ปมแค้นแรงพิศวาส ตอนบทส่งท้าย (2)...ความลับเปิดเผย !! ลูกสาวตัวน้อยของหยวนหยงอี้...
ปมแค้นแรงพิศวาส: Latest for Looking Back
ตอน บทส่งท้าย (2)...ความลับเปิดเผย !! ลูกสาวตัวน้อยของหยวนหยงอี้
โหลดเพลงตอนนี้ได้ที่นี่: War and Beauty
โดยจางงี้
ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว จื้อหลินยังคงนอนหลับอยู่ข้าง ๆ หยงอี้ที่นอนหันหลังให้ชายหนุ่ม สีหน้า แววตา และความรู้สึกของหญิงสาวในเวลานี้ดูเป็นทุกข์อย่างบอกไม่ถูก เธอรู้ตัวดีว่าเมื่อคืนนี้ได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไปแม้จะไม่ได้มาจากความตั้งใจ แต่ตัวเองก็รู้สึก กลัว กับอนาคตในภายภาคหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ หยงอี้นอนเหม่ออยู่ชั่วครู่ก่อนที่น้ำตาจะค่อย ๆ ปริ่มไหลออกมา วินาทีต่อมาจื้อหลินก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นและเห็นหญิงสาวที่เขารักนอนหันหลังให้ ชายหนุ่มจึงเข้าไปสวมกอดหญิงสาวเอาไว้จากทางด้านหลัง มือข้างหนึ่งสัมผัสที่ศีรษะของหญิงสาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปสูดดมกลิ่นหอมหวานที่เส้นผมของหญิงสาวอย่างหลงใหล หยงอี้ที่รู้สึกถึงสัมผัสนั้นก็รีบเอามือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่กำลังเอ่อไหลทิ้งไป พอทำเรื่องเรียนจบแล้ว เราบินกลับฮ่องกงกันนะ...ฉันรักเธอ แอนนิต้า เราจะแต่งงานกันทันทีที่กลับถึงฮ่องกง เธอไม่ต้องกังวลนะ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนฉันจะรับผิดชอบเอง จื้อหลินแสดงความจริงใจที่ตัวเองมีต่อหญิงสาว แต่ว่าหยงอี้ยังคงเงียบและไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ครู่หนึ่งจื้อหลินก็พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง หยงอี้ลุกขึ้นนั่งตามและคว้าเอาเสื้อเชิ้ตของจื้อหลินที่หล่นอยู่บนพื้นข้างเตียงขึ้นมาสวมใส่ เมื่อหยงอี้สวมเสื้อเสร็จก็เดินเข้าห้องน้ำ จังหวะที่เดินอ้อมมาอีกฟากหนึ่งของเตียงที่จื้อหลินนั่งอยู่เธอก็ถูกชายหนุ่มจับมือเอาไว้และดึงหญิงสาวให้นั่งลงข้าง ๆ เขา ก่อนที่จะปลดสร้อยคอที่เขาสวมอยู่ออกและบรรจงสวมใส่ให้หยงอี้ด้วยความทะนุถนอม ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความจริงใจของฉัน สร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยประจำตระกูลของฉัน...เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ฉันตั้งใจที่จะมอบให้กับคนที่ฉันรัก...สัญญากับฉันนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปเธอจะไม่ทิ้งหัวใจของฉันที่มอบให้กับเธอ ถ้าในอนาคตเรามีลูกด้วยกันเราก็จะมอบสัญญารักของเราให้กับลูก ลูกของเราจะได้รู้ว่าพ่อของเขารักแม่ของเขามากแค่ไหน ชายหนุ่มดึงตัวหญิงสาวให้เข้ามาในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ในเวลานี้หยงอี้รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เธอซาบซึ้งในความจริงใจที่ชายหนุ่มมอบให้ แต่มาร์คล่ะ หญิงสาวรักมาร์คมากเหลือเกิน แต่ตอนนี้เธอพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยหัวใจที่สับสน ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หลังจากที่จื้อหลินออกไปจากห้องของหยงอี้เพียงไม่นาน หม่าเฉินก็มาหาเธอถึงบ้าน ขอโทษนะ แอนนิต้า ที่เมื่อวานนี้ผมวู่วามเกินไป ผมอยากจะอธิบายให้คุณเข้าใจ ที่ผมต้องไปเก็บตัวเพื่ออบรมที่ฮาร์วาร์ดนานถึงหกเดือน ไม่ใช่ว่าผมต้องการจะทิ้งคุณไปไหน ผมทำก็เพื่ออนาคตของเราสองคนต่างหาก ลองคิดสิดูว่าการไปเก็บตัวในครั้งนี้มันมีความหมายกับผมมากแค่ไหน หากผมสามารถสอบเป็นทนายได้ผมก็จะสามารถสู้หน้าพ่อกับแม่ของคุณได้ ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้ดิบดีอะไร อย่างเดียวที่ผมสามารถทำได้คือการสร้างชื่อเสียง หากผมมีชื่อเสียงพ่อกับแม่ของคุณก็จะยอมรับในตัวผมด้วย หลังจากที่หยงอี้ได้ฟังคำอธิบายจากปากของคนรัก จิตใจก็อ่อนยวบลงในพริบตา เธอโผเข้ากอดหม่าเฉินแล้วร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น แต่ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกหนึ่งแทรกเข้ามา เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี จื้อหลินดีต่อเธอมากและเธอก็รู้ตัวดีว่าเขาแอบชอบเธอมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบถึงได้เกิดเรื่องอย่างเมื่อคืนนี้ขึ้นมา ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นหยงอี้จึงตัดสินใจนัดเจอกับจื้อหลินเพื่อต้องการคลี่คลายเรื่องราวทั้งหมด หญิงสาวนัดเจอกับจื้อหลินที่สวนหย่อมในมหาวิทยาลัย จื้อหลินมาก่อนเวลาและนั่งรอหยงอี้ด้วยใจเต้นระทึก เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนัดเจอเขาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเขารู้สึกตื่นเต้นดีใจที่หยงอี้เป็นฝ่ายนัดเจอเขาก่อน ระหว่างที่นั่งคิดเป็นตุเป็นตะหยงอี้ก็เดินตรงเข้ามาหาจื้อหลินและนั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าหยงอี้มาเขาก็ส่งยิ้มให้อย่างเปี่ยมสุข แต่ความสุขนั้นกลับพังทลายลงในพริบตาเพียงเพราะประโยคแรกที่หญิงสาวพูด ฉันขอโทษ ชาร์ล...เรื่องเมื่อคืนนี้ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเถอะนะ ฉันเพิ่งคืนดีกับมาร์ค ฉันไม่อยากให้มาร์ครู้เรื่องที่เกิดขึ้น ฉันขอโทษจริง ๆ เมื่อคืนฉันเมามากจนขาดสติ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจนายเลย...ฉะ...ฉัน... หยงอี้ไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี มือที่สั่นระริกค่อย ๆ ปลดสร้อยคอที่จื้อหลินใส่ให้เมื่อคืนนี้และตั้งใจจะคืนให้กับชายหนุ่ม ตอนที่เธอจับมือของจื้อหลินเธอถึงได้รู้ว่ามือของเขาเย็นเฉียบมากเพียงไรจนเธอถึงกับสะท้าน แต่จื้อหลินดึงมือกลับไม่ยอมรับสร้อยคอ ฉันมันน่ารังเกียจมากจนของเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้เธอก็ยังไม่อยากจะเก็บไว้เลยเหรอ จื้อหลินยังคงช็อกอยู่กับคำพูดตัดรอนของหญิงสาว และก็อดไม่ได้ที่จะพูดจาตัดพ้อหยงอี้ออกไป ฉันไม่ได้รังเกียจนาย เพียงแต่ว่านายควรเก็บของมีค่านี้ไว้ให้กับคนที่คู่ควรกับนายมากกว่าฉันต่างหาก เมื่อเห็นจื้อหลินยังคงนิ่งเงียบอยู่ หยงอี้ก็อึดอัดใจไม่น้อยที่ต้องทำลายน้ำใจของชายหนุ่ม เธอจึงสวมสร้อยคอไว้ดังเดิม ฉันไม่ได้นึกรังเกียจนายเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ต้องขอขอบคุณที่นายดีกับฉันขนาดนี้... แต่จื้อหลินไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปต่อหน้าต่อตาหยงอี้โดยไม่พูดไม่จา หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ จื้อหลินเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในหอพักอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความรักของเขาที่มีให้กับหยงอี้จะต้องลงเอยเช่นนี้ แต่ในความโศกเศร้านั้นยังมีความยินดีอยู่บ้าง เมื่อผู้เป็นแม่อย่าง เซียะเหมย โทรศัพท์มาหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนและคุยโทรศัพท์กับจื้อหลินตลอดทั้งคืนด้วยความคิดถึง เขาจึงได้รู้ซึ้งว่าไม่มีใครสำคัญไปกว่าคนในครอบครัวของเขาอีกแล้ว ในยามที่เขาต้องโดดเดี่ยวเดียวดายและเป็นทุกข์ ผู้เป็นแม่ก็เหมือนมีลางสังหรณ์และติดต่อมาหาลูกชาย ทำให้ผู้เป็นลูกรู้สึกอบอุ่นแม้ตัวจะอยู่ห่างไกลกัน ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นจื้อหลินจึงตัดสินใจบินกลับบ้านในทันที หยงอี้ที่รู้ข่าวก็มาส่งเขาที่สนามบิน ความสัมพันธ์ของพวกเรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้มั้ย เธอพูดกับจื้อหลินก่อนที่เขาจะเดินไปขึ้นเครื่อง คงเป็นเพราะว่าตอนนี้จื้อหลินทำใจได้แล้ว เขาจึงยิ้มให้กับเพื่อนสาวอย่างเป็นมิตรโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปและรับคำตามที่หญิงสาวขอร้องได้อย่างไม่ลังเล แน่นอนอยู่แล้ว ไว้เธอกับมาร์คกลับไปที่ฮ่องกงเมื่อไหร่ก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยียนฉันบ้างก็แล้วกัน ...นั่นเป็นเรื่องราวความรักครั้งแรกของจื้อหลิน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่คิดที่จะมีความรักอีก แต่คิดไม่ถึงว่าแค่วันแรกที่เขากลับมาถึงฮ่องกงก็ได้เจอกับ เสิ่นจือลี่ ที่มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับหยงอี้ไม่มีผิด และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตกหลุมรักจือลี่อย่างง่ายดาย แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังในความรักอีกครั้ง มานึก ๆ ดูเขาก็โชคดีอยู่ไม่น้อยที่เขาไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งกับพี่สาวแท้ ๆ ของตัวเอง คงเป็นเพราะได้ เทพธิดา ตัวน้อยอย่าง เสิ่นม่านชิง ที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขาและทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนแปลงไป ในเวลานี้จื้อหลินรักม่านชิงมากจนไม่อาจถอนตัวได้ และเขาก็มั่นใจกับความรักในครั้งนี้อย่างเต็มเปี่ยม เขาจะไม่ยอมสูญเสียความรักครั้งนี้ไปอีกแล้ว! และแล้ววันที่นัดเลี้ยงรุ่นก็มาถึง เมื่อจื้อหลินกับม่านชิงมาถึงบาร์จี้ถัง เพื่อน ๆ ของจื้อหลินก็มากันหลายคนแล้ว หลังจากที่จื้อหลินแนะนำม่านชิงว่าเป็น ว่าที่เจ้าสาว ของเขาในอนาคตอันใกล้นี้ให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักแล้ว หญิงสาวก็ขอปลีกตัวออกมานั่งอยู่อีกมุมหนึ่งและบอกให้จื้อหลินอยู่คุยกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม พอม่านชิงเดินออกไป สาว ๆ ขาเม้าธ์ทั้งหลายในกลุ่มก็เริ่มเปิดปากทันที เอ...ใครรู้มั่งว่าแอนนิต้าจะมางานนี้หรือเปล่า จู่ ๆ เพื่อนสาวคนหนึ่งในกลุ่มก็ถามคำถามขึ้นมากลางวง จนเพื่อนคนอื่น ๆ ต้องหันไปมองหญิงสาวเป็นตาเดียว เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่รู้จักนิสัยของเพื่อนหญิงคนนี้ดีก็ถึงกับหลุดปากออกมา อยากจะเม้าธ์อะไรก็เม้าธ์มาเถอะ เพราะว่าถ้าชักช้าอาจไม่ได้เม้าธ์ก็ได้ งานนี้แอนนิต้าต้องมาแน่ เพียงแต่ตอนนี้ยังมาไม่ถึงก็เท่านั้นแหละน่า เท่านั้นแหละเพื่อนสาวที่กำลังคันปากอยู่ก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ตัวเองรู้มาทันที หญิงสาวเริ่มเล่าเรื่องด้วยการบอกให้เพื่อน ๆ ทุกคนในกลุ่มรู้ว่าแอนนิต้าเลิกกับมาร์คมาได้ครึ่งปีแล้ว แถมยังเล่าต่ออีกว่าเป็นเพราะบ้านของตัวเองอยู่ในแถบเดียวกันกับบ้านของมาร์คที่อังกฤษก็เลยไปรู้เรื่องเด็ด ๆ มาอีกอย่างหนึ่ง พอพูดถึงตรงนี้ผู้หญิงทุกคนในที่นั้นก็หูผึ่งขึ้นมาทันที ยกเว้นจื้อหลินกับเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่งที่รวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยที่ไม่ได้มีทีท่าสนใจอะไรมากนัก เพราะเข้าใจธรรมชาติของผู้หญิงในเรื่องแบบนี้เป็นอย่างดี ฉันแอบได้ยินมาว่ามาร์คทะเลาะกับแอนนิต้าเรื่องลูกสาวว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของเขา! เพื่อนสาวเล่าไปก็พยักหน้าคิดตามไปด้วยก่อนจะหลุดปากออกมา มันคงจะเป็นเรื่องจริงอย่างที่มาร์คบอก เพราะว่าหลังจากที่แอนนิต้าแต่งงานกับมาร์คได้ไม่ทันไรก็ ตั้งท้อง ซะแล้ว พอได้ฟังถึงตรงนี้จื้อหลินก็แสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าสาว ๆ กลุ่มนี้ทั้งที่เป็นเพื่อนกันทำไมยังแอบนินทากันเสีย ๆ หาย ๆ ได้ขนาดนี้ ม่านชิงนั่งดื่มอะไรอยู่เพียงลำพังอีกมุมหนึ่ง บนโต๊ะมีจานขนมเค้กที่สั่งมาพร้อมกับน้ำผลไม้โซดา ขณะที่กำลังนั่งโยกตัวตามจังหวะเสียงเพลง หยงอี้ก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับทักทายหญิงสาว ม่านชิงหันมามองและเห็นว่าเป็นหยงอี้ก็เลยชวนให้หญิงสาวนั่งลง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อายุไล่เลี่ยกับเหมียนอี้หลานสาวของเธอ เด็กหญิงยืนหลบอยู่ข้างหลังหยงอี้ นี่ ลูกสาว ของฉันเอง หยงอี้บอกแล้วนั่งลงข้าง ๆ ม่านชิง แกชื่อเสี่ยวปิง ตอนนี้หกขวบแล้ว แต่ปิงปิงเป็นเด็กเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาแถมยังขี้อายอีกต่างหาก ก็เลยเป็นอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ หยงอี้แนะนำลูกสาวของตัวเองให้ม่านชิงฟังจบก็ถามถึงจื้อหลินบ้าง ทำไมชาร์ลถึงได้ปล่อยให้คุณมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะเนี่ย ไม่ไหวเลย อ๋อ ฉันเป็นคนขอแยกตัวออกมาเองแหละค่ะ ส่วนชาร์ลไปรวมกลุ่มคุยกับเพื่อน ๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง ม่านชิงบอกพร้อมกับชี้ให้อีกฝ่ายดูว่าเพื่อน ๆ ของหญิงสาวรวมกลุ่มกันอยู่ตรงมุมไหน หยงอี้ก็มองไปตามทิศทางที่ม่านชิงชี้ให้ดู ก่อนที่จะฝากลูกสาวไว้กับม่านชิงสักครู่เพราะอยากไปทักทายเพื่อน ๆ สักหน่อย พอหยงอี้คล้อยหลังไปเพียงครู่เดียว ม่านชิงก็ย้ายตัวเองมานั่งข้าง ๆ เสี่ยวปิงแทน และเห็นเสี่ยวปิงจ้องมองชิ้นเค้กที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาเป็นประกาย หญิงสาวถึงกับเผลอยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดูในท่าทางของเด็กน้อยที่ไม่ต่างอะไรเลยกับหลานสาวของตน ม่านชิงลูบหัวเสี่ยวปิงอย่างเอ็นดู ถ้าอยากกินก็ลงมือได้เลย ไม่มีใครว่าหรอก ก่อนจะหันไปสั่งน้ำผลไม้ให้กับเสี่ยวปิง ต่อจากนั้นก็คว้าเอาผ้าเช็ดปากคลี่ออกวางบนตักให้เด็กน้อยเพื่อกันเปื้อน ทว่าจังหวะที่เธอโน้มตัวเข้าไปหาเสี่ยวปิง สร้อยคอที่เด็กน้อยสวมใส่อยู่โผล่พ้นออกมาจากคอเสื้อพอดี ม่านชิงชะงักและจ้องมองสร้อยคอที่เสี่ยวปิงสวมอยู่ไม่วางตา ตอนนี้หญิงสาวมือเย็นเฉียบและค่อย ๆ ยื่นมือไปสัมผัสกับสร้อยคอที่มีรูปร่างคุ้นตา สร้อยคอเส้นนี้ใครให้มาเหรอจ๊ะ... อีกมุมหนึ่ง ขณะที่หยงอี้เดินเข้าไปหาเพื่อนอย่างเงียบ ๆ ก็พลันได้ยินเสียงเพื่อนสาวที่กำลังพูดถึงตนอยู่เต็มสองรูหู จะบอกอะไรให้ ฉันน่ะเคยคุยกับมาร์คเรื่องแอนนิต้า...มาร์คบอกกับฉันเองว่าเขาไม่แน่ใจว่าเสี่ยวปิงเป็นลูกของเขาหรือเปล่า เพราะพอเขาถามเรื่องนี้กับแอนนิต้าทีไร เธอก็จะทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจเขาทุกที คงเพราะเหตุนี้ล่ะมั้งมาร์คก็เลยทนไม่ได้ขอเลิกกับแอนนิต้า ยัยแอนนิต้านี่ก็เหลือเกินจริง ๆ หรือว่า... พอเพื่อนสาวที่เล่าอยู่พูดถึงตรงนี้ก็ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะโพล่งออกมาเสียงดังลั่น หรือว่าเสี่ยวปิงไม่ใช่ลูกสาวของมาร์คจริงๆ! จื้อหลินไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องที่เพื่อนสาวเล่าเท่าไหร่นัก เรื่องส่วนตัวแบบนี้ไม่ควรเอามานินทากันไม่ใช่เหรอ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแอนนิต้าจะเป็นคนแบบนั้นไปได้ เขาพูดปรามเพื่อนสาว ฉันไม่คิดเลยนะว่าพวกเธอจะเห็นความล้มเหลวของเพื่อนเป็นเรื่องตลกไปได้ จู่ ๆ เสียงของหยงอี้ก็ดังโพล่งขึ้นมากลางวง ทำให้คนในกลุ่มนั้นแตกกระเจิงทันที มิหนำซ้ำยังหน้าซีดกันไปเป็นแถบ ๆ จื้อหลินเองก็เช่นกัน เขาหันกลับมาเห็นหยงอี้ยืนตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธก็วางตัวไม่ถูก หยงอี้หมุนตัวกลับทันทีและเข้าไปกระชากมือของเสี่ยวปิงพาเดินออกไปจากจี้ถังต่อหน้าต่อตาม่านชิงที่นั่งตัวแข็งทื่อด้วยความงุนงง หลังจากที่หยงอี้กับเสี่ยวปิงเดินออกไปจากจี้ถังได้สักพักหนึ่ง จื้อหลินก็เดินกลับมาหาม่านชิงที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่พร้อมกับบ่นเปรย ๆ ให้หญิงสาวฟัง ทำเสียเรื่องแท้ ๆ ดันไปเอาเรื่องของแอนนิต้ามาเม้าธ์จนเจ้าตัวได้ยินเข้า งานกร่อยกันพอดี จื้อหลินพูดแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ สังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียวว่าแอนนิต้าจะต้องมาได้ยินเข้า ผมเลยพยายามพูดปรามเอาไว้ แล้วแอนนิต้าก็ดันมาได้ยินจริง ๆ เสียด้วย นึกทีไรก็ยังขำอยู่ไม่หาย จื้อหลินส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นเพื่อนชายอีกกลุ่มที่ล้อมวงกันเล่นสนุกเกอร์อยู่ ผมขอตัวไปเล่นสนุกเกอร์กับเพื่อน ๆ ด้านโน้นหน่อย คุณไม่ว่าอะไรใช่มั้ยที่ต้องนั่งคนเดียว ม่านชิงพยักหน้าช้า ๆ อย่างเหม่อลอยเช่นเดิม แต่จื้อหลินไม่ทันได้สังเกตเห็นเพราะลุกออกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนทันทีที่พูดจบ ร้องไห้ทำไมกัน เดี๋ยวไม่น่ารักนะ
ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย ต่อจากนั้นเด็กชายก็ปลดสร้อยคอของตัวเองออกมาแกว่งตรงหน้าเด็กหญิง พร้อมกับบรรยายสรรพคุณของสร้อยคอซะเสร็จสรรพ ส่วนเด็กหญิงก็ยิ้มอย่างดีใจและคิดว่าพี่ชายจะมอบสร้อยคอให้กับตน แต่ทันใดนั้น พี่ชายที่ใจดีกลับกลายเป็นคนใจร้าย เขาแลบลิ้นใส่ยังไม่พอ ยังเอาสร้อยคอที่เด็กหญิงหลงใหลสวมให้กับเด็กผู้หญิงอีกคนต่อหน้าต่อตาอีกด้วย กรี๊ดดด! ม่านชิงกรีดร้องออกมาสุดเสียงพร้อมกับรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานั่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ อีกแล้ว! เธอฝันร้ายแบบนี้อีกแล้ว! ตั้งแต่วันที่กลับจากบาร์จี้ถัง หญิงสาวก็รู้สึกจิตใจว้าวุ่นตลอดเวลา ฝันร้ายบ้า ๆ นั่นก็ตามมาหลอกหลอนเธอทุกคืนเป็นเวลาสามวันเต็ม ๆ ทันทีที่ตั้งสติได้ม่านชิงก็คว้าโทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างหัวเตียงกดโทร. หาจื้อหลินแล้วนัดให้เขามาพบกับเธอที่ร้านประจำหลังเลิกงานวันนี้ ซึ่งจื้อหลินก็รับปากหญิงสาวและบอกว่าเขาจะรีบไปให้เร็วที่สุดหลังจากที่ประชุมเสร็จ แต่กว่าที่ชายหนุ่มจะมาถึงที่นัดหมาย ม่านชิงก็ต้องนั่งรออยู่เป็นชั่วโมง ม่านชิงกำลังนั่งเหม่อลอย มือประคองแก้วน้ำผลไม้ที่สั่งมาเป็นชั่วโมงจนน้ำแข็งละลายหมดแล้วโดยที่ยังไม่ได้ดื่มสักอึกเดียว และแล้วจื้อหลินก็วิ่งเข้ามาในร้านด้วยความเร่งรีบและตรงมายังโต๊ะประจำที่ม่านชิงนั่งอยู่ทันที ก่อนจะหันไปสั่งกาแฟกับบริกรและหันมาขอโทษขอโพยม่านชิงยกใหญ่ที่ต้องปล่อยให้รอนานก่อนจะเอ่ยถามหญิงสาว ทานอาหารเสร็จแล้วเราไปไหนกันต่อดี ไม่ล่ะค่ะ วันนี้ฉันไม่อยากไปไหน เมื่อจื้อหลินเห็นแฟนสาวซึมไปและมีท่าทางผิดปกติจึงกุมมือหญิงสาวไว้พร้อมกับถามออกไปอีกครั้ง คุณมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เล่าให้ผมฟังเหมือนทุกทีสิ ทว่าม่านชิงกลับดึงมือออกจนจื้อหลินอึ้งไป เพราะแฟนสาวไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้มาก่อน ชาร์ล ฉันขอดูสร้อยคอของคุณหน่อยได้มั้ยคะ จื้อหลินไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ม่านชิงถึงต้องขอเขาดูสร้อยคอด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่ปลดสร้อยคอที่สวมใส่อยู่ส่งให้กับม่านชิงอย่างว่าง่าย ก่อนที่จะสังเกตท่าทางของหญิงสาวตอนที่สัมผัสสร้อยคอด้วยมือสั่น ๆ เมื่อม่านชิงพลิกฐานกระดิ่งหงายขึ้นมาดูและได้พบว่าที่ฐานกระดิ่งไม่ได้สลักคำว่า ฝง หญิงสาวก็ส่งสร้อยคอคืนให้กับจื้อหลิน เสียงสั่นเครือหลุดออกจากปากเพียงประโยคสั้น ๆ ไม่ใช่...มันไม่ใช่เส้นนี้! ต่อจากนั้นน้ำตาก็ค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาของเธออย่างไม่อาจห้ามได้ จนจื้อหลินเองก็งงไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวกันแน่ เมื่อหลายวันก่อนที่จี้ถัง ฉันเห็นเสี่ยวปิงสวมสร้อยคอเส้นหนึ่ง คุณบอกฉันได้มั้ยชาร์ล...เสี่ยวปิงเป็นอะไรกับคุณกันแน่! เมื่อไม่อาจทนเก็บไว้ได้อีกต่อไป ม่านชิงก็ตัดสินใจเล่าสิ่งที่เห็นมาให้จื้อหลินฟังทั้งน้ำตา แต่ชายหนุ่มยังคงไม่เข้าใจว่าสิ่งที่หญิงสาวพูดหมายถึงอะไร เสี่ยวปิงคือใคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสร้อยคอของเขาด้วย ม่านชิงยังคงสะอื้นไห้อยู่พร้อมกับค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นไปที่ลำคอของตัวเองและกำสร้อยคอไว้แน่น ก่อนจะสารภาพกับชายหนุ่มตามตรง หลายวันมานี้ฉันนอนฝันร้ายทุกคืน...ฝันเห็นตัวเองเมื่อตอนอายุห้าขวบที่ต้องร้องไห้อย่างเดียวดายตอนที่พี่ชายเดินจากไปพร้อมกับเด็กผู้หญิงอีกคน...ฉันยอมรับว่าสร้อยคอที่คุณเคยให้ไว้มีอิทธิพลกับฉันมาก ฉันขอร้องล่ะค่ะ ได้โปรดเล่าความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันไม่เคยรู้ระหว่างคุณกับแอนนิต้าให้ฉันฟังเถอะ พวกคุณเคยมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ ม่านชิงขอร้องจื้อหลินทั้งน้ำตา และจากคำสารภาพของหญิงสาวเขาถึงเพิ่งจะเริ่มว่าอะไรเป็นอะไร จื้อหลินยอมเล่าความสัมพันธ์ของเขากับหยงอี้ให้หญิงสาวฟังทั้งหมด ระหว่างที่เล่าภายในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อยว่าอดีตของเขาจะมีผลต่อความสัมพันธ์ของเขากับม่านชิง แต่ที่ต้องเล่าเพราะเขาไม่อยากมีเรื่องที่ต้องปิดบังกับหญิงสาว และต้องการแสดงความจริงใจที่เขามีต่อเธอ เรื่องที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว จื้อหลินยืนยันเสียงหนักแน่น ตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกใด ๆ กับหยงอี้อีกต่อไปแล้ว และสาเหตุที่ผมต้องทำสร้อยคอขึ้นมาใหม่เพราะไม่อยากให้แม่โกรธอีกถ้าสร้อยคอหายไป จื้อหลินรู้สึกกระวนกระวายใจและนึกกังวลกับอนาคตของเขากับม่านชิง แต่หญิงสาวสงบลงหลังจากที่ได้ยินความจริงจากปากของจื้อหลิน แต่ทว่าในความสงบนั้นกลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นที่เกาะกุมหัวใจของชายหนุ่มอย่างน่าหวาดกลัว ม่านชิงค่อย ๆ ปาดน้ำตาทิ้งพร้อมกับปลดสร้อยคอของตัวเองออกมาวางไว้บนโต๊ะและเลื่อนไปตรงหน้าของจื้อหลินก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นจนคนที่ได้ฟังอดสะท้านไม่ได้ ฉันยอมรับว่าฉันเห็นแก่ตัวและทำใจไม่ได้ที่ต้องใช้ผู้ชายร่วมกับคนอื่น คุณควรจะรู้ว่าคุณไม่ควรให้ของมีค่าแบบนี้กับใครง่าย ๆ เพราะมันจะทำร้ายคุณและคนคนนั้นโดยไม่รู้ตัว ฉันฝังใจกับสร้อยเส้นนี้มามากแล้ว มันทรมานเหลือเกินค่ะชาร์ล คุณไม่ต้องกังวลนะคะ ถึงแม้ว่าสร้อยคอจะไม่ได้อยู่กับฉัน แต่ฉันจดจำรายละเอียดทุกอย่างของมันได้ดี...ดีซะจนกระทั่งมันย้อนกลับมาทำร้ายตัวฉันเอง...ชาร์ลคะ ฉันว่าเราอยู่ห่างกันสักพักดีกว่า จะได้มีเวลาคิดว่าเราควรจะทำยังไงกันต่อไป พอม่านชิงพูดจบก็ลุกขึ้นยืนเดินออกไปทันที แต่ก่อนที่จะจากไปเธอก็ยังบอกทิ้งท้ายให้เขาได้รับรู้ เสี่ยวปิงเป็นลูกสาวของหยงอี้ ไม่แน่ว่าเด็กคนนั้นอาจจะเป็นลูกสาวของคุณก็ได้ เพราะว่าสร้อยคอที่คุณเคยให้กับหยงอี้ในเวลานี้สวมอยู่บนคอของเสี่ยวปิง! พูดจบก็สูดลมหายใจลึก ๆ และยืดไหล่ตรงเดินออกจากร้านไป ส่วนจื้อหลิน ในตอนนี้สายตาของเขาว่างเปล่า ชายหนุ่มนั่งนิ่งเหมือนวิญญาณหลุดลอยจากร่าง ครู่เดียวน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งไหลออกมานานมากแล้วก็ค่อย ๆ ไหลออกมาโดยที่ไม่อาจควบคุมได้ แม้จะเจ็บปวดกับความจริงที่เพิ่งได้รู้ แต่จื้อหลินก็ไม่ใจร้ายพอที่จะนิ่งเฉยเหมือนไม่สนใจอะไร ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นจื้อหลินจึงตรงไปที่บ้านของหยงอี้แต่เช้าเพราะต้องการสืบให้รู้แน่ชัดถึงความจริงทั้งหมด แต่พอหยงอี้เห็นหน้าของเขาก็ตั้งท่าจะปิดประตูใส่ตั้งแต่วินาทีแรก พร้อมกับไล่ให้เขากลับไปเพราะเธอไม่อยากเจอใครทั้งนั้น แต่ในจังหวะที่หยงอี้กำลังจะปิดประตูก็ได้ยินเสียงเสี่ยวปิงอาเจียนเลยวิ่งเข้าไปดู โดยมีจื้อหลินวิ่งตามเข้าไปด้วยจึงได้เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอาเจียนจนหน้าซีดและหายใจไม่ออก สุดท้ายเด็กน้อยก็สลบไปคาอ้อมกอดของแม่ หยงอี้ทำอะไรไม่ถูกได้แต่กอดลูกน้อยไว้ทั้งน้ำตา ปากก็พร่ำพูดอยู่ซ้ำ ๆ ว่าจะทำยังไงดี! จะทำยังไงดี! จื้อหลินเห็นท่าไม่ดีจึงคว้าตัวเสี่ยวปิงขึ้นมาอุ้มและรีบพาไปส่งโรงพยาบาลทันที หลังจากที่หมอออกมาจากห้องฉุกเฉินจึงได้บอกหยงอี้กับจื้อหลินว่าเสี่ยวปิงมีอาการติดเชื้อในลำไส้ คงต้องให้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการสักสองสามวัน แต่ว่าตอนนี้ขอให้ทั้งสองคนวางใจได้เพราะเสี่ยวปิงปลอดภัยดีแล้ว ตอนนี้สามารถย้ายเด็กขึ้นไปอยู่ที่ห้องพักธรรมดาได้แล้ว ตอนนั้นหยงอี้ก็ถามถึงค่าใช้จ่ายของเสี่ยวปิงขึ้นมาทันทีและขอให้เสี่ยวปิงพักอยู่ห้องรวม แต่จื้อหลินไม่เห็นด้วยและจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของเสี่ยวปิงให้เอง หยงอี้อึกอักอยู่เล็กน้อยแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะจื้อหลินเดินจากไปจัดการแทนเรียบร้อยแล้ว พอได้อยู่กันตามลำพังในห้องที่เสี่ยวปิงนอนรักษาตัวอยู่ จื้อหลินก็เอ่ยปากถามออกไปตามตรง เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับมาร์ค...ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า หยงอี้ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร แต่มีสีหน้ากังวลใจและเม้มปากแน่น จนกระทั่งถูกจื้อหลินคาดคั้นหนักเข้าเธอจึงยอมเปิดปากเล่าความจริงออกมาในที่สุด ที่ฉันเลิกกับมาร์คเป็นความจริง หลังจากที่เลิกรากันก็ตัดสินใจกลับมาอยู่ที่ฮ่องกงกับลูก แต่เรื่องของฉันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอะไรกับนายสักหน่อย ทำไมนายต้องอยากรู้ด้วย เท่านั้นแหละ จื้อหลินจึงหลุดปากโพล่งออกไป จะไม่เกี่ยวกับฉันได้ยังไง ในเมื่อเสี่ยวปิงเป็นลูกสาวของฉันไม่ใช่เหรอ หยงอี้ได้ยินก็ได้แต่นิ่งอึ้งและจ้องมองจื้อหลินอย่างตกตะลึง ขอบคุณที่เธอยังคงจำสัญญาที่ให้ไว้กับฉันได้ ต่อไปนี้ฉันจะดูแลเธอกับลูกสาวเอง เขาพูดพลางดึงตัวหยงอี้ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด หญิงสาวโอนอ่อนผ่อนตามจื้อหลินและซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าจื้อหลินจะไม่ได้มีเยื่อใยกับเธอแล้ว แต่เขาก็ต้องรับผิดชอบในความผิดพลาดที่ตัวเองก่อขึ้น เขาทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้สองแม่ลูกต้องต่อสู้กับชีวิตกันตามลำพังทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีส่วนผิด ในเวลานี้แม้เขาจะกอดหยงอี้อยู่ แต่ภายในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เพราะมันแหลกสลายไปแล้วตั้งแต่ตอนที่ม่านชิงหันหลังให้กับเขา ส่วนม่านชิง หลังจากที่ขอเลิกกับจื้อหลินก็บอกเรื่องนี้ให้จือลี่กับจิ้งเถาได้รับรู้ และย้ำกับพี่สาวและพี่เขยว่าขอให้พวกเขาอย่าได้พูดถึงเรื่องระหว่างเธอกับจื้อหลินอีก เพราะเธอไม่อยากจะทนทุกข์ทรมานกับความรักอีกต่อไปแล้ว จือลี่กับจิ้งเถาได้แต่รับฟังอย่างเงียบ ๆ เพราะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดีและรับปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ สองสัปดาห์ที่ผ่านมาม่านชิงทุ่มเทเวลาให้กับงานอย่างเต็มที่ เพราะไม่อยากอยู่เฉย ๆ และคิดอะไรฟุ้งซ่าน หลังจากที่เลิกกับจื้อหลิน หญิงสาวก็ไม่ได้ฝันร้ายอีก ขณะที่กำลังคิดแผนงานของตัวเองอยู่เพลิน ๆ โทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นหวังไท่หยางโทร. มาถามสารทุกข์สุกดิบของหญิงสาวหลังจากที่เขาออกไปท่องเที่ยวเสียนาน ฉันสบายดีค่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เมื่อไหร่พี่ไท่หยางจะกลับมาทำงานซะทีล่ะคะ พี่อยากจะฝากแมนดี้ลางานกับบอสให้อีกสักสี่ห้าวัน เพราะพี่ยังอยากพักผ่อนอยู่เลย ตอนนี้พี่กลับจากทัวร์ยุโรปมาสองอาทิตย์แล้ว ตอนนี้มาเที่ยวบ้านญาติที่ปักกิ่ง อยู่ในหมู่บ้านเทียนอันเหมิน ที่นี่บรรยากาศดีมากจนไม่อยากกลับเลยล่ะ แล้วก็พูดแซวม่านชิงต่อ สนใจจะมาเที่ยวกับพี่มั้ยล่ะ พี่ยินดีต้อนรับนะ... ระหว่างที่ไท่หยางพูดโทรศัพท์ จู่ ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังลอดเข้ามา ครั้นพอม่านชิงถามว่าเสียงอะไร ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบจากไท่หยาง ชายหนุ่มก็วางหูไปซะก่อน หลังจากวางหูเธอก็คิดตามที่ไท่หยางพูด...มันคงดีไม่น้อยหากว่าเธอได้หลบไปพักผ่อนซะบ้าง ดังนั้นม่านชิงเลยตัดสินใจเข้าไปลางานกับ หัวหน้าอีกคน ซึ่งหัวหน้าของเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็อดพูดหยอกหญิงสาวไม่ได้ว่า อย่าลาให้มันนานนักก็แล้วกัน พอกลับมาทำงานอีกทีอย่าลืมลากเจ้าไท่หยางกลับมาทำงานด้วยล่ะ
............................................
โปรดติดตามตอนต่อไป รอยแค้นแรงพิศวาส ตอนบทส่งท้าย (จบ) Happy Station
Create Date : 19 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 13:01:27 น. |
|
14 comments
|
Counter : 652 Pageviews. |
|
|
|
โดย: หลินอี้ วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:02:59 น. |
|
|
|
โดย: หลินอี้ วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:05:30 น. |
|
|
|
โดย: 2in1 IP: 124.121.150.53 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:07:30 น. |
|
|
|
โดย: O-yohyo IP: 58.9.157.118 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:58:55 น. |
|
|
|
โดย: O-yohyo IP: 58.9.157.118 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:01:47 น. |
|
|
|
โดย: O-yohyo IP: 58.9.157.118 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:03:33 น. |
|
|
|
โดย: Cipher IP: 58.8.143.20 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:13:33 น. |
|
|
|
โดย: จางงี้ (ChuengNgee ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:19:55 น. |
|
|
|
โดย: หลินอี้ วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:23:56 น. |
|
|
|
โดย: หลินอี้ วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:27:12 น. |
|
|
|
โดย: Cipher IP: 58.8.146.234 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:46:02 น. |
|
|
|
โดย: O-yohyo IP: 58.9.164.100 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:04:55 น. |
|
|
|
โดย: หนังสือมือสอง (AngelTomorrow ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:48:54 น. |
|
|
|
โดย: หลินกุ IP: 118.172.97.156 วันที่: 25 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:21:26 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สงสารทั้งชาร์ลทั้งแมนดี้ ทำไม๊ทำไมชะตาชีวิตถึงได้เล่นตาหลกปรกฮาแบบนี้ม่ายฮู้ ของแมนดี้นี่ยังดีไม่ถลำลึก แบบว่ามารู้หลังแต่งกะชาร์ลแล้วคงลำบาก เพราะเป็นผู้หญิง แต่ชาร์ลเนี่ยดิ ทำใจลำบากเหมือนกัน รักแอนนิต้า มารักเจนนี่ มารักแมนดี้ แล้วต้องกลับย้อนไปรับแอนนิต้าอีกรอบ หลินกุสงสารชาร์ลมากกว่าแมนดี้เพราะไม่ใช่เป็นกองเชียร์ฝั่งนี้นะ แต่พูดด้วยใจเป็นกลางแล้วเนี่ย ผิดเหรอๆ ที่ในอดีตผู้ชายคนหนึ่งพลาดไป แล้วต้องมาเจ็บซ้ำอีกรอบอ่า แมนดี้ก็นะ ใจร้ายง่า รู้ว่ามันยากที่จะทำใจ แมนดี้ทำแบบนี้ก็ถูกนะ แบบตัดบัวไม่เหลือใยให้มันรู้เรื่องไปเลยไม่ยืดเยื้อ แต่ไม่คิดถึงจิตใจชาร์ลเลย งานนี้เศร้าค่ะ ไม่รู้จะพูดยังไง ขอคลานแบบไร้เรี่ยวแรงไปเยียวยาตัวเองก่อนนะคะ