คอมพันธุ์แท้ เรื่องแท้ ๆ ของคอมพิวเตอร์ ทั้ง Hardware Software Notebook ลงรายละเอียดแบบเอาขวานจาม

 
พฤศจิกายน 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
15 พฤศจิกายน 2550
 

30 ปีไมโครซอฟท์ อดีตที่สมบรูณ์ สู่อนาคตกาล อันยิ่งใหญ่

ในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ต่างมีรูปร่างหน้าตาต่างกับยุคแรกๆ มากแต่มีบางอย่างที่ยังคงอยู่เหมือนเดิม และคาดว่าจะอยู่ต่อไปอีกยาวนาน นั่นก็คือไมโครซอฟท์ บริษัทซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หากคอมพิวเตอร์ขาดสิ่งที่เรียกว่าซอฟท์แวร์ไปแล้ว เราคงไม่อาจเรียกตู้สี่เหลี่ยมภายใน ประกอบด้วย บอร์ดอิเล็กทรอนิกส์และมีหน้าจอมอนิเตอร์ว่าคอมพิวเตอร์ได้เลย นั่นก็เพราะว่าซอฟท์แวร์นั้นเป็นในองค์ประกอบ ของคอมพิวเตอร์ด้วย และซอฟท์แวร์ที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดก็คือ ระบบปฏิบัติการนั่นเอง
ผมไม่ขอเล่าย้อนไปถึงช่วงที่ไม่มีระบบปฏิบัติการแบบเป็นตัวเป็นตนใช้กันนะครับ เพราะในยุคที่คอมพิวเตอร์ออกมาใหม่ และยังไม่มีใช้กันตามบ้านนั้น ซอฟท์แวร์ที่ทำหน้าที่เป็นระบบปฏิบัติการจะถูกพัฒนาขึ้นมาใช้เฉพาะด้านจริงๆ ประมาณว่าซอฟท์แวร์ของใครก็ใช้ได้แต่เครื่องนั้น แต่หลังจากที่บริษัท ไอบีเอ็ม ได้นำสิ่งที่เรียกว่า Personal Computer เข้ามาให้ผู้ใช้ตามบ้านได้รู้จัก ทำให้ผู้ใช้ตามบ้านได้รู้จัก ทำให้ระบบปฏิบัติการจึงกลายเป็นมาตรฐานมากขึ้น พร้อมๆ กันกับการเปิดตัวของบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อไมโครซอฟท์”
MS-DOS จุดเริ่มต้นของธุรกิจซอฟท์แวร์โอเอส อย่างไรก็ตาม หากผมไม่เล่าประวัติความเป็นมาของซอฟท์แวร์อันดับหนึ่งให้ฟังกันก่อน อาจทำให้เสียอรรถรสในการอ่านบทความตอนนี้ได้ ดังนั้นผมขอพูดถึงคร่าวๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจไมโครซอฟท์ หลังจากที่ไอบีเอ็มวางแผนว่าจะให้คอมพิวเตอร์เป็นของคู่บ้าน ช่วงนั้น ไอบีเอ็มได้ติดต่อกับบริษัทเล็ก ๆ ที่ชื่อไมโครซอฟท์ โดยว่าจ้างให้บริษัทนี้พัฒนาระบบปฏิบัติการขึ้นมาใช้บนเครื่อง IBM PC ตอนนั้น นายบิลล์ เกตส์ กับเพื่อนคู่หู พอลล์ อันเลน เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ขึ้นมา ตั้งแต่ปี 1975 แล้ว (ช่วงนั้นบิลล์กับพอลล์ได้เร่ขายซอฟท์แวร์ที่พวกเขาช่วยกันพัฒนาขึ้นมาในชื่อ Microsoft BASIC ซึ่งทำรายได้ไปพอสมควร) ทั้งคู่ได้รับโปรเจ็กของไอบีเอ็มมาทั้งที่พวกเขาไม่รู้จักแพลตฟร์อมของเครื่อง x86 เลยตอนนั้น โชคดีที่เขาหูตาไวพอที่จะขอซื้อไลเซนส์ซอฟต์แวร์ที่ชื่อ QDOS ซึ่งใช้กับเครื่อง CP/M (Control Program for Microcomputers)ที่ประมวลผลได้ทีละ 8 บิต มาพัฒนาต่อเพื่อนำไปใช้บนแพลตฟอร์ม x86 ของไอบีเอ็ม
ปี 1981 บริษัทไอบีเอ็มเปิดตัวคอมพิวเตอร์ IBM PC สำหรับผู้ใช้ตามบ้านเครื่องแรก พร้อมระบบปฏิบัติการ PC-DOS 1.0 ซึ่งบริษัทไมโครซอฟท์ได้พัฒนาต่อยอดมาจาก QDOS สาเหตุที่ใช้ชื่อ PC-DOS นั้นก็เพราะว่าเป็น IBM version ที่ขายพร้อมกับเครื่อง ส่วนอีกชื่อหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง MS-DOS นั้นเป็น Microsoft version ที่ไมโครซอฟท์สามารถแยกขายให้กับผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์รายอื่นๆ ได้ เป็นข้อตกลงกันระหว่างไอบีเอ็มและไมโครซอฟท์ แต่ระบบปฏิบัติการทั้งสองเวอร์ชันนั้นไม่แตกต่างกัน
ไมโครซอฟท์เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นที่รู้จักในวงการก็ช่วงที่ไอบีเอ็มได้ส่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องจากปี 1980 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของระบบปฏิบัติการตระกูล MS-DOS (เวอร์ชัน1.0) มาสิ้นสุดเอาเมื่อปี 1997 (เวอร์ชัน 7.1) ซึ่งเมื่อนับรวมแล้วไมโครซอฟท์ได้วาดลวดลายกับ MS-DOS ในช่วงระยะเวลา 17 ปี ไว้ถึง 17 เวอร์ชันด้วยกัน นับเป็นการปิดฉากอย่างสมบูรณ์ของระบบปฏิบัติการที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ 16 บิต แน่นอนว่าเพื่อเป็นการหลีกทางให้กับระบบปฏิบัติการตัวใหม่ที่ชื่อว่า Microsoft Windows ด้วย
Windows หน้าต่างทองของไมโครซอฟท์ หลังจากส่งระบบปฏิบัติการ MS-DOS ออกมาได้ 3 ปีไมโครซอฟท์ก็เริ่มรวบรวมข้อมูลที่ได้สำรวจเอาไว้ เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นรวมทั้งความต้องการใหม่ของผู้ใช้ด้วย ซึ่งตอนนั้น MS-DOS ยังอยู่เวอร์ชัน 2.0 – 2.11 อยู่เลย แต่ไมโครซอฟท์ได้แจ้งว่าพวกเขากำลังพัฒนา Windows ซึ่งเป็น GUI (Graphic User Interface) สำหรับใช้งานบน MS-DOS ทั้งนี้ก็เพราะว่าส่งงานด้วย Command line บางครั้งหากมีพารามิเตอร์ต่อท้ายยางๆ อาจสร้างความผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้น การนำเอาระบบกราฟิกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ เพื่อติดต่อกับผู้ใช้ นำจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในยุคนั้น
ในปี 1985 ระบบปฏิบัติการ MS-DOS โฉมใหม่ที่กราฟิกห่อหุ้มอยู่ก็ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรกในชื่อของ Windows 1.0 ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่อยู่บนชั้นระบบปฏิบัติการดอสอีกทีหนึ่ง และถัดมาอีก 2 ปี ไมโครซอฟท์ได้ส่ง Windows 2.0 ตามมา แต่ยังคงทำงานเป็นเปลือกนอกเหมือนเดิม (สภาวะการทำงานแบบ 16 บิต) ช่วงปี 1990 – 1992 เป็นยุคเริ่มต้นของการทำงานในสภาวะกึ่ง 32 บิต โดยมี Windows 3.0 และ 3.1 ที่ถือเป็นหัวหอกในขณะนั้นแต่ต่อมาไม่นาน Windows 3.11 ก็กลายเป็นขวัญใจผู้ใช้โดยปริยาย เพราะไมโครซอฟท์เพิ่มความสามารถด้านการรองรับระบบไฟล์แบบ 32 บิต พร้อมทั้งคุณสมบัติการทำงานบนระบบเครือข่ายและถือเป็นระบบปฏิบัติการWindows เป็นตัวแรกที่ไม่ต้องพึ่งพาMS-DOS อีกต่อไป ลืมพูดถึงระบบปฏิบัติการWindows NT ไปเลยครับ เพราะถูกปล่อยออกมาเมื่อปี 1993 เป็นเวอร์ชันแรก (3.1)
ความแตกต่างของระบบปฏิบัติการตระกูล NT (NT : New Technology)ก็คือ ไม่ได้ทำงานแบบลูกผสม 16/32 บิต เหมือนกับ Windows เวอร์ชันก่อนหน้านี้ทั้งหมด มันถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานบนระบบเครือข่าย สามารถดูแลและจัดการทรัพยากรบนเครือข่ายได้ดีและปลอดภัยกับข้อมูลสูงกว่า ดังนั้น จึงต้องมีความน่าเชื่อถือในการใช้งานสูงด้วย ซึ่งการที่จะทำได้นั้นต้องทำงานอยู่บนแพลตฟอร์ม 32 บิตอย่างเต็มตัว
ไมโครซอฟท์ได้ส่งระบบปฏิบัติการ Windows NT ทำตลาดด้วยกันทั้ง 4 รุ่น คือ NT 4.0 Workstation, NT 4.0 Server, NT 4.0 Enterprise Server และ NT 4.0 Terminal Server โดยทุกรุ่นประสบความสำเร็จอย่างสูง ก็ถือเป็นรุ่นสุดท้ายของตระกูล NT ด้วยที่สนับสนุนการทำงาน
ในช่วงปี 1995 ถือได้ว่าเป็นยุคทองของ Microsoft Windows อย่างแท้จริงเพราะหลังจากที่ไม่ต้องเกาะหลังดอสอีกต่อไป ทำให้พัฒนาแอพพลิเคชันระดับสูงที่ต้องอยู่ในสภาวะการทำงานของ Enhanced mode ทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ไมโครซอฟท์ก็ไม่ลืมที่จะให้ระบบปฏิบัติการตัวใหม่รองรับโปรแกรมเก่าๆ ที่รันอยู่ดอสด้วย ซึ่งทำให้ Windows 95 ที่ออกมา ได้พ่วงเอาดอสมาไว้เป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการด้วย ถัดมาอีก 3 ปี (1998) ระบบปฏิบัติการ Windows 98 ก็เผยโฉมหน้าออกมาเป็นครั้งแรก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากเวอร์ชันก่อนหน้าพอสมควร ทั้งการสนับสนุนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ อย่าง AGP และ USB สามารถรองรับการแสดงผลแบบหลายจอภาพ รวมทั้งใช้งานกับ Web TV ได้ด้วยเช่นกันแต่หลังจากที่ปล่อยออกมาไม่นาน ก็มีเสียงบ่นตามมาว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นระหว่างการใช้งานมาก ซึ่งปัญหานั้นมากกว่า Windows 95 เสียอีก แต่กลับทำงานได้ช้ากว่าดังนั้นในปี 1999 หลังจากที่ไมโครซอฟท์นำกลับไปแก้ไขแล้ว จึงตัดสินใจส่ง Windows 98 Second Edition (Windows 98SE) สู่ตลาดอีกครั้ง ซึ่งประสบผลสำเร็จอย่างสูง เพราะจัดการกับปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับเวอร์ชันเก่าๆ ได้เหนือชั้นกว่า Windows 95 อย่างเห็นได้ชัดและการเพิ่มฟีเจอร์สำหรับใช้แชร์อินเตอร์เน็ตเข้าไปก็ยิ่งทำให้ระบบปฏิบัติการตัวนี้เป็นที่รักของใครต่อใครมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2000 ไมโครซอฟท์ได้ส่งระบบปฏิบัติการตัวใหม่ชื่อ Windows 2000 ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ไม่ใช่ยูสเซอร์ตามบ้านทั่วไป( อันที่จริงไมโครซอฟท์ตั้งใจจะให้เป็นเวอร์ชัน NT 5.0 เพียงแต่ต้องใช้ชื่อที่ดีที่สุดในการทำตลาดปี 2000) ทำให้คนส่วนใหญ่รู้จัก Windows 2000 ว่าเป็นหนึ่งในเวอร์ชัน NT สำหรับองค์กรธุรกิจ ซึ่งมีออกมาด้วยกัน 4 รุ่นด้วยกันคือ Windows 2000 Professional/ Server/ Advanced Server/ Datacenter Server โดยทุกรุ่นประสบความสำเร็จ อันที่จริงแล้ว ก่อนที่จะออก Windows 2000 สำหรับองค์กรธุรกิจมานั้นไมโครซอฟท์ได้เตรียมส่ง Windows ที่ใช้โค้ดเนมว่า Neptune ก่อนหน้านี้เพียง 2 เดือน ( ธันวาคม 1999) ซึ่งน่าจะเป็น Windows 2000 เวอร์ชันโฮมยูสเซอร์แต่ก็ต้องยกเลิกไปอย่างกะทันหันเพราะอาจทำให้ Windows อีกรุ่นหนึ่งที่เตรียมเอาไว้ขายไม่ได้เลยนั่นก็คือ Windows ME ซึ่งวาง จำหน่ายครั้งแรกเดือนมิถุนายน ปี 2000 โดยออกหลังจาก Windows 2000 เพียง 4 เดือนเท่านั้น และ Windows ME ก็ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการลูกผสมระหว่าง 16/32 บิต ตัวสุดท้ายด้วยเช่นกันเพราะจากนั้นมา Windows ทุกเวอร์ชันก็ทำงานอยู่บนแพลตฟอร์ม 32 บิต กันหมด สำหรับ ME ที่ต่อท้ายนั้นหมายถึง Millennium Edition นั่นเอง จะว่าไปแล้ววินโดวส์เวอร์ชันนี้ไม่ได้แตกต่างจาก Windows 95 และWindows 98 มากนัก เพราะยังใช้คอร์เดิมของ Windows 98 ซึ่งสิ่งที่เพิ่มมาก็คือไออีเวอร์ชัน 5.5 และ Windows media player 7 โดยมีการปรับปรุงส่วนจัดการด้านมัลติมีเดียให้ดีขึ้น อัพเดตระบบ GUI ซึ่งคล้ายกับที่มีอยู่บน Windows 200 ถือเป็นเวอร์ชันแรกที่มีระบบ System Restore มาให้ปี 2001 ระบบปฏิบัติการที่ถูกกล่าวขานมากที่ที่สุดอย่าง Windows XP ก็เผยโฉมหน้าออกมาเป็นครั้งแรก โดยก่อนหน้านั้นมีกระแสจากผู้ใช้ทั่วโลกว่าจะเป็นเพียงแต่ “ เหล้าเก่าในขวดใหม่” ของ Windows 98 เท่านั้น แต่หลังจากที่ได้มีการนำไปใช้งานกันจริงๆ ก็พบว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดกันเอาไว้ เพราะมีหลายสิ่งที่เพิ่มเข้ามา และมีหลายอย่างที่ไม่ดีถูกลบออกไป ไมโครซอฟท์ได้นิยาม Windows XP ว่าเป็นการเมิร์จหรือรวมเอาความสามารถและคุณสมบัติทั้งหมดของ Windows ทุกๆ เวอร์ชันอยู่บนแพลตฟอร์ม XP นี้(ไม่รู้จะจริงแท้แค่ไหน) แต่ที่รู้มานั้นใช้แกนหลักแบบเดียวกับ NT มาพัฒนาต่อยอดขึ้นไป และที่แน่ๆ ก็คือ ผมเชื่อว่าตอนนี้คอมพิวเตอร์ทั่วโลกกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ใช้ Windows XP เป็นระบบปฏิบัติการสามัญประจำเครื่อง ความโดดเด่นของ Windows XP ที่ดูจะเหนือกว่ารุ่นก่อนๆ ก็คือ การรับรองอุปกรณ์ใหม่ๆ แทบทุกชนิด โดยเฉพาะการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์โมบายและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีสื่อสารต่าง ๆ นั้นทำได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นบูลทูธ และไว-ไฟ พร้อมกันนั้นยังเพิ่มลูกเล่นเอฟเฟ็กต์ให้กับส่วนติดต่อกับผู้ใช้มากกว่าเดิมหลายเท่า ไมโครซอฟท์ได้ปรับปรุงให้ Windows XP สามารถทำงานกับแอพพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ตได้ดียิ่งขึ้น การใช้งาน Web TV ให้ประสิทธิภาพดีกว่าเดิม และยังเพิ่มระบบความปลอดภัยในการสื่อสารผ่านเครือข่ายลงไปเพื่อให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจในทุกการทำงาน
สำหรับรุ่นต่าง ๆ ของ Windows XP นั้นมีการแยกย่อยมากกว่า Windows ทุกๆ เวอร์ชันที่ผ่านมา นั่นก็เพราะว่าไมโครซอฟท์ได้วางแผนที่จะให้ระบบปฏิบัติการตัวนี้อยู่ในตลาดนานที่สุด โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2001 ไปจนถึง 2006 ดังนั้น จึงต้องออกรุ่นต่างๆ ที่เหมาะสำหรับการใช้งานหลากหลายประเภทให้มากเข้าดังต่อไปนี้
Windows XP Home Edition,Windows XP Home Edition N,Windows XP Professional Edition,Windows XP Professional N,Windows XP Tablet PC Edition,Windows XP Tablet PC Edition,Windows XP Media Center Edition,Windows XP Embedded,Windows XP Starter Edition และ Windows XP Professional x64 Edition
สำหรับ “N” นั้นไม่ได้ติดตั้ง Windows medie player ลงไปด้วย ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างไมโครซอฟท์กับคณะกรรมการสหภาพยุโรป ที่ไม่ให้มีการผูกขาดตลาดกับโปรแกรมประเภทนี้ ในส่วนของ Media Center นั้นมีออกมาแล้วถึง 4 รุ่นด้วย ตั้งแต่ปี 2002 – 2005 และสำหรับ Windows XP Professional x64 Edition เป็นระบบปฏิบัติการ 64 บิต ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้งานกับแพลตฟอร์มของซีพียู 64 บิต อย่าง AMD64 (เอเอ็มดี)และ EM64T(อินเทล)โดยสามารถทำงานร่วมกับ Opteron และ Xeon ซึ่งเป็นซีพียูสำหรับระบบเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ได้ด้วยเช่นกัน ส่วนในรุ่น Starter Edition นั้นเหมาะกับผู้เริ่มต้นใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก และมีใช้ในบางประเทศเท่านั้น(ประเทศไทย) เห็นได้ชัดว่าไมโครซอฟท์ได้ส่งระบบปฏิบัติการออกมาเป็นแบบปูพรม ไม่ให้มีช่องว่างที่คู่แข่งหน้าไหนจะสอดแทรกเข้ามาได้เลย(อันที่จริงก็ไม่คู่แข่ง OS มาตั้งนานแล้ว)
ลืมไปว่าช่วงที่ Windows XP โลดแล่นอยู่ทั่วทุกมุมโลกนั้น ยังมีระบบปฏิบัติการสายพันธุ์ NT อีกตัวหนึ่ง ซึ่งเผยโฉมหน้าออกมาเมื่อปี 2003 นั่นก็คือ Windows 2003 Sever ซึ่งไมโครซอฟท์ตั้งใจว่าจะให้มาแทนที่ Windows 2000 แต่กลับต้องรออยู่นานถึง 1 ปี กว่าตลาดจะโตพอ และเริ่มมีลูกค้าในองค์กรมาเปลี่ยนใช้ระบบปฏิบัติการตัวนี้ ซึ่งการอัพเกรดทุกอย่างจาก Windows 2000 จะไม่เสถียรเท่ากับ การติดตั้งลงไปใหม่แบบ ฟูลออปชัน ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาต่อการทำตลาดในองค์กรด้วย สำหรับรุ่นต่างๆ ของ Windows 2003 Sever ที่ออกมามีด้วยกัน 6 รุ่น คือ Small Business Sever,Web Edition,Standard Edition,Edition(32/64-bit),Datacenter Edition และ Storage Server ซึ่งในปัจจุบันถือว่าไมโครซอฟท์ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับระบบปฏิบัติการตัวนี้
ปี 2006 เราจะได้เห็น Windows Vista (ชื่อเดิม Longhom ที่ไมโครซอฟท์วางตัวไว้ว่าจะให้มาแทนที่ Windows XP ซึ่งถ้าไม่ติดโรคเลื่อนอะไร Vista จะปรากฏตัวให้เห็นช่วงกลางปี 2006 นี้อย่างแน่นนอน ใครที่ได้ทดลองใช้งานจากเวอร์ชันเบต้ามาแล้วคงทราบดีว่า สิ่งที่ไมโครซอฟท์ต้องการทำ คือ การรวมคุณสมบัติของ Windows Media Center ให้ได้อย่างแนบเนียนทั้งระบบดิจิตอลโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์และระบบความปลอดภัยของข้อมูลบนเดสก์ทอป และเครือข่ายทั้งหมดนี้จะรวมอยู่ใน Windows Vista ถ้าคุณยังจำโครงการ Palladium เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ที่ไมโครซอฟท์ได้จับมือกับอินเทล และเอเอ็มดี เพื่อพัฒนาระบบความปลอดภัยในชั้นฮาร์ดแวร์ของระบบ ซึ่งแกนหลักของระบบปฏิบัติการสามารถเข้าถึงส่วนนี้ได้ Windows Vista ก็จะมาพร้อมกับฟีเจอร์เหล่านี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Processor Manager,Memory Manager,File Manager,Device Manager และ Network Manager ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตซีพียูและอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ด้วยว่าพร้อมที่จะกับ Windows Vista แล้วหรือยัง!
ช่วงปี 2010 - 2012 ตามกำหนดการเดิมของไมโครซอฟท์ จะเป็นการเปิดระบบปฏิบัติการที่ใช้โค้ตเนมว่า Blackcomb แต่ตอนนี้ยังไม่รายละเอียดออกมาว่าจะเป็นภาคต่อของใคร และกว่าจะถึงวันนั้นจริงๆ คอมพิวเตอร์ที่กันตามบ้านอาจมีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิมแล้วก็เป็นได้...ใครจะรู้!
Microsoft Office เครื่องมือคู่ใจทุกออฟฟิศ ไมโครซอฟท์ไม่ได้ขายซอฟท์แวร์ที่เป็นระบบปฏิบัติการเพียงอย่างเดียวยังมีซอฟท์แวร์สำหรับใช้งานในด้านต่างๆ มากมายโดยเฉพาะโปรแกรมประเภทเวิร์ดโพรเซสซิ่งนั้นมีชื่อเสียงไม่แพ้ Windows เลย แถมยังเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาอีกด้วย Microsoft Office คือโปรแกรมที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ อันที่จริงควรเรียกว่าชุดโปรแกรมน่าจะเหมาะสมกว่า(MS Office suite)เพราะไม่ได้มีเพียงโปรแกรมเดียวให้ใช้งาน และความโด่งดังของ MS Office ก็อยู่ที่ 3 โปรแกรมหลักอย่าง Word,Excel และ PowerPiont ที่อยู่มาตั้งแต่ตอนเปิดตัวโปรแกรมชุดแรกแล้ว ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาโปรแกรมชุด Office ออกมาหลายรุ่นด้วยกันตั้งแต่ Office 1 – Office 12 โดยเริ่มต้นในช่วงปี 1990 เป็นการพัฒนา Office เวอร์ชันแรกให้กับแมคอินทอช(Office 1.0) และกว่าจะมีเวอร์ชันของ Windows ออกมาใช้งานก็ปาเข้าไปเวอร์ชัน 3.0 (Office 3.0)แล้ว โดยออกมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1993 ประกอบด้วยโปรแกรม Word 2.0c, Excel 4.0a, PowerPiont 3.0 และ Mail
17 มกราคม 1994 ไมโครซอฟท์ส่ง Office 4.0 ซึ่งเป็นการอัพเดตสามโปรแกรมหลักเป็น Word 6.0, Excel 4.0 และ PowerPiont 3.0 หลังจากที่แยกออกมาสองเวอร์ชัน ไมโครซอฟท์ก็เริ่มรวบรวมข้อมูลที่เป็นความต้องการของผู้ใช้ ว่ามีสิ่งใดบ้างที่พวกเขายังต้องการอีก ซึ่งก็พบว่าโปรแกรมชุดOffice ยังไม่มีระบบจัดการฐานข้อมูล ดังนั้น Office 4.3 ที่วางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน จึงมีโปรแกรม Access 2.0 มาให้ด้วยแต่ผู้ซื้อซอฟท์แวร์ในเวอร์ชัน Professional เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้ใช้ และในเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันนี้ ยังมีโปรแกรมชุด Office 4.2 ที่เป็นเวอร์ชันของ NT (32 บิต) ออกมาให้ผู้ใช้ Windows NT ในองค์กรได้ใช้งานกันด้วย สิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือ Microsoft Office Management
ในปี 1995 เป็นช่วงเวลาของ Office 7.0 หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อของ Office 95 นั่นเอง ทั้ง Word 95, Excel 95และ PowerPoint 95 ต่างก็ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน สำหรับรุ่นที่วางขายนั้นมี 2 แบบ คือ Standard และ Professional โดยในรุ่น Standard ยังไม่มีโปรแกรม Access มาให้เหมือนเดิม
ธันวาคม 1996 โปรแกรมชุด Office 8.0 (Office 97) ก็ถูกเปิดตัวครั้งแรก ซึ่งเป็นเวอร์ชันแรกที่มีการวางขายแบบกล่อง CD-ROM และแผ่นดิสก์ขนาด 3.5” จำนวน 45 แผ่น โดยเวอร์ชันนี้มีออกมา 2 รุ่นด้วยกันคือ Professional และSmall Business Edition ความแตกต่างของโปรแกรมทั้งสองชุดนี้ อยู่โปรแกรม Outlook คนละเวอร์ชันกัน(Pro:Outlook 97,Outlook 98) นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มโปรแกรมให้กับรุ่น Small Business ไปอีก 3 ตัวด้วยกันคือ Intermet Explorer 4.0 , Microsoft Publisher 98 และ Microsoft Expedia Streets98 โปรแกรมชุด Office 8.0 นี้ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก และมียอดจำหน่ายสูงมาก
ปี 1999 น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปีทองของโปรแกรมชุดOffice เลยก็ว่าได้ เพราะไมโครซอฟท์ได้วางตัว Office 9.0 (Office 2000) ในตลาดรายระดับ ซึ่งมีทั้งรุ่น Standard , Small Business, Professional และ Premium ส่วนรุ่นเล็กสุดนั้น ช่วงแรกๆ ที่ออกมาพบว่าเกิดขึ้นเวลาเซฟงาน และยังมีปัญหากับงานบางภาษาแต่ภายหลังได้รับการแก้ไขแล้ว สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในรุ่น Premium นั้นได้แก่โปรแกรมSmall Business Tool,Microsoft Page และ Microsoft Photo Draw ส่วนโปรแกรมพื้นฐานได้ถูกอัพเกรดเป็นเวอร์ชัน 2000 ทั้งหมด
ในปี 2001 ก็ถึงเวลาของ Office 10.0 (Office XP) ซึ่งออกมารองรับระบบปฏิบัติการWindows XP ได้อย่างพอดิบพอดี และธีมของโปรแกรม Office ในเวอร์ชันนี้จึงกับระบบปฏิบัติการได้เป็นอย่างดี โปรแกรมWord, Excel และ PowerPoint ถูกอัพเกรดให้เป็นเวอร์ชัน 2002 ทั้งหมด โดยไมโครซอฟท์ได้ส่งมาทำตลาดด้วยกัน 4 รุ่น คือ Standard, Professional,Developer และ Professinoal Special Edition ซึ่งในรุ่นสุดท้ายนี้ได้เพิ่ม โปรแกรม SharePoint Team Serviced, Intellimouse Explorer และ Access Plus ตลาด ซอฟท์แวร์ของไมโครซอฟท์โตขึ้นอีกครั้ง เพราะโปรแกรมชุด Office XP ถูกจำหน่ายเป็นจำนวนมากทั่วโลกส่วนความนิยมจากนักพัฒนานั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะบางคนถึงกับเอาโปรแกรม Office 2000 ออกจากเครื่องไปเลยหลังจากพบข้อผิดพลาดเกิดขึ้นหลายอย่าง แต่สำหรับ Office XP กลับพบรายงานความผิดพลาดจากเว็บต่างๆน้อยมาก(ช่วงแรก)
ปี 2003 ไมโครซอฟท์เผยโฉมหน้าของ Office 11.0(Office 2003)ให้เห็นเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการปรับรูปโฉมและฟีเจอร์ที่ให้ใช้งานทั้งหมด รวมทั้งแก้ไขบั๊กต่างๆ ที่ได้รับรายงานจากผู้ใช้ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของOffice 11.0 ที่มีเหนือกว่า Office 10.0 คือ ระบบช่วยเหลือผู้ใช้ที่เป็นมิตรมากขึ้น หมายถึงช่วยให้ผู้ใช้แก้ไขปัญหาต่างๆ ในขณะใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม ระบบตัดคำแบบใหม่ที่ใช้งานได้ครอบเกือบทุกภาษา เพราะฟอนด์แบบ Unicode แทน โดยเฉพาะการทำงานกับโปรแกรม Word 2003 นั้นมีการนำเอาเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Clear Type” เข้ามาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นเอกสารได้ชัดเจนขึ้นสามารถเปลี่ยนรูปแบบหรือขนาดของตัวอักษรผ่านแถบเครื่องมือช่วยเหลือได้อย่างสะดวกสบาย ทำให้การสร้างเอกสารเวิร์ดได้รวดเร็วขึ้นไปอีก สำหรับโปรแกรมบริหารอีเมล์อย่าง Outlook 2003 นั้น เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากที่สุด โดยเฉพาะเทคโนโลยี “Research Panes” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นไฟล์ ข้อความ และสิ่งที่ส่งเข้ามาในเมล์บ๊อกซ์ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีแอพพลิเคชันหรือโปรแกรมนั้นๆ รองรับอยู่เลยก็ตาม ซึ่งเป็นความสามารถที่อาศัยการทำงานผ่านเทคโนโลยีของ XML นั่นเอง สำหรับ Office 2003 ที่วางจำหน่ายมีอยู่ด้วยกันถึง 6 รุ่น
ปี 2006 คือหมายกำหนดเติมของไมโครซอฟท์ สำหรับส่งโปรแกรมชุดออฟฟิศตัวใหม่ล่าสุดออกมา นั่นก็คือ Office 12.0 (Office 2006) ซึ่งได้รับการกล่าวขานกันว่าจะกลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมคู่ใจ Windows Vista ด้วย เพราะถูกออปติไมซ์มาบนระบบของ Longhom(ชื่อเก่าของ Vista)มาเรียบร้อยแล้ว โดยตามเว็บบอร์ดต่างๆ ได้ตั้งชื่อให้กับ Office 12.0 ไปล่วงหน้าอย่างเช่น Office 12.0 ไปล่วงหน้าอย่างเช่น Office Vista แต่เราคงต้องรอว่าเมื่อถึงที่สุดแล้ว ไมโครซอฟท์จะใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าอย่างไรส่วนฟีเจอร์และคุณสมบัติที่เพิ่มเข้ามานั้น บอกได้คำเดียวว่าที่คุณเห็นใน Office 2003 ว่าดีเพียงใดแล้ว บน Office 12.0 นั้นจะทำให้คุณทึ่งขึ้นอีก ที่ผมไม่ลงในรายละเอียดก็เพราะว่าช่วงต้นปี 2006 นี้เราก็จะได้เห็นกันแล้ว
สรุป
ไมโครซอฟท์เติบโตขึ้นมาจากการขายซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการอย่างแท้จริง จากบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองเรดมอน สหรัฐอเมริกามาบัดนี้ พวกเขาได้กลายเป็นบริษัทขายซอฟต์แวร์อันดับหนึ่งของโลกแล้วซึ่งในปัจจุบัน ธุรกิจของไมโครซอฟท์ไม่ได้มีเพียงแต่ Windows หรือ Office เพียงอย่างเดียว ยังมีแอพพลิเคชันทางธุรกิจมากมาย รวมทั้งซอฟท์แวร์เกมต่างๆ เครื่องเล่นเกมคอนโซล Xbox และบริการซอฟท์แวร์ออนดีมานด์อย่าง Office Live! ที่กำลังจะเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ ด้วยเช่นกัน

ขออภัยไม่ทราบว่าได้เก็บข้อมูลนี้มาจากที่ไหน แต่ขอให้ท่านผู้เขียนข้อความนี้ได้กรุณาทราบว่า ผมได้นำข้อความของท่านไปประกอบเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนของ หน่วยงานการศึกษา "เทศบาลเมืองสัตหีบ" ซึ่งผมเป็นผู้สอนเองครับ ขอให้ข้อมูลที่ท่านได้กรุณาเขียนให้นี้ จงเป็นพละวะปัจจัย ส่งผลให้ท่านต่อไปเบื้องหน้าเทอญ


Create Date : 15 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2550 13:47:56 น. 5 comments
Counter : 316 Pageviews.  
 
 
 
 
หวัดดี รักคนอ่านจังค่ะ
 
 

โดย: Paแพง IP: 203.113.77.7 วันที่: 15 มกราคม 2551 เวลา:21:06:33 น.  

 
 
 
รัก แม่พาแพงเช่นกัน อิอิ แต่ชื่อไม่เข้ากับเศรษฐศาสตร์ ช่วงนี้เลย 555
 
 

โดย: ชานล IP: 222.123.104.154 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:08:47 น.  

 
 
 
เยอะๆๆๆๆๆอ่านม้ายหวาย
 
 

โดย: สวย IP: 125.25.179.17 วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:13:44:22 น.  

 
 
 
เยอะจังอะ
อ่านไม่ไหวอะ
ตาลายแง่วๆๆๆๆๆๆๆ
 
 

โดย: เด็กแรกเกิด IP: 61.19.32.52 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:36:34 น.  

 
 
 
สุดยออดคับ ผมขออณุญาตินำเนื้อหานี้ไปทำรายงานส่งอาจารนะครับ
 
 

โดย: -*- IP: 58.9.108.114 วันที่: 11 มิถุนายน 2552 เวลา:14:16:35 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

สิงห์ทอง
 
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add สิงห์ทอง's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com