Group Blog
 
 
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
30 สิงหาคม 2557
 
All Blogs
 

ลับแลพิศวาส 1-1

ลับแลพิศวาส

        รถสองแถวคันใหญ่บรรทุกคนเต็มจนล้น ไหนจะกระเป๋าและสัมภาระที่ติดตัวกันมาคนละใบสองใบจนต้องขนขึ้นเก็บบนหลังคาใช้เชือกเส้นโตมัดไว้ให้แน่นเนื่องจากบรรทุกมาเกินพิกัดทั้งคนและของตัวรถจึงส่ายเอียงเสียศูนย์ไปบ้างเมื่อขับบนพื้นผิวถนนขรุขระ แต่คนขับก็พยายามขับเคลื่อนให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางสัญจรนั้นเห็นได้ชัดว่าทำตามมีตามเกิดเนื่องจากผิวถนนนั้นไม่ได้ราดยางเช่นถนนใหญ่ที่เพิ่งตะบึงผ่านมาแต่เป็นเพียงดินอัดแน่นที่เกิดจากการหักร้างถางพงที่หากไม่สังเกตก็แทบจะมองไม่เห็น 

ฝุ่นดินจากล้อที่บดเบียดถนนคลุ้งตลบ เรียกเสียงกรีดร้องวี้ดว้ายสลับกับเสียงกระอักกระไอเนื่องจากสำลักเอาฝุ่นสกปรกเข้าเต็มปอดจากผู้โดยสาร ทำให้ รู้ว่าทั้งหมดนั้นล้วนเป็นหญิงสาว พวกหล่อนมีราวสิบเอ็ดถึงสิบสองคนอายุตั้งแต่ ไม่เต็มยี่สิบดีไปจนมากที่สุดคือสามสิบกว่าปี แต่ละคนคลุมหน้าตาตลอดจนศีรษะด้วยผ้าขาวม้าบ้างเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งบ้างเนื่องจากไม่ได้เตรียมการมาก่อนว่าจะพบกับการเดินทางอันแสนทุลักทุเลเช่นนี้

“โว้ย จะถึงหรือยัง เอวข้าเคล็ดไปหมดแล้ว ไอ้ฉิบหาย” หญิงที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มตะโกนขึ้นอย่างอดไม่ไหว 

หล่อนเป็นหญิงผิวคล้ำร่างเตี้ยและเจ้าเนื้อเสียจนต้องนั่งบิดตัวไปมา    อย่างอึดอัดตลอดทาง บนที่นั่งซึ่งแบ่งเป็นสองแถวแสนคับแคบของรถโดยสาร

“จะตายก่อนได้ทำงานไหมวะนี่” 

หล่อนควักยาดมขึ้นมาสูดแต่ครั้นเปิดผ้าที่ใช้ปิดจมูกก็กลับสำลักฝุ่นจนไอออกมาอีกหลายครั้งตามด้วยเสียงด่าทอและสบถลั่นรถ เด็กสาวผู้ร่วมทางหลายคนก้มหน้าซ่อนยิ้มบ้างก็มองทิวทัศน์รอบข้างแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากไม้ยืนต้นสูงแน่นขนัดตลอดสองข้างทาง

“เขาว่าที่นี่ให้เงินดีไม่อย่างนั้นไม่ทนลำบากกันขนาดนี้หรอก” 

สาวคนหนึ่งพูดกับเพื่อนร่วมทางที่นั่งติดกันแต่กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จนคนพูดถึงกับหันไปมองอย่างไม่พอใจและยิ่งรำคาญเข้าไปอีกเมื่อฝ่ายนั้นทำท่าราวไม่สนใจหรือแม้แต่จะรับรู้

หญิงสาวคนที่ว่านั้นนั่งนิ่งไม่วอกแวกไปกับความวุ่นวายใดๆ ไม่ทำแม้กระทั่งหันซ้ายหันขวามองทิวทัศน์เช่นคนอื่น หล่อนแต่งกายด้วยกางเกงผ้าและเสื้อแขนยาวสีเข้มอย่างมิดชิดทั้งยังเป็นคนเดียวที่มีผ้าคลุมผมสีเข้มพันปิดหน้าไว้เสียครึ่งๆ ตั้งแต่แรกแถมยังรีบขึ้นรถมาเป็นคนแรกขยับเข้าไปนั่งด้านในสุดไม่พูดและไม่มองหน้าหรือสบตากับใครเลยตั้งแต่รถเริ่มออกจากท่า

“เขาหูหนวกหรือเปล่า” 

หญิงคนที่นั่งตรงข้ามและสังเกตอากัปกิริยาเช่นกันร้องทักขึ้น ทันทีที่พูดออกไปดวงตาคมวาวภายใต้ผ้าคลุมรุงรังนั้นตวัดขึ้นมองหน้าคนพูดทันควัน แววตาที่กร้าวกระด้างวาบแสงขึ้นอย่างเอาเรื่องจนคนพูดหน้าเสีย ไม่กล้าสบตาหรือตอแยอีกนึกในใจว่าแม่นั่นไม่ได้หูหนวก...หนำซ้ำยังดุมากเสียด้วย

รถโดยสารยังคงเคลื่อนตัวต่อไป ถนนที่ขรุขระเริ่มราบเรียบขึ้นจนพอนั่งกันได้สบายๆ พักใหญ่ต่อมาฝุ่นที่คละคลุ้งก็เบาบางลงตามสภาพถนน ต้นไม้ที่เคยขึ้นอย่างระเกะระกะหนาทึบเริ่มกลายเป็นไม้ยืนต้นที่ปลูกเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ บางพื้นที่เป็นไม้ผลต้นเตี้ยที่เริ่มติดดอกออกผลแสดงให้เห็นถึงความฉ่ำชื้นอุดมของผืนดินรวมไปถึงการดูแลอย่างดี ความมืดมัวของแนวป่าทึบเริ่มสว่างไสวขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเมื่อรถชะลอความเร็วลงจนจอดนิ่งที่ป้ายทางเข้า “บ้านไร่รุ่งอรุณ” บรรยากาศยิ่งสดใสรับแสงอาทิตย์เต็มที่ เนื่องจากพื้นที่เบื้องหลังนั้นเป็นลานโล่งปรับพื้นที่เป็นเนินสูงสลับต่ำคล้ายกับพื้นที่ตามสนามกอล์ฟทั่วไป ตลอดบริเวณเท่าที่มองเห็นนั้นปกคลุมด้วยต้นหญ้าที่ถูกดูแลจัดแต่งจนเรียบเสมอกันและเขียวชอุ่มจนคล้ายพรมนุ่ม

“ไร่รุ่งอรุณ ลงที่นี่เลย” 

เด็กท้ายรถตะโกนบอก สาวๆ เกือบทุกคนขยับตัวด้วยสีหน้ายินดีบางคนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกเนื่องจากการเดินทางยาวนานถึงจุดหมาย พวกหล่อนลงจากรถอย่างกระฉับกระเฉงด้วยใบหน้าเปี่ยมความหวังรับเอากระเป๋าสัมภาระจากเด็กท้ายรถทยอยลงไปยืนเรียงทีละคน รอให้นายหน้าหางานซึ่งนั่งคู่มากับคนขับในตอนหน้าเป็นผู้สั่งการ ในไม่ช้าหญิงสาวกว่าสิบคนก็ลงจากรถเกือบหมดยังคงเหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่ยอมเคลื่อนกายไปไหน

“เอ้า ป้าไม่ลงมาล่ะ มาทำงานที่ไร่รุ่งอรุณไม่ใช่หรือ” 

เด็กท้ายรถถามอย่างสงสัย 

“เขาลงกันหมดแล้วทำไมป้ายังช้าอยู่อีก เร็วเข้าสิพวกฉันต้องกลับแล้ว”

“ข้าไม่ได้มาที่นี่” นางค้อนปะหลับปะเหลือกด้วยความโกรธกรุ่นที่ถูกเรียกว่าป้าทั้งที่อายุอานามยังไม่แก่พอเป็นแม่ของไอ้หนุ่มรุ่นยี่สิบได้ มืออวบควักกระดาษที่ยับยู่ออกจากอกเสื้อชุ่มเหงื่อเพื่อดูชื่อที่อยู่ของจุดหมายปลายทาง น่าเสียดายที่ตัวอักษรเล็กจิ๋วและหมึกปากกานั้นเลอะเลือนเพราะเหงื่อที่ไหลเหมือนน้ำทำให้แหล่งข้อมูลเดียวที่มีพลอยอ่านไม่ออกไปด้วย

“ไม่มีแล้วป้า ไร่รุ่งอรุณนี่ล่ะเขารับคนงานบ่อยนอกนั้นก็ไม่มีที่ไหนแล้ว”

“ไม่ใช่โว้ย ไม่ใช่ชื่อนี้ ชื่อ..อะไรวะ ชื่อเหมือนพระเอกลิเกข้าจำไม่ได้”
        หล่อนเพ่งมองกระดาษเกาหัวหูวุ่นวายก็ยังบอกไม่ได้ ทำให้เจ้าเด็กท้ายรถนั้นถึงกับปล่อยก๊ากออกมา

“ทัดเทวา” เสียงตอบมาจากคนที่นั่งห่อตัวอยู่ที่นั่งด้านในสุดหล่อนปลดผ้าคลุมออกบางส่วนแล้วแต่ก็ยังมองเห็นหน้าไม่ชัดอยู่ดี ดวงหน้าในเงาหันมาทางเด็กท้ายรถบอกอย่างชัดเจน 

“ทัดเทวา...ที่ผาสิงห์” 

ชื่อสั้นที่ไพเราะนั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มที่ยังหัวเราะขันถึงกับชะงักค้าง กระทั่งมวนบุหรี่ที่ถือไว้ตั้งใจจะจุดสูบยังพลัดตกจากมือจนเจ้าตัวตะครุบไว้ไม่ทัน

“ว่าไงนะเจ๊ จะไปผาสิงห์เหรอ” มันกลืนน้ำลายเหนียวลงคอวิ่งไปเก็บบุหรี่ที่ตกพื้นก่อนจะเดินหน้าตาตื่นไปกระซิบกระซาบกับคนขับ

“ลูกพี่ เหลือสองคนไปผาสิงห์” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดอากาศเย็นสบายจึงได้กลับกลายเป็นร้อนอ้าวจนเหงื่อแตกได้ในฉับพลันเพียงแค่เอ่ยชื่อ

“ข้ารู้แล้ว...นายสั่งมา” ชายวัยสี่สิบห้าพลอยปาดเหงื่อ นายที่ว่าหมายถึงเถ้าแก่ฮ้อเจ้าของคิวรถโดยสารขาใหญ่เจ้าเดียวในตัวจังหวัด

“ตะ...ตะ...แต่ว่า ลูกพี่ก็รู้...ที่นั่น” ไอ้หนุ่มวัยคะนองคอแห้งขึ้นมาเสียเฉยๆ 

“เออ ข้ารู้ แต่เขาจะไปแค่เรือนใหญ่ไม่ได้เข้าไปถึงข้างใน เอ็งก็รีบๆ เข้า จากที่นี่ไปก็แค่สิบนาทีถึงจะได้รีบไปรีบกลับ”

เด็กหนุ่มรับคำอย่างลนลานปีนบันไดเล็กขึ้นบนหลังคารถคว้ากระเป๋าสัมภาระที่เหลือเพียงสี่ใบโยนโครมลงพื้นม้วนตาข่ายและเก็บเชือกอย่างลวกๆ ก่อนจะปีนกลับลงมารวดเร็วจากนั้นจึงยกกระเป๋าเสื้อผ้าส่งให้กับผู้โดยสารและรีบขึ้นนั่งตอนหน้าคู่กับคนขับพร้อมกับกดล็อกประตูปาดเหงื่อทันใด

“เจ้าประคุ้นช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วยเถอะ ลูกช้างยังหนุ่มยังแน่นยังอยากอยู่ดูโลกไปอีกนานๆ” เด็กหนุ่มยกพระเครื่องที่คอขึ้นพนมไหว้ท่องพึมพำไปตลอดทาง

“อุวะไอ้ยอด เอ็งจะกลัวจนขี้หดอะไรขนาดนั้นก็คนเหมือนเรานี่ล่ะโว้ย ไม่ใช่ผีสางที่ไหน”

“ลูกพี่อย่ามาปลอบฉันเลย ถ้าไม่น่ากลัวแล้วนี่เอาปืนเหน็บเอวมาด้วยทำไม” เจ้ายอดเหลือบตามองด้ามปืนสั้นที่เห็นแวบๆ 

“มิน่าไอ้ทอมมันไม่ยักกะแย่งฉันมาเหมือนทุกครั้งขนาดว่ารอบนี้มีแต่สาวๆจิ้มลิ้มเต็มรถ มันยังบอกฉันเลยว่าโชคดีฉันน่าจะเฉลียวใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วทำไมลูกพี่ไม่บอกกันก่อน”

“บอกก่อนเอ็งก็ไม่มาสิวะ คนที่เหลือไม่มีใครยอมมาสักคน”

“โอ๊ย ก็ใครจะยอมมาเล่า” 

ยิ่งรถเคลื่อนลึกเข้าไปตามทางเจ้าหนุ่มขี้ปอดยิ่งปาดเหงื่อมองซ้ายขวา กลอกตาลอกแลกอย่างหวั่นใจ

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเคยไปส่งของที่นั่นบ้างไม่มีอะไรน่ากลัว”

“เขาว่านายใหญ่ของที่นั่นเป็นบ้า บางคืนเห่าหอนเหมือนหมา” 

“ไอ้บ้าเอ๊ย ไปฟังไอ้ทอมมัน” นายอินทร์ถึงกับขำพรืดพร้อมกับส่ายหน้า “เขาเลี้ยงหมาไว้เยอะเฝ้าบ้านบ้างเฝ้าไร่ก็มีบางคืนหมามันหอนคนที่ไหนจะหอนได้โตเป็นควายแล้วยังให้มันหลอกอยู่ได้”

“จะไปรู้เรอะ ก็ไอ้ทอมมันว่าน้ามันทำไร่กาแฟอยู่ที่นี่ได้ยินทุกคืนแถมยังว่ากันว่าเจ้าของก็โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ บางวันนึกสนุกปล่อยคนงานเป็นเหยื่อล่อหมาหรือใช้เป็นเป้ากระสุนยิงเล่นแทนล่าเก้งกวาง ถ้าแกเกิดโมโหขึ้นมาวันไหนก็จับคนมาเฆี่ยนหรือไม่ก็ตัดแขนขาโยนให้แร้งกามันแทะกิน อย่างนี้เลยนะลูกพี่”

“อันนี้ก็ไม่รู้ว่ะแต่บอกตรงๆ จะอยู่แถบนี้ถ้าไม่โหดพอก็โดนเก็บเอ็งรู้ไหมว่าช่องเขาข้างหลังนั่นตรงเชิงผาสิงห์นั่นน่ะทางผ่านคาราวานยาของไอ้เลาลีเชียวนะเอ็งทำเป็นเล่นไป” 

เพียงได้ยินเด็กหนุ่มถึงกับหนาวเยือกหน้าซีดลงกับตา ชื่อ“เลาลี”นั้นน่ากลัวไม่น้อยไปกว่าเจ้านายใหญ่ของผาสิงห์ด้วยว่าเป็นโจรค้ายาเสพติดชื่อดังที่ถูกทางการหมายหัวแต่ยังตามจับตัวไม่ได้จนป่านนี้ คาราวานของเลาลีนั้นชาวบ้านรู้กันดีว่าผ่านไปที่ใดก็ราวกับมีพญามัจจุราชเดินทาง ถ้าโชคร้ายเจอเข้าต้องหนีไปให้ไกลเพราะ   เมื่อใดที่ถูกพวกมันพบเห็นเข้าจะถูกฆ่าปิดปากทันทีโดยไม่มีการถามไถ่

“ตั้งชื่อเสียเพราะเลย “ทัดเทวา” นึกถึงเทวดานะลูกพี่นะ แต่ไหงของจริงน่ากลัวฉิบ”

“นั่นน่ะนามสกุลเขาเอามาตั้งเป็นชื่อไร่ ชื่อหมู่บ้าน พวกทัดเทวาเป็นตระกูลเก่าแก่ เจ้าของที่ทางแถบนี้เกือบหมดสืบเชื้อสายขึ้นไปเป็นขุนนางผู้ดีเก่าไหนจะลูกหลานก็เป็นข้าราชการป่าไม้ทุกรุ่น เห็นเขาว่ากันว่ามีเป็นรัฐมนตรีช่วยอยู่คนหนึ่งในรัฐบาลนี้น่ะเอ็งเอ๊ย”

“ขนาดนั้นเลยเหรอโม้แล้วมั้งลูกพี่ คนรวยอย่างนั้นจะมาทำอะไรในป่า  ในดงอยู่กรุงไม่สบายกว่าเร้อ” ไอ้หนุ่มเพิ่งหัวเราะออกเป็นครั้งแรก 

“แล้วพี่สาวสองคนนั่นเขามาทำอะไรกันผู้ชายแท้ๆ เขายังไม่กล้ามาเลยแล้วนี่คนหนึ่งก็ป้าอ้วนอีกคนก็คลุมผ้ารุงรังอย่างกับคนเป็นโรค จะมาทำอะไร้” 

เด็กหนุ่มพูดพลางมองกระจกส่องข้างที่เห็นเพียงด้านหลังของผู้โดยสาร ทั้งสองซึ่งนั่งนิ่งรอคอยการเดินทางสู่จุดหมายอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน

“เห็นว่าขาดแม่ครัวกับคนรับใช้”

“ทำไมลูกพี่รู้ดีจัง” เจ้ายอดถึงกับมองอย่างทึ่งลูกพี่รู้ดีแต่ไม่ปริปากบอกกันสักคำ

“อุวะ ก็ขามาเที่ยวก่อนคนที่นี่เขาฝากข่าวไปให้เจ้านายหาคนให้”

“เขารู้จักกันเหรอ ทำไมไม่โทรศัพท์ล่ะลูกพี่ทำไมต้องฝากข่าว”

“สัญญาณมันเข้าไม่ถึง แถวปากทางนี้ยังพอติดต่อได้แต่ถ้าเข้าเขตผาสิงห์แล้วล่ะก็ได้แต่โทรศัพท์บ้านว่ะ พวกสัญญาณมือถือหายเกลี้ยง”

“แปลก ที่ทางมันก็ไม่ถึงกับกันดารอะไรนี่ลูกพี่ถ้าขึ้นเขาก็ว่าไปอย่าง”

“ที่แถวนี้เขตอันตรายอีกอย่างเคยได้ยินพวกที่มาสำรวจบอกว่าพื้นที่มันเป็นจุดอับสัญญาณ เขาว่างั้น”

“แค่ผ่านยังไม่อยากผ่านเล้ย” เด็กหนุ่มมองประตูทางเข้าที่เห็นอยู่เบื้องหน้าอย่างหวาดๆ ป้าย “ทัดเทวา” ที่เขียนขึ้นอย่างหยาบๆ บนเสาประตูนั้นหลุดเอียงกะเท่เร่ประตูไม้หรือก็เก่าคร่ำช่างแตกต่างจากบ้านไร่รุ่งอรุณที่ผ่านมาอย่างลิบลับ…เหมือนสวรรค์กับนรก

“มิน่า ไม่มีใครมาทำงานที่นี่” เด็กหนุ่มเปิดประตูรถก้าวพรวดลงไปตะโกนเสียงแจ๋ว 

“ถึงแล้วจ้าคุณป้าคุณเจ๊ รีบไปเถอะเดี๋ยวจะมืดเสียก่อนมนุษย์หมาป่าจะออกอาละวาด” 

เจ้าตัวตะโกนหยอกอย่างสบายใจได้เพราะเสร็จสิ้นภาระของตน เวลาบ่ายแก่แล้วถ้ารีบกลับออกไปก็น่าจะถึงบ้านก่อนมืด ผู้โดยสารสองคนสุดท้ายลงจากรถ หญิงอ้วนบ่นยืดยาวในขณะอีกคนนั้นยังคงเงียบกริบ เจ้ายอดเด็กท้ายรถอดมองตามร่างสมส่วนในชุดสีเข้มนั้นไม่ได มันนึกในใจพี่สาวคนนี้ถ้าไม่ดูลึกลับจนน่ากลัวก็ถือว่าทรวดทรงยวนใจเป็นบ้า 

ทั้งเอวคอดกิ่วและช่วงขาเพรียวงาม แม้มันจะถูกพรางด้วยเสื้อผ้าหลวมๆแต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของเด็กหนุ่มช่างสังเกตไปได้มันนึกในใจ...เข้าไปอยู่ที่นั่นไม่รู้จะได้กลับออกมาอีกหรือเปล่า เด็กหนุ่มกระชากประตูรถปิดปังปากก็เร่งลูกพี่ยิกๆ 

“ไปเถอะลูกพี่รีบไปดีกว่าจะค่ำแล้ว”

“บางทีคนก็น่ากลัวกว่าผีว่ะ ไอ้ยอด” นายอินทร์บอกพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ เร่งคันเร่งพารถโดยสารตะบึงกลับทางเดิมกระทั่งลับตาไป 

หญิงทั้งสองเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาถือ คนร่างอ้วนอดนึกเสียดายที่เลือกกระเป๋าใบโตแบบหิ้วแทนที่จะสะพายเป้เหมือนเพื่อนแปลกหน้าด้วยว่ามันคล่องตัวกว่ามาก เพื่อนร่วมทางสะพายกระเป๋าใบหนึ่งและหิ้วกระเป๋าใบเล็กอีกใบเท่านั้น ก็เดินตัวปลิว ในขณะที่หล่อนยักแย่ยักยันหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตถึงสองใบ

“จะทำยังไงล่ะ ไม่เห็นหมาสักตัว” หญิงอ้วนบ่นพึมเมื่อเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร

“ต้องเดินเข้าไป” เสียงนั้นฟังอู้อี้เพราะมีผ้าปิดปากปิดจมูก

“รู้ได้ยังไงยะ เคยมาหรือไง” คนฟังปาดเหงื่อตวาดใส่อย่างฉุนเฉียว 

นิ้วเรียวของคนข้างๆชี้ที่ป้ายข้างทาง เสาไม้โย้เย้ติดแผ่นไม้เก่าคร่ำวาดด้วยสีขาวเป็นรูปลูกศรชี้ไปเบื้องหน้า เสียงนั้นยังบอกต่อ

“รอบข้างนี่เป็นป่าแต่ถนนเส้นนี้ราบเป็นทาง ก็ต้องเดินทางนี้ หรือจะลัดเข้าป่า” หล่อนว่าให้

“รู้งี้ไม่รับงานก็ดี น่าขนลุกชะมัดมีตัวอะไรบ้างก็ไม่รู้” หล่อนพูดลอยๆก่อนจะหันมาถามเพื่อนร่วมทางที่มีอยู่แค่คนเดียว 

“ชื่ออะไร ฉันชื่อเพ็ญศรีเรียกเพ็ญก็ได้ แล้วเธอล่ะ” อย่างน้อยการผูกมิตรไว้ก็น่าจะดีกว่า

“วัน”

“อะไรนะชื่อวัน...วันอะไรล่ะวันจันทร์หรือวันอังคาร คนอะไรชื่อวันคำเดียว” หล่อนบนราวกับรำพึงกับตนเองเพราะคู่สนทนาไม่ตอบ

“เธอมาทำงานหน้าที่อะไร” เพ็ญศรีถามอีก 

เมื่อได้รับแต่ความเงียบตอบกลับมาจึงถามย้ำอย่างอยากรู้

“ก็มาทำอะไรล่ะ” คราวนี้เสียงตวัดห้วนรำคาญ

“ฉันเป็นแม่ครัวเคยเปิดร้านขายอาหารตามสั่งอยู่แถวมหาทะลัย” หล่อนบอกชื่อมหาวิทยาลัยเล็กๆ ในตัวจังหวัด 

“ตอนหลังคู่แข่งมาก แล้วบ้านแถวนั้นนะเอะอะก็ทำเป็นร้านขายอาหาร ข้าว ส้มตำ กาแฟ หรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เปิดกันเยอะแยะไปหมด มีแค่ห้องเล็กนิดเดียวก็ยังจะเปิดลูกค้ามีเท่าเดิมก็ต้องแย่งกัน ไอ้ฉันทนนั่งตบยุงรอไม่ไหวเลยว่าออกมาหางานประจำดีกว่าพวกแม่บ้านทำครัวอย่างน้อยก็มีรายได้เป็นเดือนไม่ต้องไปรอลุ้นว่าจะขาดทุนมากหรือน้อย” หล่อนพล่ามเสียยืดยาวกว่าจะนึกได้ว่าคำถามที่ถามไปยังไม่ได้รับคำตอบ

“ว่าไงหล่อน มาทำอะไรที่นี่”

“เขาประกาศรับสองคน” นอกจากจะเสียงเข้มแล้วตาดุใต้ผ้าคลุมรุงรังนั้นยังตวัดมองอีกด้วย คาดว่าหล่อนคงถอนหายใจอย่างรำคาญ 

หญิงอ้วนได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้วทำท่านึก

“อ๋อ...เป็นคนใช้” หล่อนหัวเราะคิกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย 
        ...ก็เป็นแม่ครัวมันน่าจะดีกว่า...คนรับใช้




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2557
1 comments
Last Update : 13 มกราคม 2558 7:55:43 น.
Counter : 689 Pageviews.

 

ลึกลับน่าติดตาม รออ่านตอนหน้าจ้ะ

 

โดย: ดอกฝิ่น IP: 124.122.240.141 31 สิงหาคม 2557 12:24:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ดาวกันยา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




พูดไม่ค่อยเก่งแต่รักหมดใจ

Friends' blogs
[Add ดาวกันยา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.