Group Blog
 
 
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
30 เมษายน 2556
 
All Blogs
 

รอยตราพิศวาส ตอนที่ 2 part 1

เมื่อครั้งสิริญอายุได้สิบแปดปีและยังเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอกไม่ประสามีคนร่ำรวยมาซื้อที่ติดกับบ้านของเธอ บ้านหลังนั้นไม่ใหญ่โตแต่สร้างอย่างทันสมัยตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายเล็กๆที่แตกแขนงมาจากสายใหญ่อันเป็นแบบที่คนมีเงินเหลือเฟือชอบกันนัก บริเวณรอบบ้านนั้นกว้างขวางแต่ก่อกำแพงสูงทึบโดยรอบเนื้อที่เกือบทั้งหมดเต็มไปด้วยต้นไม้ทั้งที่ขึ้นตามธรรมชาติและที่ผ่านการจัดแต่งลิดรอนกิ่งก้านด้วยฝีมือคนสวน

สิริญรู้แต่เพียงว่าเป็นบ้านพักของเศรษฐีจากกรุงเทพมาสร้างไว้สำหรับเป็นที่พักผ่อนชั่วครั้งชั่วคราวที่ดินบริเวณนั้นแต่เดิมเป็นของลุงสุพลผู้ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนบ้านและผู้อาวุโสที่นับหน้าถือตาของชาวบ้านหลังจากขายที่ผืนนั้นไปลุงสุพลยังรับเป็นธุระเรื่องการก่อสร้างไปจนถึงดูแลบ้านให้กับเจ้าของบ้านอีกด้วย 

ชาวบ้านต่างตื่นเต้นกับบ้านหลังใหม่ที่รูปทรงทันสมัยแปลกตาพากันหาโอกาสแวะเวียนมาดูบ้างก็ชะเง้อชะแง้ด้วยความชื่นชมกันเป็นทิวแถว แต่สิริญกลับได้รับสิทธิพิเศษสามารถเข้านอกออกในบริเวณบ้านหลังนั้นได้อย่างสบายเพราะเป็นที่เอ็นดูของลุงสุพล

วันที่สิริญได้ยินถ้อยคำบาดหูของแม่เลี้ยงและลูกสาวนั้นเธอหลบไปนั่งกอดเข่าร้องไห้กระซิกตามประสาเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะหลังนี้สิริญมักหาที่เงียบๆร้องไห้จนเหนื่อยแล้วค่อยกลับบ้านวันนั้นเธอร้องไห้อยู่คนเดียวเป็นนานจนพอใจ สูดน้ำมูกฟืดฟาดคัดจมูกหายใจไม่สะดวกค่อยเงยหน้าขึ้นมาหายใจให้เต็มที่และแล้วสิริญก็ได้พบกับเขา ในนาทีนั้นเด็กสาวกะโปโลที่เนื้อตัวมอมแมมแถมหน้าตายังเลอะไปด้วยน้ำตาก็ได้พบกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนจ้องเธอเหมือนมองตัวประหลาด

เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผมยาวเกินกว่าทรงที่วัยรุ่นนิยมกันในตอนนั้นเส้นผมสีเข้มละเอียดอ่อนพลิ้วปรกใบหน้าเสี้ยวหนึ่ง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดาก็จริงแต่รูปร่างหน้าตารวมถึงท่าทางที่ดูมั่นใจผึ่งผายอย่างคนชินกับการออกคำสั่งทำให้มีรัศมีบางอย่างที่น่าเกรงขามเขาน่าจะอายุมากกว่าสิริญหลายปีและกำลังมองสิริญด้วยสายตาประหลาดใจแกมขบขัน

“มองอะไร” เพราะความตกใจปนโมโหทำให้สิริญตวาดเขาก่อนแถมยังตวัดตามองค้อนอย่างไม่พอใจ

“ยังจะถามอีก” เขาจ้องสิริญกลับใช้น้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ทรงพลังอย่างประหลาดสิริญนั้นกำลังโมโหระคนน้อยใจจึงไม่ได้รู้สึกกลัวเกรง เธอกำลังหาใครสักคนมารองรับโทสะที่หาทางระบายออกไม่ได้อยู่แล้ว

“มาจากไหนน่ะ เข้ามาได้ยังไง ที่นี่เป็นที่ส่วนตัวนะบุกรุกเข้ามาแบบนี้จะต้องโดนจับโยนออกไป”

“ก็เดินเข้ามาเรื่อยๆไม่เห็นมีใครว่าเป็นเจ้าของหรือไง”

“ไม่ใช่หรอกแต่เป็นคนดูแลที่นี่” เธออ้างไปตามเรื่อง ลุงสุพลอนุญาตให้สิริญเข้ามาเมื่อไรก็ได้ตามต้องการบางครั้งก็มานั่งดูคนงานซึ่งก็เป็นลุงป้าน้าอาในหมู่บ้าน ช่วยวิ่งซื้อน้ำแข็งหรือเอากระติกน้ำไปเติมน้ำที่บ้านมาให้บ้างนั่นก็เท่ากับว่าสิริญเป็นผู้ช่วยของลุงสุพล

“ร้องไห้ทำไม”

“ไม่ต้องยุ่ง” เธอเถียงเป็นเด็กๆ“ออกไปเลย”

“ไม่ไป จะทำไม”จู่ๆเขาก็เอาเสื่อผืนเล็กที่ถือมาปูในที่ร่มข้างๆกับที่สิริญนั่งอยู่ ตบหมอนหนุนใบเล็กให้ฟูโยนลงไปทอดตัวลงนอนอย่างไม่ใส่ใจและกางหนังสือเล่มเล็กออกอ่านสิริญเห็นกิริยาของเขาแล้วก็เดือดปุดตั้งใจจะเอาเรื่องเต็มที่แต่พอเห็นหนังสือที่เขาอ่านแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ เด็กสาวยื่นหน้าไปดูใกล้ๆหนังสือเล่มเล็กนั้นเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่มตั้งแต่หน้าปกสันปกไปจนถึงด้านในไม่มีภาษาไทยแม้แต่คำเดียว

“อ่านภาษาอังกฤษเหรอไม่ต้องเปิดดิกเลยหรือไง”

สิริญถามอย่างทึ่งจัดเธอถือวิสาสะเข้าไปนั่งขัดสมาธิบนเสื่อของเขาอย่างปราศจากอาการเคอะเขินใดๆในเวลานั้นรูปลักษณ์หล่อเหลาของเขาไม่ได้รบกวนจิตใจเด็กสาวเลยแม้แต่น้อยเขาหน้าตาดีรูปร่างดีก็จริง แต่สิริญไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนในเชิงชู้สาวมาก่อนในหมู่บ้านนี้ไม่มีเด็กรุ่นเดียวกันมากนักโดยเฉพาะเด็กผู้ชาย เมื่อเรียนจบประถมหกหรือมัธยมสามก็มักเข้ากรุงเทพหางานทำอีกอย่างคือฐานะลูกสาวคนเดียวของครูสันต์นั้นดูสูงส่งนักสำหรับชุมชนเล็กๆแห่งนี้จึงไม่เคยมีผู้ชายเข้ามาวอแวเด็กสาวอายุเต็มสิบแปดอย่างสิริญยังไม่เคยมีอารมณ์รักใคร่ประสาหนุ่มสาว

ในหนังสือที่สิริญอ่านนั้นโดยมากเป็นเรื่องย่อนิยายที่ทำเป็นละครโทรทัศน์พระเอกที่บรรยายไว้มักเป็นคนหนุ่มฐานะดีขับรถคันโก้และอยู่บ้านหรูหรา ไม่ใช่หนุ่มแปลกหน้าที่นุ่งกางเกงขาสั้นเสื้อยืดแถมทำท่าเหมือนไม่อยากเสวนากับเธอแบบนี้เขาจึงห่างไกลนักกับเทพบุตรในฝันของสาวน้อยอย่างสิริญถึงกระนั้นความแปลกแยกที่ฉายออกมาจากบุคลิกลักษณะของเขาก็ดึงดูดเธอให้เข้าหา ดั่งสิ่งแปลกใหม่ที่ผุดโผล่ขึ้นมาในชีวิตซ้ำซากอันน่าเบื่อ

“อ่านได้จริงๆเหรอ นานมั้ยกว่าจะจบเล่ม”

“ไม่นานหรอก ถ้าไม่มีคนกวนเดี๋ยวก็จบ”

“เรื่องเป็นไง”สิริญไม่สนใจที่เขาแขวะว่าเธอเป็นคนที่มากวนใจ เธอสนใจหนังสือที่เขาอ่านมากกว่าหน้าปกหนังสือนั้นเป็นสีดำสนิทมีเพียงรูปปราสาทหินเก่าแก่แลดูวังเวงน่ากลัวมีค้างคาวหลายสิบตัวบินวนอยู่รอบๆ

“ก็เรื่องผี พระเอกเป็นนักปราบผีล่าแวมไพร์”

“ฉันเคยอ่านพระเอกเป็นแวมไพร์นางเอกเป็นคนตอนท้ายก็รักกัน”เพื่อนๆของสิริญเคยเอามาอ่านกันแต่มันหนาและมีตั้งหลายเล่มสิริญอ่านไม่จบก็เบื่อเสียก่อน

“ไม่ใช่เรื่องชวนฝันแบบนั้นสักหน่อย” เขาทำเสียงรำคาญเบี่ยงกายหันหน้าหนีไปเสียอีกทาง

“เล่าให้ฟังหน่อยสิ” เธอคะยั้นคะยอเขาด้วยการเขย่าแขนเขย่าตัว เขาเมินหนีในทีแรกแต่พอสิริญตื้อไม่เลิกก็ทำหน้าเบื่อๆแล้วค่อยๆเล่าเรื่องจนสิริญนั่งฟังเพลินนิยายที่สิริญเคยอ่านเป็นแนวโรแมนติกเรื่องราววนไปวนมาเกี่ยวกับรักๆใคร่ๆพระนางเข้าใจผิดงอนง้อกันสุดท้ายก็รักกันหวานชื่นแต่เรื่องแนวลึกลับตื่นเต้นแบบนี้เธอไม่เคยอ่านมาก่อน

พระเอกของเรื่องเป็นนักล่าแวมไพร์เขาต้องคำสาปให้เป็นผู้ชำระบาปและมีชีวิตเป็นอมตะต้องต่อสู้กับคู่ปรับที่เป็นเจ้าแห่งปีศาจร้ายได้พบรักกับผู้หญิงหลายคนแต่พวกเธอเหล่านั้นถูกพรากไปเสียด้วยความตายเรื่องราวที่เขาเล่าเริ่มจากง่ายๆไม่ซับซ้อนและค่อยทวีความตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งน้ำเสียงของคนเล่ายังดังกังวานชัดเจนที่สำคัญคือเขาเรียบเรียงได้อย่างสนุกไม่น่าเบื่อ

“แค่นี้แหละยังอ่านไม่จบ” จู่ๆเขาก็บอกเมื่อสิริญกำลังฟังอ้าปากหวอ

“เมื่อไรจะอ่านจบ”

“ก็บอกแล้วไงถ้าไม่มีคนกวนเดี๋ยวก็จบ”

“งั้นฉันจะรอ”สิริญลงนอนข้างเขาเสียดื้อๆผู้ชายแปลกหน้าขยับตัวออกห่างเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับลุกหนี

“คุณอ่านไปเล่าไปก็ได้” สิริญยกย่องเขาเรียกเขาว่า “คุณ” เพราะคนที่อ่านภาษาอังกฤษเก่งถึงขั้นแปลได้โดยไม่ต้องพึ่งดิกชันนารีต้องเป็นคนมีความรู้สูงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ

เขาไม่ตอบและไม่สนใจสิริญอีกต่อไป สิริญได้แต่รอจนม่อยหลับไปเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ได้นอนอ่านหนังสือแล้วเขาลุกนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆและดูเหมือนจะเฝ้ามองดูสิริญที่นอนหลับมานานแล้ว

“อ่านจบแล้วเหรอ”สิริญปิดปากหาว คิดว่าคงงีบหลับไปราวชั่วโมงเพราะแดดยามบ่ายลับทิวไม้ไปแล้วไม่ส่องตรงจัดจ้าเหมือนทีแรก

“เล่าให้ฟังหน่อย”

“ไม่เล่า อยากรู้ก็เอาไปอ่านเอง” เขาโยนหนังสือให้

“อ่านไม่เป็น”สิริญหน้าม่อยทำเสียงออดอ้อนเหมือนที่เคยทำกับพ่อ

“เล่าให้ฟังหน่อย นะ นะ” เธอเขย่าแขนเขา ผู้ชายแปลกหน้าสั่นหัวเขายืนยันคำเดิม

“ไปอ่านเอง ถ้าสงสัยจะมาถามก็ได้ ลุกไปได้แล้วจะเก็บเสื่อ”

สิริญได้แต่ทำหน้ามุ่ยเมื่อตื้อแล้วไม่ได้ผล ความที่อยากรู้เรื่องจึงเก็บหนังสือเล่มนั้นกลับบ้านและพยายามอ่านเธอเปิดดิกชันนารีแทบทุกคำแต่ก็พบว่ามันไม่ได้ทำให้เข้าใจเรื่องราวมากนักวันต่อมาสิริญรีบไปนั่งรอเขาที่เดิมเวลาเดิม แต่ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ไม่มา จึงถือวิสาสะเดินไปที่ท่าน้ำเลยเข้าไปถึงตัวบ้านชะเง้อมองเผื่อเขาจะอยู่แถวนั้นในที่สุดก็พบเขานั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านส่วนที่ต่อเติมให้ยื่นเข้าไปเหนือแม่น้ำสายเล็กๆ

“นี่ เล่าให้ฟังหน่อยสิ นะ นะ” สิริญเดินตึงๆเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ เธอมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆไม่ได้สังเกตว่าวันนี้คนงานที่มักจะมีอยู่คนหรือสองคนทำหน้าที่เฝ้าบ้านและดูแลสวนนั้นหายหน้ากันไปหมดบ้านหลังใหญ่ที่เคยโล่งมีของมาเพิ่มเติมหลายอย่าง อีกทั้งโต๊ะเก้าอี้ตลอดจนส่วนครัวก็มีร่องรอยของการใช้งานไม่ได้คลุมผ้าทิ้งไว้เหมือนทุกที

“อย่าเสียงดัง”เจอกันคราวนี้เขากำลังตกปลาอย่างตั้งอกตั้งใจและมีสมาธิ

“เล่า” สิริญยังตื้อ“ถ้าเล่าให้ฟังจะไปขุดไส้เดือนมาให้ตกปลานะ”

“ฉันขุดเองเป็น”

“สอนฉันอ่านหน่อย”สิริญต่อรอง “ฉันแปลคำศัพท์แล้วแต่ไม่เข้าใจ”

“เขาไม่แปลทุกคำกันหรอกบางประโยคก็เป็นสำนวน” เขาอธิบาย สิริญจึงอ่านให้เขาฟังและแปลข้อความให้ฟังอย่างกะท่อนกะแท่น เมื่อผิดเขาก็แก้ให้และสอนไปด้วยในไม่ช้าสิริญก็พอจะจับทางได้ ศัพท์ภาษาอังกฤษในนิยายนั้นไม่ได้ยากหรือแปลกประหลาดเกินกว่าที่เธอเคยเรียนในชั้นเรียนเมื่ออ่านไปเรื่อยๆก็พบคำศัพท์เดิมๆ ถ้าเป็นศัพท์ใหม่เขาจะบอกความหมายให้สิริญจดไว้ไปๆมาๆนอกจากจะได้อ่านนิยายที่อยากอ่าน สิริญก็ได้ความรู้ภาษาอังกฤษชนิดที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดด

หลังจากนั้นสิริญไปหาเขาทุกวันเอาหนังสือไปอ่านและให้เขาช่วยติวบทเรียนให้จอมทัพไม่ใช่ผู้ชายช่างคุยประเภทคุยจ้อได้ทั้งวันเขาติดจะนิ่งๆถามคำตอบคำ แต่พอคุ้นเคยกันมากขึ้นและถูกสิริญตื้อบ่อยๆเขาก็เริ่มพูดเริ่มหัวเราะโดยมากจะขันสิริญเสียมากกว่า สิริญยอมรับว่าในสมัยนั้นเธอเป็นเด็กสาวเชยๆที่ไม่ใคร่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนักโตขึ้นมากับคนเฒ่าคนแก่ในบ้าน โทรทัศน์ก็ดูแต่ละครและรายการบันเทิง ยังดีที่ไม่ได้คลั่งไคล้นักร้องหนุ่มต่างประเทศจนลงทุนนั่งรถเข้ากรุงเทพไปเฝ้าตามเวทีคอนเสิร์ตเหมือนเพื่อนที่โรงเรียน

จอมทัพในยามหัวเราะอารมณ์ดีนั้นมีเสน่ห์ชวนมองมากกว่าท่าทางนิ่งขรึมมากมายนักใบหน้าคมสันนั้นกระจ่างตาด้วยรอยยิ้มกว้างและฟันขาวเรียงเป็นระเบียบเขาเป็นคนมีความรู้และเล่าเรื่องราวต่างๆได้อย่างน่าสนใจ จากความชื่นชมกลายเป็นความหลงใหลสิริญยอมรับว่าคลั่งจอมทัพเอามากๆทั้งรูปลักษณ์การพูดจาและความคิดอ่านแต่จนแล้วจนรอดสิริญก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นญาติทางไหนกับเจ้าของบ้านและเธอก็ไม่เคยถามเธอมักไปหาเขาทุกครั้งที่ว่างและจอมทัพก็จะอยู่ที่นั่นเสมอ สิริญไม่เห็นเขาทำอะไร วันๆเอาแต่พักผ่อน

เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันสิริญมักนั่งฟังเขาคุยเรื่องทั่วไปทั้งเรื่องการเรียนเรื่องความเป็นอยู่ในต่างประเทศสถานที่ผู้คนในต่างบ้านต่างมองล้วนแต่น่าสนุกตื่นใจส่วนเขาชอบฟังสิริญเล่าเรื่องการใช้ชีวิตในชนบทบางครั้งก็พากันเดินลัดเลาะไปตามสวนผักของชาวบ้านหรือไม่ก็ไปเที่ยวน้ำตกเก็บผลไม้แปลกๆมาแบ่งกันกินจนเวลาผ่านไปร่วมเดือนสิริญจึงได้รู้ว่าเขาเป็นใคร เมื่อวันหนึ่งขณะที่สิริญไปหา “พี่จอม” ของเธอตามปกติก็พบว่าเขากำลังนั่งคุยกับลุงสุพลอยู่เรื่องการจัดเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆที่จะจัดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้




 

Create Date : 30 เมษายน 2556
1 comments
Last Update : 30 เมษายน 2556 21:53:53 น.
Counter : 1147 Pageviews.

 

รอตอนต่อไปนะคะ

 

โดย: Ama_jung IP: 125.24.73.241 30 เมษายน 2556 22:48:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ดาวกันยา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




พูดไม่ค่อยเก่งแต่รักหมดใจ

Friends' blogs
[Add ดาวกันยา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.