Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง
<<
กรกฏาคม 2560
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
1 กรกฏาคม 2560

ผมท้าครับ มาลองปฏิบัติงานร่วมกับพวกเราดู เผื่อความดราม่าของคุณจะลดลงได้บ้าง





ผมกำลังท้า

ผมเรียนเชิญประชาชนในยุคปัจจุบัน ร่วมอยู่เวรห้องฉุกเฉินหลังเที่ยงคืนถึง ๘ โมงเช้าต่อด้วยการตรวจคนไข้หนักที่นอนเจ็บป่วยอยู่ในโรงพยาบาลในเวลาราชการต่ออีก ๘ ชั่วโมงรวมเป็น ๑๖ ชั่วโมงติดๆ รวดติดกันเป็นอย่างน้อยพร้อมกับผมหรือกับแพทย์ พยาบาล เภสัชกรในโรงพยาบาลรัฐใดๆ สักแห่งในประเทศนี้สัก ๗ วัน ๗ คืนครับ .. ลองดูครับว่า "ของจริง" เป็นอย่างไร

เมื่อผมตื่น คุณต้องตื่นทุกเสียงโทรศัพท์ ทุกเสียงเรียกร้องความต้องการ ทุกความรีบเร่งของผมคือสัญญาณชีวิต ไม่ใช่ลำดับการขึ้นบัตรหรือยศถา หรืออะไรที่หมายถึงความเอาแต่ใจตัวของคุณเอง

ผมตื่น คุณต้องตื่น ผมหิว คุณต้องทนไปกับผมและทีม
ผมเครียด คุณก็เหนื่อยและเครียด คุณก็อย่าหวังจะได้พัก
คุณต้องอดทนอยู่เงียบๆ ไปกับผมและทีมสาธารณสุขในกรอบของจรรยาบรรณ

เมื่อผมกับทีมไม่ได้กลับบ้านไปดูแลพ่อกับแม่บังเกิดเกล้า คุณก็อย่าหวังจะได้กลับไปหาท่าน อยู่กับผมและทีมเพื่อช่วยคน ทำงานด้วยใจตามหลักการของคุณ

ระหว่างที่คุณอยู่เวรกับผมและทีม เมื่อแม่ของคุณกำลังหายใจไม่ออกเหมือนจะขาดใจและต้องการความช่วยเหลือจากคุณในฐานะลูก คุณต้องบอกให้ท่านไปหาความช่วยเหลือจากคนอื่นก่อนแล้วรีบวางโทรศัพท์เพื่อตามผมกับพยาบาลไปตรวจคนไข้โรคหวัด ห้ามปฏิเสธคนไข้

เมื่อผมและเพื่อนพี่น้องข้าราชการไปเสียภาษีเต็มหน่วยเพื่อเกื้อหนุนระบบฟรีทุกอย่างให้แก่คุณในยุคนี้ คุณต้องรู้ว่าผมและเพื่อนข้าราชการกำลังจ่ายเงินเดือนให้ตัวเอง

เมื่อนั้นคุณต้องไปจ่ายภาษีกับผม เพื่อผมจะได้ดูว่าคุณเสียภาษีจริงไหม เสีย ๑๐๐% เท่ากับผมไหมและภาษีของคุณนั้นราคากี่หลัก

ถ้า ภาษี คือ คำอ้างให้ผมทำหน้าที่ .. แล้วคุณจะรู้ความจริงว่า คุณต่างหากที่ต้องขอบคุณผมและเพื่อนร่วมวิชาชีพทุกระดับที่เงินรายได้ของผมและผองเพื่อนท่ามกลางความเอาแต่ใจของคุณนั้น คือเงินที่กำลังช่วยยืดลมหายใจของแม่พ่อคุณหรือแม้แต่กระทั่งลมหายใจของคุณเองนอกเหนือไปจากการตรวจรักษาให้คุณบรรเทาความเจ็บป่วย

ผมยืนตรวจ คุณมายืนตรวจกับผม อย่าหวังจะได้นั่ง
ผมวิ่งไปตรวจคุณไข้ คุณต้องวิ่งไปกับผม อย่าหวังจะได้แวะดื่มน้ำหรือพักหายใจ

เมื่อผมเครียดและไม่มีเวลาแม้แต่จะอธิบายข้อเท็จจริงท่ามกลางความเร่งรีบและภาระงานที่หนักอึ้ง คุณจะต้องอดทน เสียสละ ไม่โวยวาย ไม่แก้ตัว ไม่ฟ้องคนนั้นคนนี้ ต้องมีมารยาทและสามัญสำนึกพอที่จะไม่ละเมิดถ่ายภาพความทรามของคนไข้และญาติบางจำพวกลงเฟสบุ๊คเพื่อหาพวกรุมกินรุมยำและเดินหน้ารักษาคนไข้คนต่อไปพร้อมกับผมและทีมเสมอ .. คุณต้องทำได้ เพราะผมกับบุคลากรสุขภาพของรัฐนั้นทำมันอยู่ทุกวันก่อนผมท้าคุณ

คุณต้องไม่โกรธและทนได้ ถ้ามีรูปคุณกำลังกินข้าวหลังจากล่วงพ้นมื้อปกติมายาวนานแล้วในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่คุณเพิ่งว่างเว้นจากคนไข้หนักในเฟสบุ๊ค พร้อมข้อความด่าทอว่าคุณไม่มาเปลี่ยนผ้าทำแผลของเก่าๆ ให้เร็วทันใจ คุณอธิบายไม่ได้ครับว่า คุณขอเวลาเขากินข้าวสักสิบนาที

เมื่อคุณแอบไปร้องไห้เสียใจผมกับทีมจะเห็นใจคุณ แต่ประชาชนที่คุณตั้งใจช่วยเหลือเขานั้นจะไม่เห็นใจคุณเหมือนที่ผมกับทีมปฏิบัติต่อคุณ เชื่อเถิดพวกเราผ่านมันมาแล้ว คุณต้องผ่านให้ได้ระหว่างคุณรับคำท้า

คุณต้องรับรู้เสมอว่าคุณกำลังอยู่ในโลกของจินตนาการของประชาชนและใช้อารมณ์ตัดสินมากกว่าข้อเท็จจริง เพราะผมกับทีมเรานั้นเข้าใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่คุณเป็นมือใหม่ไม่มีทางไหนนอกจากคุณต้องทำใจเหมือนที่ผมเคยทำมาก่อนแล้วในอดีต

คุณต้องไม่กลัวต่อคำร้องเรียน บัตรสนเท่ห์ หนังสือทางการ ข้อความประนามคุณในโลกโซเชี่ยลเพราะ "ความไม่ถูกใจ" ที่คุณทำแม้คุณจะรู้อยู่เต็มอกว่า คุณได้ทำถูกต้องตามหลักวิชาการแล้วอย่างแม่นยำ คุณต้องไม่มีเวลาท้อใจ เหนื่อยใจหรือหมดกำลังใจ คุณต้องอดทนเหมือนกับผมและทีมของเรา

คุณต้องอดทนอดกลั้นกับความเข้าใจผิด ความคิดเองเออเองและความเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่คิดรอของประชาชนยุคนี้ให้ได้ไปพร้อมกับผมและทีมของเรา คุณต้องทำเหมือนที่ผมกับทีมทำเมื่อผมท้าคุณ

ระหว่างรับคำท้า อย่าน้อยใจถ้าหัวหน้าของคุณจะเชื่อใบร้องเรียนพฤติกรรมที่เขาก็ไม่เห็นมากกว่าข้อเท็จจริงและความเมตตาที่คุณพึงมีต่อประชาชน คุณต้องเข้มแข็งให้ได้เหมือนผมกับทีมจนกว่าจะจบคำท้า

และถ้าผมไม่ยิ้มตอนตรวจคุณเพราะเหตุผลข้างบนนั่น มั่นใจได้เถิดว่าจะไม่มีใครเลยที่จะได้เห็นรอยยิ้มของคุณตอนนั่นตรวจไปพร้อมๆ กับผมเช่นกัน

ผมท้าครับ มาลองปฏิบัติงานร่วมกับพวกเราดู ผมพร้อมจะยกเงินเวรราคาหลักร้อยให้คุณ พร้อมเลี้ยงอาหารสามมื้อจากโรงครัวโดยยินดีร่วมนั่งกินข้าวนั้นไปพร้อมๆ กับคุณ

เผื่อความดราม่าของคุณจะลดลงได้บ้างและหันมาร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่กันได้เสียที

แชร์มาอีกที จากเพื่อนร่วมวิชาชีพ

เครดิต Chokchai Wasinanont   29 มิถุนายน 2560  เวลา 13:17 น

https://www.facebook.com/wasinanont.chokchai/posts/1435877603121810




Create Date : 01 กรกฎาคม 2560
Last Update : 12 กรกฎาคม 2560 13:32:11 น. 3 comments
Counter : 1700 Pageviews.  

 
ขอเป็นคนนึงที่ให้กำลังใจคุณหมอนะคะ
เข้าใจความรู้สึกเลยว่าการทำงาน 16 ชั่วโมงต่อวันติดต่อกันนี้มันเป็นยังไง ยิ่งถ้าเป็นอะไรที่ต้อง On call ด้วยแล้วนี่ ไม่อยากจะนึกภาพเลยค่ะว่ามันเครียด และเหนื่อยล้าขนาดไหน
สู้ๆนะคะ


โดย: เภสัชน้ำรับสายค่ะ (สมาชิกหมายเลข 1180945 ) วันที่: 15 กรกฎาคม 2560 เวลา:11:49:07 น.  

 
รู้ว่าเป็นหมอแล้วเหนื่อย แล้วมาเรียนหมอทำไม???

ทุกครั้งที่มีข่าวแพทย์ลาออก โดยเฉพาะแพทย์ที่จบใหม่ ก็จะมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่า

"รู้ว่าเป็นหมอแล้วเหนื่อย แล้วมาเรียนทำไม"
"ทำไมแค่นี้ทนไม่ได้ อาชีพอื่นเหนื่อยกว่าตั้งเยอะเขายังทนกันได้"
"ลาออกทำไม"
และคำถามอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งจากคนรอบข้างและจากสังคม

รู้ว่าเป็นหมอแล้วเหนื่อย แล้วมาเรียนหมอทำไม
คำตอบ คือ ไม่รู้ครับ
ไม่มีใครรู้ตั้งแต่แรกหรอกครับว่าการเรียนหมอ จบแล้วจะมีชีวิตอย่างไร

ผมเองก็ยอมรับว่าก่อนมาเรียนก็ไม่รู้หรอก ว่าหลังจากเรียนจบแล้วจะทำงานยังไง ได้เงินเท่าไหร่ มีเวลาหรือไม่มีเวลายังไง ภาวะกดดันยังไง

และผมก็มั่นใจว่า เด็ก ๆ ส่วนมากก็ไม่มีวันรู้หรอกครับ เพราะตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนมากอายุประมาณ 17-18 ปี อย่าว่าแต่อาชีพหมอเลย แม้กระทั่งคณะอื่น ๆ อาชีพอื่น ๆ ที่เลือกเข้าไป ก็รู้แค่ผิวเผินเท่านั้นแหละครับ ไม่มีใครรู้รายละเอียดข้างในลึก ๆ หรอก

ก่อนมาเรียน
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเป็นหมอต้องทำงานติดกัน เกิน 24 ชั่วโมงอยู่บ่อยๆ ครั้ง
- ไม่มีใครรู้หรอครับ ว่าจะต้องมีวันทำงานรวมทั้งวันที่อยู่เวรมากกว่าวันหยุด ในปีแรกวันหยุดจะน้อยมาก เดือนนึงที่ได้หยุดจริงๆ ไม่ถึง 10 วันเสียด้วยซ้ำ และวันนักขัตฤกษ์หรือหยุดยาวนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับว่าจะได้หยุดหรือไม่ บ้านช่องแทบจะไม่ได้กลับ บางทีไม่เห็นหน้าพ่อแม่เป็นเดือนก็มีบ่อย ไปครับ
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเวลามาทำงานจริงๆ มันลาแทบจะไม่ได้เลย เพราะเราลาหนึ่งคน ก็ส่งผลกระทบต่องานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นต่อเพื่อนร่วมงาน หรือต่อคนไข้ เช่นอยู่โรงพยาบาลอำเภอมีหมอ 3 คน คนที่ 1 เป็น ผอ คนที่ 2 และ 3 เป็นหมอ คนหนึ่งตรวจคนไข้ประมาณร้อยคน ถ้าเราลาสักวัน เพื่อนก็ต้องทำงานเป็นสองเท่า เป็นต้น
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าต้องทำงานที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งสารคัดหลั่ง หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าต้องทำงานภายใต้สภาวะกดดันมากมาย บางครั้งต้องตัดสินใจให้เร็ว เพื่อแข่งกับเวลา และมีโอกาสผิดพลาดได้ทุกนาที
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าใช้เวลาในการเรียน 6 ปี เรียนรู้โรคเป็นร้อยเป็นพันโรค เรียนรู้ยาเป็นร้อยเป็นพันตัว แต่เวลาเอามาใช้งานจริง ๆ จำมาได้แค่ 20% ของที่เรียนก็เก่งมากแล้ว มิหนำซ้าเวลาตรวจคนไข้เจอโรคที่คาดไม่ถึงอีก ก็เกิดความผิดพลาดได้อีก พอผิดพลาดก็เกิดผลกระทบต่างๆ นา ๆ ตามมา
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าตอนที่เรียนนอก ไม่ใช่แค่นั่งเรียนหนังสืออย่างเดียว ยังมีการทำหัตถการพื้นฐานอีกมากมาย เวลาไปผ่านแต่ละแผนก ก็ได้ทำนิด ๆ หน่อย ๆ บางครั้งแทบไม่ได้เห็น เคยเห็นแต่ในตำรา แต่พอมาทำงานจริง กลับต้องทำโดยที่ไม่มีความถนัด ก็เสี่ยงต่อความผิดพลาด และการถูกฟ้องร้อง
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าการทำงานแต่ละนาที เสี่ยงต่อการถูกร้องเรียน หรือถูกฟ้องร้อง ขาข้างหนึ่งแทบจะก้าวเข้าไปอยู่ในตะรางตลอดเวลา
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเงินเดือนจริง ๆ ไม่กี่หมื่นบาท เวลาอยู่เวร ถ้าจบใหม่ ๆ บางที่ 8 ชั่วโมงก็ 400 - 800 บาท แต่แทบไม่ได้นั่งเลยก็มีนะครับ บางคนเปรียบเทียบว่าเป็นแรงงานชั้นดีค่าตอบแทนถูกนั่นเอง
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่ารายได้มันไม่ได้มากอย่างที่คิด รายได้รัฐบาลบางทีทำแทบตาย ต่อให้ทำทั้งวันทั้งคืนติดกันทั้งเดือน รายได้ก็หลักหมื่น รายได้จะมากหน่อยก็ตอนใช้ทุนปี 2 -3 พอมาเรียนเฉพาะทางแทบไม่มีรายได้เลยอีก 3 - 5 ปี (รับแต่เงินเดือนกับค่าเวร หมื่นสองหมื่นต่อเดือน) บางสาขาจบมา รายได้กลับน้อยกว่าตอนใช้ทุนเสียอีก
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าจะต้องมาเจออะไรในระบบราชการบ้าง ปัญหาร้อยแปด เช่น เอาหมอไปทำงานเอกสาร งานบริหารบ้าง เป็นต้น หรือปัญหาพื้นฐานเช่นเงินเดือนออกไม่ตรงเวลา 6 เดือนแรกไม่มีเงินเดือนให้ ค่าตอบแทนบางอย่างค้างเป็นปี ๆ ก็ยังไม่ออก
- ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเวลาเข้ามาเรียนแล้ว จะต้องเรียนต่อยอดไปเรื่อยๆ สามปี ห้าปี และมากกว่านั้นอีก กว่าจะจบและเริ่มเก็บเงินจริงๆ ก็เกือบจะสามสิบห้าแล้ว มีเวลาในการเก็บออมอีกไม่กี่ปี ก็หมดแรงทำงานแล้ว กว่าชีวิตจะสบาย เอาเข้าจริง ๆ ก็วัยห้าสิบกว่า ๆ หรือหลังเกษียณนะครับ

แล้วจะรู้เมื่อไหร่ ว่าการเป็นหมอลำบากขนาดไหน ต้องเจอกับอะไรบ้าง
- สามปีแรกยิ่งไม่ได้แตะตัวคนไข้ นั่งเรียนในห้องสี่เหลี่ยม ๆ กับเรียนแล็บต่าง ๆ
รวมทั้งผ่าอาจารย์ใหญ่ ยิ่งแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตจริงของหมอเลยครับ
- ปีสี่ ปีห้า เริ่มเข้ามาสัมผัสกับงานมากขึ้น เริ่มอยู่เวรแต่การอยู่เวรก็แค่เที่ยงคืน และยังมีชั่วโมงเรียนปนกับชั่วโมงฝึกงาน ก็ยังแทบจะไม่รู้อะไร
- ปีสุดท้าย ใกล้ชิดกับความเป็นหมอมากที่สุด แต่ก็ยังไม่ได้ดูคนไข้ทั้งตัวตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการสักเท่าไหร่ การรักษาส่วนมากยังอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่อยู่
- กว่าจะรู้จริงๆ ก็ตอนมาเป็นแพทย์ใช้ทุนแล้ว โดยเฉพาะแพทย์ใช้ทุนปีที่ 2 ที่ต้องออกไปทำงานเอง รับผิดชอบเองทุกอย่าง

ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลยครับ ว่าทำไมหมอถึงลาออกในช่วงนี้
ถ้าใครชอบชีวิตที่เล่ามา ก็ดีไป ทำงานต่อไปได้
ถ้าใครไม่ชอบ ก็จะพบสภาวะกดดันต่าง ๆ นา ๆ ทั้งจากสังคมและคนรอบข้าง

ดังนั้น ถ้าหมอสักคนจะลาออก ไม่ผิดหรอกครับ
สังคมไม่ควรตั้งคำถาม หรือควรประณามใด ๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ตัวเองว่าไม่เหมาะกับงานนี้ ให้คนที่เหมาะสมทำจะดีกว่า
ถ้ารู้ตัวเร็วว่าไม่ถนัดกับงานสายนี้ ดีกว่าดันทุรังทำไปด้วยใจไม่รักอีกหลายสิบปี

การเป็นหมอนั้นถ้าเป็นด้วยใจรักก็จะอยู่ได้ถึงวัยเกษียณ แต่ถ้าใจไม่รักก็จะรู้สึกเหน็ดเหนือยและท้อในแทบจะทุกวัน
การเป็นหมอนั้นไม่ได้สบายอย่างที่หลายต่อหลายคนคิด ในส่วนของรายได้ จริงอยู่ว่าไม่ได้อดตาย แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่หลายคนคิด

ลูกเพจของผมหลายๆ ท่านที่ถามมา รวมถึงผู้ปกครอง
นี่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง จากประสบการณ์ตรง
ที่อยากเล่าสู่กันฟัง
ว่าการเป็นหมอ ไม่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ และชีวิตไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดนะครับ
แต่ถ้าใครคิดว่าใจรักจริง ๆ หากมีญาติพี่น้องทำงานในโรงพยาบาล ก็ไปตามดูชีวิตของหมอก่อนได้ก็จะดีครับ
และที่สำคัญ พ่อ แม่ ที่มีความคาดหวังกับลูกมาก ๆ ว่าลูกเรียนเก่ง อยากให้เรียนหมอ จบหมอแล้วจะสบาย รายได้ดี ความคิดแบบนั้น ผมยืนยันว่า "ผิด" อย่างสิ้นเชิงครับ

OR No.9 เรื่องเล่าจากห้องผ่าตัด
16กค60 เวลา 11:43 น.
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=705040683015508&id=495293923990186


โดย: หมอหมู วันที่: 29 กรกฎาคม 2560 เวลา:14:35:12 น.  

 
สวัสดีนะจ้ะ แวะมาเยี่ยมนะจ้าาา sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ


โดย: สมาชิกหมายเลข 4057910 วันที่: 23 สิงหาคม 2560 เวลา:17:03:24 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]