า นับตั้งแต่ริมฝั่งอิระวดีที่ขอบฟ้า ไปจนจรดชายเขาอีกด้านหนึ่ง
ถ้าอาทิตย์ตกเมื่อวานที่ชเวดากอง ว่างามจนยากจะบรรยาย อาทิตย์ตกวันนี้ทีทะเลเจดีย์ก็ต้องบอกว่า โรแมนติกสุดๆ เหมือนกันครับ อิอิ
*** รออ่านต่ออีกน๊า ***
Create Date : 07 มิถุนายน 2548 |
Last Update : 7 มิถุนายน 2548 11:36:26 น. |
|
7 comments
|
Counter : 926 Pageviews. |
|
|
|
โดย: P' O-HO IP: 61.91.212.96 วันที่: 7 มิถุนายน 2548 เวลา:11:58:05 น. |
|
|
|
โดย: WangAnJun วันที่: 7 มิถุนายน 2548 เวลา:12:40:15 น. |
|
|
|
โดย: kip IP: 203.156.159.162 วันที่: 1 สิงหาคม 2549 เวลา:16:06:04 น. |
|
|
|
โดย: kip IP: 203.156.159.162 วันที่: 1 สิงหาคม 2549 เวลา:16:06:34 น. |
|
|
|
โดย: ไกด์ชิล ๆ... IP: 58.9.146.254 วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:16:59:24 น. |
|
|
|
โดย: - IP: 124.120.87.64 วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:17:25:41 น. |
|
|
|
โดย: 1 IP: 61.91.36.147 วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:28:31 น. |
|
|
|
|
|
|
|
อยากปายยยยยยยยย