เป็นหมอที่ทำงานรพ.ศูนย์ขนาดใหญ่รพ.นึง ทำงานมาก็หลายสิบปี ตอนนี้มานั่งอ่านเฟสเห็นแชร์กระทู้ดราม่ากันมากมาย แล้วรู้สึกหดหู่ใจมาก
ไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าโลกกำลังเปลี่ยน ค่านิยมสังคมก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนอาชีพหมอรุ่งเรืองมาก เพราะถือว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตพูดอะไรไปคนไข้ก็เชื่อ
เพราะไม่มีใครรู้ไปเท่าหมอ สมัยนี้วิทยาการก้าวหน้า คนไข้ได้รับข้อมูลหลายด้าน บางคนศึกษามาก่อน ทำให้รู้มามากกว่าเดิม แต่บางครั้งก็เป็นข้อมูลที่ผิด
การดูแลรักษาให้การวินิจฉัย ไม่สามารถเปิดหนังสือเอาตำรามากางแล้ววินิจฉัยได้ ไม่เช่นนั้นหมอก็คงไม่จำเป็น ใช้โปรแกรมคอมก็จบ แต่เมื่อมันมาจุดนี้หมอเราก็ต้องยอมรับและปรับตัว เราไม่สามารถพูดอะไรทำอะไรง่ายๆได้ ทุกอย่างต้องมีหลักฐานหลักการ และตรวจสอบได้
ตอนนี้กลายเป็นค่านิยมเป็นกระแสว่า หมอต้องถูกตรวจสอบ ถูกจับผิด เตรียมตัวโดนร้องเรียนฟ้องร้อง เพราะอะไร ? เพราะสมัยนี้ใครโวยได้เงิน?
เพราะถ้าโวยจะเกิดการเปลี่ยนแปลง? เกิดการได้รับบริการที่ดีขึ้น?
แล้วหมอโดนร้องเรียนเรื่องอะไร? การให้บริการล่าช้า? ผิดพลาด? แพง?
มาดูกันว่าทำไมเป็นหมอมันไม่ง่ายและสวยงามแบบที่คนส่วนใหญ่เคยมอง
1. โดนถ่ายรูป อัดคลิป แอบอัด
เจอบ่อยมากแทบทุกคนที่โดนมา ทั้งๆที่มันผิดกฏหมายก็แอบทำ เพื่อจะเอาไปเป็นข้อมูลว่า ถ้าหมอบอกไม่เป็นไรแล้วเป็นจะเอามาฟ้องต่อ
อยากให้คนไข้และญาติเข้าใจเราบ้าง งานหมอในรพ.รัฐบาลบทบาทจะไม่เหมือนเอกชนและในโรงเรียนแพทย์ เรามีหมอน้อยมากเทียบกับปริมาณคนไข้ที่หลั่งไหลกันมาเพราะความเชื่อใจ การที่หมอเลือกมาทำงานรพ.รัฐบาลที่งานหนักเงินน้อย เพราะอยากดูแลรักษาคนไข้บ้านเกิดเมืองนอน เราทำงานไม่มีวันหยุด นอกเวลาหรือนักขัตฤกษ์เราก็มาทำงาน จนคนมองว่ามันปกติ แต่อย่าลืมว่านอกเวลานั้นเราไม่ได้ค่าตอบแทนอะไร เรามาทำงานเพราะถูกปลูกฝังมาให้อย่าทิ้งคนไข้ และเสียสละ เราตั้งใจดีหวังดี แต่พอมาดูแลคนไข้เช้าวันหยุดแบบนี้ โดนแอบถ่ายคลิป โดนล่อให้พูดให้สัญญาว่าคนไข้จะหายไม่เป็นอะไร หมอเห็นนะคะ ป้ายก็มีติดว่าห้ามถ่าย แต่ก็ยังโดนแอบถ่าย เราก็ได้แต่ทอดถอนใจ ก็อธิบายไปตามปกติ แต่ลองคิดถึงใจคนที่ตั้งใจทำงานมาเพื่อช่วยเค้า แต่เค้ากลับจับผิดหวังจะย้อนกลับมาทำร้าย เป็นใครจะไม่ท้อ มองในแง่ดีว่าอาจจะฟังไม่ทันอยากกลับไปฟังใหม่ก็ได้ แต่ช่วยบอกช่วยขออนุญาตกันก่อนสักนิด จะรู้สึกดีขึ้นมากนะคะ
2. คนส่วนใหญ่มองว่า หมอชอบบ่นงานหนัก ก็เลือกมาเรียนเองนี่นา จะบ่นอะไร
เลือกมาเรียนจริงค่ะ แต่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะหนักหนาทั้งกายใจขนาดนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เราต้องตกเป็นจำเลยสังคมทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ขึ้นชื่อว่าหมอ ก็เตรียมตัวโดนจับผิดโดนร้องเรียนโดนฟ้อง งานหมอแต่ละ field ไม่เหมือนกัน ต่างกันไปในแต่ละรพ. อาจจะหนักเบาไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่ นอนไม่เต็มที่กินต้องเร็วไว้ก่อน เพราะไม่รู้จะโดนตามเมื่อไร ก็อยากให้มองในมุมของพวกเราบ้าง ว่างานมันหนักเพราะเราเลือกที่จะทำงานหนักนี้ เพื่อผลตอบแทนที่แสนจะไม่คุ้มกับความเหนื่อย เพื่อที่จะรักษาคนไข้ที่เค้าลำบากในต่างจังหวัด ไม่ได้อยากจะไปรักษาด้านอื่นๆที่สบายๆ เราเรียนมาเราก็อยากใช้ความรู้ที่มีกับคนที่เค้าต้องการเรา งานหนักบ่นกระปอดประแปด ถามว่าทำต่อมั้ย ก็ทำต่อค่ะ แต่หนักใจที่ทำไมทุกวันนี้คนไข้และญาติมองพวกเราเป็นศัตรูมากขึ้น ทำไมไม่เห็นในคุณค่าที่เราทำ บางคนพูดใส่หน้าว่า ไม่ต้องขอบคุณหมอหรอก เพราะหมอเรียนมาหน้าที่รักษาคนไข้ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่เป็นบุญคุณอะไร อยากตอบว่า เราทำหน้าที่จริงๆค่ะ แต่เราใช้ใจที่ทำงานด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าสั่งการรักษา คำว่าขอบคุณมันคงจะไม่ลำบากเกินไปทีคุณจะพูดแล้วจะสามารถสร้างกำลังใจให้พวกเราได้เยอะมาก ขอเถอะนะคะ ขอบคุณค่ะ
3. คนบอกว่า ทุกอาชีพก็เหนื่อยหนัก เครียดด้านอื่นเหมือนกันกับหมอแหละ
ความต่างจากอาชีพอื่นก็คือ หมอทำงานต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ 100% หนึ่งบวกหนึ่งไม่เท่ากับสองเสมอไป เหมือนที่โรงเรียนแพทย์สอนว่า ไม่มีอะไร 100% in medicine ปัจจัยที่ทำให้ผลการรักษาเปลี่ยนแปลงมีทั้งจากตัวคนไข้ การดื้อยา การดูแล โรคประจำตัว และการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ อาชีพอื่นๆ ส่วนใหญ่ ตรงไปตรงมา ทำรอบคอบก็พลาดน้อย แต่ของเราบางทีทำแทบตายดูแทบแย่ ลงท้ายก็ช่วยไม่ได้ แต่โดนโทษว่าเพราะเรา กาดูแลรักษาทางการแพทย์จะมองให้มันมีแง่ผิด มันผิดได้เสมอ เช่น ง่ายๆ กรณีที่มีแพทย์ รพช ต้องติดคุก เพราะ ผ่าตัดไส้ติ่งเอง ไม่ได้ refer มา รพ.ศุนย์ ทำไมน้องต้องได้รับโทษ เพราะกฏหมายตีความว่า น้องทำเกินขอบเขตความสามารถที่เรียนมาทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน คนอ่านข่าวนอกวงการก็มองว่า เออ แย่ บลาๆ แต่รู้มั้ยว่า หมอรพช ขาดแคลน ไม่มีหมอดมยา ไม่มีหมอศัลย์ คนไข้ภาวะฉุกเฉิน เดินทางไปไกลเสี่ยง ลำบาก หมอหวังดีอยากช่วย ผ่าตัดให้เพราะเคยมีประสบการณ์ผ่าตัดมาก่อนหลายเคส พอให้ยาชาเข้าไขสันหลัง เกิดกดการหายใจ เสียชีวิต เรียก high block ซึ่งไม่ได้เกิดในทุกราย และคาดเดาไม่ได้ แต่หมอก็โดนรับโทษไปเต็มๆ แล้วใครล่ะจะอยากทำอะไรเพื่อคนไข้ ในเมื่อเสียสละแล้วเจอแบบนี้ จึงเป็นที่มาว่า อะไรไม่ใช่หน้าที่ชั้น refer อย่างเดียว ลดความเสี่ยง แล้วเกิดอะไร คนไข้มากระจุกที่รพ.ศูนย์ รอนาน ตรวจไม่ทัน ล้น คนไข้ร้องเรียนไม่พอใจ พอปริมาณคนไข้มาก ความผิดพลาดก็เยอะขึ้น โดนฟ้องต่อ วัฏจักรชีวิตแบบนี้ คุณๆว่าเหมือนอาชีพอื่นๆมั้ย ความเครียดรอบด้านที่กดดันจากทั้งคนไข้และญาติ กระแสสังคม แม้แต่ผู้บริหารเองที่พร่ำบอกว่าเราต้องบริการให้คนไข้พอใจ แต่คุณภาพชีวิตและจิตใจของพวกเราล่ะ พวกคุณได้มองกลับกันบ้างหรือเปล่า ถ้าเราทุกคนมองแต่จะเอาแต่ได้ในมุมของตัวเอง มองในมุมลำบากของพวกเราบ้าง ทุกวันนี้พวกเราพยายามทำเต็มที่ด้วยแรงที่ยังมี ผู้บริหารเค้าจะเข้าใจเราได้ยังไง ในเมื่องาน service ไม่เคยมาถึงมือเค้า มีปัญหาอะไร พวกหมอ labor นี่แหละที่เป็นหนังหน้าไฟ น่าสงสารคนไข้และญาติก็จ้องจะทำร้าย ถ้าผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจ ผู้บริหารก็บีบกดดัน อยากลาออกกันมั้ย อยาก! แต่....แก่ปูนนี้จะทำอะไรอย่างอื่นกินได้ นอกจากก้มหน้ารับกรรม และหวังรอคอยว่าสักวัน คนไข้จะเห็นใจเราบ้าง และเหมือนรอระเบิดเวลา เมื่อไรที่เราจะพลาด เมื่อไรที่จะโดน ทำงานแบบนี้คุณจะมีความสุขมั้ย มีอาชีพไหนเป็นแบบนี้
4. พวกหมอโลกสวยบอกว่า ต้องทำตามจรรยาบรรณ ทำบุญกับคนไข้ ภูมิใจในความเป็นหมอ
ไม่ใช่ไม่ภูมิใจ ไม่ใช่ไม่รักในอาชีพ ดีใจทุกครั้งที่ช่วยคนไข้ได้สำเร็จ คนไข้หายกลับบ้าน มีความสุข แค่ความเครียดที่มันกดดันทุกวันนี้มันสะสม
อยากให้ประชาชานทั่วไปได้เข้าใจเรามากขึ้น จรรยาบรรณเราจะมีอยู่จนวันที่ไม่ได้เป็นหมอแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำงานหนักแบบนี้ หมอๆทั้งหลายก็อย่าเพิ่งท้อใจ เราทำงานเท่าที่เราทำได้เต็มที่ และเมตตาคนไข้ให้มาก แม้ว่าอาจจะขัดกับความรู้สึกเพราะบางคนนั้นแลดูหวังร้ายกับเราสุดๆก็ตาม แต่การตอบโต้โดยแรงเข้าใส่ ไม่ได้ประโยชน์ เค้าคาดหวังเค้าเจ็บป่วยมา ถ้าเราหวังให้เค้ามองมุมเรา เราก็ต้องมองมุมเค้าด้วย การให้ข้อมูลและบันทึกข้อมูลต่างๆสำคัญเสมอ อย่ารู้สึกว่าคนไข้คือศัตรู แม้เค้าจะมองเราเป็นศัตรู ทำหน้าที่ของเรา จนไม่ไหวก็หยุดเถอะนะ
5. เวลา กับ หมอ
คนชอบมองว่าหมอรวย อยากจะบอกว่าไม่ใช่หมอทุกคนจะรวยและสบาย เราเป็นหมอมาจะสามสิบปี ได้เงินจากรพ 40,000 บาทต่อเดือน เทียบกับการทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด ถ้าหยุดต้องมาทำงานชดเชยสองเท่า ไม่มี vacation ไม่มีลาป่วย ไม่เคยลาคลอดเพราะยังไม่มีลูก รู้แต่ว่าหยุดก็ต้องมาชดใช้ เวลาที่จะให้ครอบคัวเหรอคะ ได้ทานข้าวเที่ยงด้วยบางวัน และเจอกันตอนเย็นคือ สองทุ่ม กินข้าวเย็น หลับ จบ นี่แหละที่ไม่ยอมมีลูก
สมัยเรียนอาจารย์หมอสอนเสมอว่าเวลามีค่าที่สุด แต่ตอนนั้นอยากได้เงินมาก เลยไม่เชื่อ ตอนนี้เชื่อแล้ว เวลาสำหรับเราสำคัญมากที่สุด
คนบอกอยากเป็นหมอ เพราะคุณเข้าใจว่ามันสวยงามมันดี คุณทนงานหนักได้ ทนเครียดได้ นั่นเพราะคุณไม่เคยได้เข้ามาทำจริงๆ เช่นเดียวกับที่หมอหลายๆคนอยากจะออกไปทำอาชีพอื่นๆ เช่น ครู แม่ค้า ผู้พิพากษา ซึ่งเพื่อนหลายๆคนเค้าก็ออกไปกันแล้ว ทุกคน happy เงินน้อยลงเวลามากขึ้น ความสุขมากขึ้น ตอนนี้เรายังสับสนกับอนาคตว่าจะทำอะไรดี ใจยังรักคนไข้ อยากดูแลสุขภาพพ่อแม่ ถึงยอมทำงานนี้ บางวันเหนื่อยใจมากๆ จนท้อ บางวันคนไข้น่ารักยิ้มให้ ให้กำลังใจ เราก็ฮึดสู้
6. หมอ กับอนาคต
อนาคตที่มองไว้ ไทยเราจะไม่พ้นแบบอเมริกา doctor patient relationship จะหมดไป เป็นแค่ผู้ให้บริการกับลูกค้า หมอก็ซื้อประกันเพื่อกันการฟ้องร้อง คนไข้ก็ฟ้องไป และที่สำคัญที่สุด พอไม่มีความสัมพันธ์แบบหมอคนไข้ สักวันหมอที่มีจรรยาบรรณก็จะหมดไป เพราะทุกคนก็จะมองแต่เอาตัวรอด ต่อสู้กับศัตรู ที่อเมริกาจึงมีหมอ strike หยุดงาน โดยไม่สนอันตรายที่จะเกิดกับคนไข้เพื่อเรียกร้องสิทธิ เมืองไทยเราทำไม่ได้ เพราะพวกเรามีจรรยาบรรณ เราจะไม่ใช้คนไข้เป็นตัวประกัน แต่อนาคตใครจะรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่ตามมาคือระบบการให้บริการสุขภาพก็จะมี co pay มากขึ้น จนการรักษาฟรีจะหมดไป กรอบยานอกที่ดีๆแพงๆก็จะหาย เหลือแต่ยา copy หมอไทยน้อยลงเหลือแต่หมอ AEC ที่เค้าไม่ได้แคร์อะไรกับคนไข้ไทย เพราะเค้าไม่ใช่คนไทยอยู่แล้ว ใครที่จะได้รับผลกระทบ??? ไม่ใช่พวกคนรวยหรือคนที่มีการศึกษาที่ออกมาเรียกร้อง แต่เป็นคนไข้ยากจนที่น่ารักของเรานี่แหละ คนที่เฝ้ารอการรักษาที่มีใจยังรักพวกเราเหล่าหมออยู่ เราไม่อยากให้มีวันนั้นในเมืองไทย
ที่พูดมาทั้งหมดอาจจะไม่สามารถเป็นตัวแทนความรู้สึกหมอไทยทุกคน เพราะบริบทต่างกัน แต่หมอรพ.ศูนย์หรือ intern คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน
ไม่ใช่เราไม่อยากทำงาน งานหนักเราทนได้ แต่หนักใจ เพราะความกดดันทั้งหมด อยากให้คนไทยทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในวงการแพทย์เห็นใจหมอที่ดีที่ยังมีใจเสียสละเพื่อประชาชนบ้าง ให้กำลังใจพวกเค้า อย่าทำเหมือนเค้าคือคนที่พวกคุณเพ่งโทษจับผิด
สำหรับพวกหมอ ถึงเวลาที่พวกคุณจะต้องปรับตัวรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ไม่มีแล้วความเป็นเทวดาอภิสิทธิ์ของพวกคุณ กลับมาเป็นคนธรรมดาเป็นลูกหลานของคนไข้ รักษาดูแลเค้าเหมือนญาติ เลิกหยิ่งยโสว่าตัวเองเก่งเหนือใคร สังคมกำลังลงโทษที่เราเคยถูก spoiled มาทั้งชีวิต ถึงเวลาที่เราจะลด ego และใช้ใจเมตตามารักษาคนไข้ เรียกความศรัทธาความรัก doctor patient relationship กลับมา ก่อนที่จะสายเกินไป
//www.hfocus.org/content/2015/05/10035
Sun, 2015-05-24 18:22 -- hfocus
นพ.ธีระ วรธนารัตน์
ข้อเขียนจาก นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ทำนายสถานการณ์การรักษาใน รพ.รัฐ ว่า หากยังปล่อยให้มีสภาพแบบนี้ คือ กำลังคนสุขภาพที่ไม่มีทั้งขวัญและกำลังใจ งานหนัก ค่าตอบแทนต่ำ คน เงิน ของ ที่ไม่เพียงพอ และขาดแคลนไปทุกสิ่งเช่นนี้ ในอนาคตอีกไม่นาน ไทยคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับสถานการณ์ความเสื่อมถอยของระบบสุขภาพภาครัฐที่จะลดลงอย่างรุนแรง ขณะที่ธุรกิจอุตสาหกรรมสุขภาพพุ่งโตสวนทางไม่หยุดไปพร้อมกับธุรกิจประกันชีวิตที่หากินจากความเสื่อมถอยด้านคุณภาพของระบบสุขภาพภาครัฐ ซึ่งทั้งหมดเกิดจา นโยบายที่แก้ไม่ถูกที่ ชี้ไม่ถูกจุด และการไม่ยอมรับสัจธรรมของชีวิตในระบบสุขภาพ และในสังคม
นพ.ธีระ วรธนารัตน์ โปรดอย่าว่า รพ.รัฐเลยครับ
วันเกิดคีน...2558
วันนี้ป๊าอ่านโพสของพี่สาวที่เคารพรักสุดๆ ท่านนึง ที่พาคุณพ่อไปตรวจที่ รพ.รัฐ ในวันแห่งความรัก และประสบสถานการณ์ที่หมอมาลงตรวจช้ามากเนื่องจากติดประชุม
ผู้ป่วยจำนวนมากมาเข้าคิวรอตั้งแต่เช้าตรู่ แต่กว่าหมอจะมาก็ 11โมงกว่า แถมตรวจโดยใช้เวลา 1 นาทีด้วย
มีพี่ๆ น้องๆ ไปคอมเมนท์แสดงความเห็นใจ และให้กำลังใจอย่างมากมาย รวมถึงป๊าด้วย เนื่องจากป๊าเกาะติด และเข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ดีพอสมควร และพยายามช่วยกันหาทางพัฒนาระบบเช่นกัน...
มีบางคนก็คอมเมนท์ในทำนองที่ว่า นี่แหละสิ่งที่ รพ.รัฐให้ประชาชน...
ป๊าคิดว่าแนวคิดดังกล่าวไม่ตรงกับความจริง จึงเขียนตอบไปดังนี้...
........................................
ผมหมอธีระจากจุฬาฯ ครับ
โปรดอย่าว่า รพ.รัฐเลยครับ
สถานการณ์ดังกล่าวเราพบได้เป็นปกติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะนโยบายที่แก้ไม่ถูกที่ ชี้ไม่ถูกจุด และการไม่ยอมรับ "สัจธรรม" ของ "ชีวิต" ในระบบสุขภาพ และในสังคม
ณ ปัจจุบัน นโยบายจำนวนมากก็ยังถูกเข็นออกมาโดยดำเนินตามความเชื่อและแนวทางฝรั่ง โดยมิได้ดูว่า ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตของกำลังคนด้านสุขภาพเช่นไร เน้นดูแต่การปกป้องสิทธิ ทำให้เสมอภาค ลดค่าใช้จ่ายทุกวิถีทาง และเพิ่มคุณภาพ/ความปลอดภัยผ่านกลไกด้านระเบียบ เกณฑ์ และการขันน็อตระบบตรวจสอบ
หมอ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ รวมถึงพี่น้องในระบบสุขภาพนั้น ส่วนใหญ่ทำงานกันสายตัวแทบขาดภายใต้กฎเกณฑ์ และทรัพยากรในระบบที่มีอยู่
รัฐ (โดยเฉพาะคนสร้างและบังคับใช้นโยบาย) ต้องยอมรับสัจธรรมเสียทีว่า
หนึ่ง กำลังคนสุขภาพนั้น "มีชีวิตจิตใจ" และควรได้รับการดูแล "ชีวิตและจิตใจ" ให้สามารถทำงานอย่างมีสมดุลในชีวิตอย่างมีความสุข และได้รับการดูแลเอาใจใส่ครอบครัวของเขาและเธอ
สอง ทรัพยากรพื้นฐานในระบบรัฐ ทั้งคน เงิน ของ ไม่เพียงพอที่จะให้บริการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนทุกคนอย่างมีมาตรฐานและคุณภาพ ทั้งนี้ระบบประกันคุณภาพที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นเป็นเพียงภาพหลอก ที่ไม่สามารถรับประกันทุกกระบวนการ และทุกผลผลิตที่ออกจากระบบได้จริง
สาม การเลี้ยงดูกำลังคนภาครัฐทุกสาขา ด้วยค่าตอบแทนที่น้อยกว่าเอกชนนั้น รัฐต้องรักษาน้ำใจเขาและเธอด้วยเรื่องอื่นด้วย เช่น การดูแลรักษายามเจ็บป่วยของเค้าและครอบครัวอย่างดีและมีมาตรฐาน ที่ทำให้ไม่ลำบากขัดสน เพื่อตอบแทนเค้า ที่รับใช้ชาติด้วยความซื่อสัตย์ ทุ่มเท ตามปณิธานวิชาชีพ
สี่ ตัวเลขกำลังคนด้านสุขภาพที่ใช้อ้างอิงกันอยู่ เพื่อเร่งผลิต และสร้างกฎระเบียบมาบังคับนั้น ยืนบนพื้นฐาน "ตัวเลขที่ไร้ชีวิตจิตใจ" กล่าวคือ เป็นตัวเลขที่คำนวณมาตามอัตราค่าเฉลี่ยภาระงานที่ไม่ตรงความจริง ทั้งที่งานภาครัฐนั้นมีงานจรที่วุ่นวาย ไม่ตรงสายงาน และเป็นงานงี่เง่าจากนโยบายอุบาทว์ๆ มากมาย อาทิเช่น การเอาคนสุขภาพมานั่งกรอกตัวเลข จดสถิติ เพื่อทำเรื่องขอเงิน ดังที่เรารู้กันทั่วไป
นอกจากนี้ ภาระงานดังกล่าวทั้งหมดนั้นไม่ได้อิงสมดุลชีวิตคน ไม่คิดว่าคนเรานั้นมีท้อมีเหนื่อย มีความแปรปรวนด้านสมรรถนะ และการประสบปัญหาต่างๆ ในการทำงาน ดังนั้นถึงจะมีนโยบายจะให้ผลิตไปเท่าใด บังคับยังไง ก็ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผล แม้จะยกตัวอย่าง CPIRD มาว่าสำเร็จแต่เชื่อเถิดว่าชั่วคราวเท่านั้นจริงๆ
ระบบสุขภาพในอนาคตภายใต้นโยบายสุขภาพแบบเดิมๆ เช่นนี้ มีแนวโน้มสูงมากที่เราจะเห็นปรากฏการณ์ดังต่อไปนี้
หนึ่ง ความเสื่อมถอยในความน่าเชื่อถือและศรัทธาในระบบสุขภาพภาครัฐอย่างรุนแรง แม้แต่โรงเรียนแพทย์ เนื่องจากอิทธิพลของกลไกการเงินการคลังที่ผิดทางมาตลอด
สอง การผงาดของธุรกิจอุตสาหกรรมสุขภาพ จนครอบคลุมลูกค้าตั้งแต่ระดับรวยมากถึงระดับฐานะปานกลางระดับล่าง ทิ้งประชาชนยากจนมาก ไว้ให้หาทางรอดเอง ส่วนประชาชนยากจนแต่ไม่มากนั้น จะมีจำนวนสัดส่วนที่ผิดหวังกับระบบภาครัฐ หรือหลงเชื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้านมืด จนกู้หนี้ยืมสินไปใช้บริการเอกชนระดับล่างๆ
สาม ธุรกิจประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ และธุรกิจด้านกฎหมาย จะเฟื่องฟู สนุกสนานกับการหากำไรจากกลวิธี "เล่นกับความกลัว" และกลวิธี "ยุยงส่งเสริม" เพื่อหาเงินจากทั้งภาครัฐ และเอกชน แต่คนที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือ ประชาชนที่เป็นเหยื่อ และกำลังคนด้านสุขภาพ จนสุดท้ายแล้วจะพบปรากฏการณ์สุดท้าย ได้แก่
สี่ คุณภาพของคนที่สนใจศึกษา และปวารณาตัวทำงานด้านสุขภาพเพื่อรับใช้สังคมจะลดลงเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับจำนวนที่จะผลิตตอบสนองต่อความต้องการในระยะยาว จนอาจต้องใช้ต่างชาติแทน
ป.ล.ขออย่าให้เป็นดังที่ผมบอกเลยครับ หากเราช่วยกันทำให้ถูกทาง น่าจะดีขึ้นได้
ด้วยรักต่อพี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน
ผู้เขียน : ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ สำนักงานวิจัยและพัฒนาเพื่อการแปรงานวิจัยสุขภาพสู่การปฏิบัติ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย