Group Blog
มีนาคม 2565

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
เขียนไว้ในความทรงจำ - ครบรอบ 22 ปี ที่เดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย







ครบรอบ 22 ปี ที่เดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย






กลับมาประจำการหน้าคอมพิวเตอร์เหมือนเดิมครับ  .....  หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่า  (มัน)  หายไปไหนมา ....  แฮ่ๆๆ  ขอตั้งสติ  เรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้นใน  2  อาทิตย์ที่ผ่านมา  ก่อนนะครับ  เดี๋ยวจะเอามาเหลาให้ฟัง  ….
 



 
 
วันนี้  FB  เตือนว่า 
“ครบรอบ  22  ปี  ที่เดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ  ที่เมือง  Melbourne  ประเทศ  Australia”  ก็เลยอยากจะบันทึกความทรงจำเอาไว้ในบล็อกเป็นหลักฐานที่เป็นตัวหนังสือ  จะได้กลับมาอ่านได้เวลาคิดถึงการใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลียครับ
 














จำได้ลางๆว่า  ....  รอเอกสารตอบรับจากมหาวิทยาลัย  Monash  นานมากครับ  จนเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนนึงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษก่อนเข้าปริญญาโทจะเปิดเรียนอยู่รอมร่อแล้วทางมหาวิทยาลัย  Monash  จึงได้ส่งเอกสารที่ใช้ในเดินทางกลับมา 



 
 
เราต้องเอาเอกสารทั้งหมดนี้ไปขอวีซ่านักเรียนที่สถานทูตออสเตรเลียซึ่งใช้เวลานานกว่าการขอวีซ่านักท่องเที่ยว  ตอนนั้นใช้บริการของ  IDP  ซึ่งก็จะเสียเวลารอนานกว่าปกติเพราะเค้าจะส่งเอกสารเข้าไปเป็นรอบๆ 



 
 
จำได้แม่นเลยว่า  วันหนึ่ง  IDP  โทรมาตอนสายๆ  ว่าได้วีซ่าแล้ว  ....  ดีใจมากกกกกก  รีบอาบน้ำ  แต่งตัว  ไปรับวีซ่าที่สำนักงาน  IDP  ที่สีลมทันที  รับวีซ่าเสร็จก็เลยไปจองตั๋วเครื่องบินที่พันธุ์ทิพย์  ประตูน้ำ  สมัยนั้นการจองตั๋วเครื่องบินยังต้องจองผ่าน  agent  ตั๋วที่ได้จะเป็นกระดาษ  copy  เป็นเล่มยาวๆ  และที่สำคัญที่ต้องเอาวีซ่านักเรียนไปจองตั๋วเครื่องบินเพราะว่าจะได้ราคาถูกกว่าราคาปกติ  request  น้ำหนักกระเป๋าได้  40 กิโลกรัม  (นักท่องเที่ยวปกติได้แค่  20  กิโลกรัม)
 
 



ที่เด็ดที่สุด  agent  ถามถึงวันเดินทาง .... 
ตอบไปว่า  “เร็วที่สุด”  agent  เลยจัดให้เดินทางในอีก  5  วัน











 
 
กลับมาถึงบ้านแม่บ่นหูดับเลยว่าทำไมมันฉุกละหุกขนาดนี้  บอกแม่ไปว่าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษมันจะเปิดเรียนอยู่รอมร่อแล้ว  อยากไปถึงเมลเบิร์นก่อนเปิดเรียนซักอาทิตย์นึง  ทุกๆอย่างจะได้เข้าที่เข้าทาง 
 
 



เรื่องของที่จะเอาไปนั้นก็เตรียมเอาไว้เกือบหมดแล้ว  เสื้อผ้า  เสื้อหนาว  หนังสือที่จะเอาติดไป  อะไรต่ออะไรจิปาถะเตรียมกองๆไว้  เหลือแค่จัดเข้ากระเป๋า  แล้วชั่งน้ำหนักเท่านั้นเอง
 
 



จำได้ว่า  4 – 5  วันนั้นยุ่งๆกับการเดินสายลาญาติผู้ใหญ่เพื่อไปเรียนต่อ  เก็บกระเป๋า  และโทรนัดเพื่อนๆไปเจอกันที่สนามบิน 
 
















 
เช้าวันที่เดินทางจริง  .....  ตื่นขึ้นมารู้สึกโหวงๆ  มวนท้องยังไงบอกไม่ถูก  (ยังจำความรู้สึกได้จนถึงทุกวันนี้)  พ่อ  แม่  และน้อง  ก็ยังทำตัวเป็นปกติ  ตัวเองก็เก็บห้องให้เรียบร้อยเพราะจะไม่มีคนเข้ามาใช้ห้องไปอีก  3-4  ปี
 
 



พอบ่ายๆก็อาบน้ำอาบท่า  แต่งตัว  ออกจากบ้านเดินทางไป 
“สนามบินดอนเมือง”  -  ครับ  เป็นเด็กนอกฯรุ่นสุดท้ายที่ใช้สนามบินดอนเมืองครับ  ฮ่าๆๆๆๆๆ
 



 
พอไปถึงดอนเมืองก็ไม่ได้สนใจพ่อ  แม่  น้อง  เล๊ยยยย  ...  มันแต่คุยกับเพื่อนๆ  กลุ่มนั้นที  กลุ่มนี้ที  จนได้เวลาที่จะต้องเดินทางจริงๆ  ......




 
เดินเข้าไปกอดแม่แน่นๆ  รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวๆ  แต่พยายามกลั้นน้ำตาไว้  จริงๆครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปใช้ชีวิตอยู่ห่างบ้าน  เจ้าของบล็อกเคยไปเรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ  วิทยาเขตพิษณุโลก  มาเกือบๆปี  ตอนเรียนธรรมศาสตร์ปี 1  ก็ไปอยู่หอที่รังสิต  แต่นั่นก็ยังอยู่ในประเทศเดียวกัน  ห่างกันก็เพียงระยะทางในการเดินทางหากันไม่ถึง  24  ชั่วโมง  .....  แต่ครั้งนี้มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะใช้ชีวิตอยู่ห่างกับพ่อ  แม่  และน้อง  คนละทวีป  ระยะทางหลายพันไมล์  ใช้เวลาในการเดินทางเป็นสิบชั่วโมง



 
 
พอกอดแม่เสร็จก็หันมากราบที่อกพ่อที่เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการไปเรียนต่อครั้งนี้  ....  ไม่ได้พูดอะไรกัน  ....  เอื้อมมือไปจับมือน้องสาวไว้  แล้วพูดคำเดียวว่า
  “ฝากดูแม่กับพ่อด้วยนะ”
 
 


 

อาจจะดูเหมือนละครไปนิด  ....  แต่ว่าในสมัยที่การสื่อสารยังไม่เจริญเท่าปัจจุบัน  FB  ยังไม่มี  ไลน์ยังไม่เกิด  มีแต่อีเมล์  ICQ  และ  Messenger  การโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศยังต้องโทรเข้า  operator  ให้ต่อสายให้  มีค่าบริการนาทีละ  25  บาท  การอยู่ห่างครอบครัวเป็นเรื่องน่าหวั่นใจมากๆ
 
 




พอผ่านพิธีการตรวจของ  ตม.  เดินไปจนถึง  Gate  ที่จะเดินทาง  ก็เจอเพื่อนที่เรียนนิติศาสตร์  ธรรมศาสตร์  มาด้วยกัน  มาทำงานเป็น  Ground  ของสายการบิน  Qantas 


 
 
พูดจาทักทายกันจนเพื่อนทราบว่ากำลังจะเดินทางไปเรียนต่อ  เพื่อนก็เอา  Boarding  Pass  ของเจ้าของบล็อกไปดูให้ว่ามีที่นั่งว่างๆตรงไหนบ้างที่ว่างติดๆกันหลายๆที่  จะได้นั่งสบายๆ  โชคดีที่คนเดินทางไม่เยอะ  เพื่อนเลยบล็อกที่นั่งให้  3  ที่ติดกัน  สามารถนอนยาวๆได้เลย
 
 



ไม่อยากจะเล่าถึงตอนนี้เลย  ...  พอเครื่องเริ่ม  taxi  ออกจากหลุมจอด  น้ำตาของเจ้าของบล็อกมันเริ่มๆเอ่อๆ  .....  พอเครื่องบินเริ่มเร่งความเร็วจนน้ำตามันมาจากไหนก็ไม่รู้ครับ  ไหลพรูๆๆ  ไม่หยุดเลย  โชคดีที่นั่งคนเดียวเลย  (คิดว่า)  ไม่มีคนเห็นว่าร้องไห้แน่ๆ  คริๆๆๆ
 
 












 
เรื่องราวประสบการณ์ครั้งแรกบนเครื่องบินจนถึงการนั่งแท็กซี่ครั้งแรกในเมืองเมลเบิร์น  เจ้าของบล็อกได้เคยเล่าให้ฟังแล้วในโจทย์ตะพาบครับ 
 




โจทย์ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 285  "ครั้งแรก"











 
ในวันนี้เจ้าของบล็อกขอข้ามไปเล่าเรื่องวันแรกในเมืองเมลเบิร์น  ประเทศออสเตรเลีย  เลยนะครับ
 



 
ตอนที่ยังเรียนอยู่ปี  3 – 4  ในมหาวิทยาลัย  เจ้าของบล็อกจับพลัดจับผลูได้ไปเป็น 
“ครูสอนภาษาไทย”  ให้กับผู้บริหารบริษัทที่เป็นชาวต่างชาติ  มีอยู่ครอบครัวหนึ่งที่ค่อนข้างสนิทกันมากๆ  (ตอนที่เจ้าของบล็อกทำงานแล้วครอบครัวนี้ก็ได้ย้ายจากเมืองไทยไปอยู่ที่เมลเบิร์น) 
 


 
เจ้าของบล็อกเขียนจดหมาย  เขียนอีเมล์  ติดต่อกับครอบครัวนี้ตลอดมา  จริงๆแล้วครอบครัวนี้แหละครับที่ชักชวนให้เจ้าของบล็อกไปเรียนที่เมลเบิร์น  (ครั้งแรกเลยเจ้าของบล็อกอยากไปเรียนที่  University  of  Queensland)  โดยครอบครัวนี้ให้เหตุผลว่า 
“ไอก็เรียน  BMA  อยู่ที่  Monash  University  คลาวเดีย  (ภรรยา)  ก็เรียน  Education  อยู่ที่  Monash  University  เราจะได้เป็นแกงค์  Monash  University  ไง”  ที่สำคัญคุณโธมัสบอกว่า  “ไอ  strongly  believe  นะว่า  ยูจะ  “ตกหลุมรักเมลเบิร์น” 
 



 
ครอบครัวของคุณโธมัสและคุณคลาวเดีย  ชวนไปพักที่บ้านที่อยู่ในเขต  Brighton  East  ในช่วงที่เจ้าของบล็อกเรียนภาษาอังกฤษก่อนเข้าปริญญาโท






 
 





เจ้าของบล็อกได้อีเมล์บอกคุณโธมัสว่าจะเดินทางถึงเมลเบิร์นในเช้าตรู่วันที่  11  มีนาคม  และเจ้าของบล็อกจะเดินทางไปที่บ้านพักเอง
 




 
พอถึงบ้านพักก็ทักทายกันตามประสาคนสนิทกันกันที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาปีกว่าๆ  จากนั้นคุณโธมัสก็ชวนไปเที่ยวสวนสัตว์เมืองเมลเบิร์น  (Melbourne  Zoo)  กับลูกๆ  กลับมาถึงบ้านตอนบ่ายๆก็พาออกไปขับรถรอบๆบ้านเพื่อให้รู้จักทาง  รู้จักสถานีรถไฟ  แนะนำเส้นทางเข้าเมือง  เส้นทางไปมหาวิทยาลัย  พาไปเดินซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆบ้าน  สุดท้ายก็พาไปขับรถเล่นริมทะเลใกล้ๆบ้านครับ  (ใกล้ๆบ้านคุณโธมัสมีชายหาด  Brighton  Beach  ซึ่งเป็นชายหาดที่ขึ้นชื่อของเมลเบิร์น)
 
 



พอกลับมาถึงบ้านก็ทานอาหารเย็นตามปกติ  ไม่ได้มีปาร์ตี้เป็นพิเศษ 





 
 




ก่อนนอนคุณคลาวเดียเตือนเจ้าของบล็อกให้โทรกลับเมืองไทยไปบอกพ่อกับแม่ว่าเจ้าของบล็อกเดินทางมาถึงเมลเบิร์นแล้ว  ....  พอแม่เจ้าของบล็อกพูด
  “ฮัลโหล”  เจ้าของบล็อกปล่อยโฮๆๆ  ออกมาเลยครับ 
 



 
ทั้งคุณโธมัสกับคุณคลาวเดียทั้งตกใจ  ทั้งสงสาร  ทั้งขำ  รีบปลอบให้เจ้าของบล็อกมีสติที่จะคุยโทรศัพท์กับพ่อและแม่ได้  คุณโธมัสยังขอพูดกับพ่อเจ้าของบล็อกด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง  จะดูแลเจ้าของบล็อกเป็นอย่างดีครับ
 
 


 
 

ตลอด 3-4 ปี ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในออสเตรเลียทั้ง เมลเบิร์น  เมือง  Surfer Paradise และ Kingston ในรัฐ  Queensland  ทำให้เจ้าของบล็อกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก  ได้ทำอะไรที่ปกติแล้วไม่เคยทำ  หรือไม่อยากทำ  จะร้องเรียกแม่  เรียกพ่อก็ไม่ได้เพราะอยู่ไกล  ได้ออกจาก  comfort  zone  เลิกเป็นลูกแหง่ของแม่  ต้องดูแลตัวเอง  ต้องตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่  มีทั้งรอยยิ้ม  เสียงหัวเราะ  และน้ำตา  ขอบคุณทุกคนที่อยู่ร่วมในช่วงชีวิตในออสเตรเลีย
 
 
It's such a great moment in my life.






















 
131131131
 



Create Date : 10 มีนาคม 2565
Last Update : 10 มีนาคม 2565 14:47:31 น.
Counter : 1296 Pageviews.

10 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณเริงฤดีนะ, คุณThe Kop Civil, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณnonnoiGiwGiw, คุณอุ้มสี, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณหอมกร, คุณตะลีกีปัส, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณtoor36, คุณSweet_pills, คุณKavanich96, คุณnewyorknurse

  
เจิมๆๆ
22 ปีแล้ว..ได้ไปเรียนกฏหมาย ที่ต่างแดน
จะต้องแม่นภาษา
และเก่งมากจริงๆค่ะ
ต้องปรับตัวทั้ง ความเป็นอยู่.อาหาร สิ่งแวดล้อม
อต่ก็เป็นMoment ที่น่าจดจำ นะคะ
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 10 มีนาคม 2565 เวลา:15:49:58 น.
  
สุดยอดเลยน้องบอล
โดย: อุ้มสี วันที่: 10 มีนาคม 2565 เวลา:17:38:06 น.
  
วันนี้คุณบอลเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงจ้า

โดย: หอมกร วันที่: 11 มีนาคม 2565 เวลา:6:27:05 น.
  
สวัสดีมีสุขค่ะ

22ปีที่แล้ว นานนะคะ
แต่ความทรงจำยังพรั่งพรู

เยี่ยมที่สุดค่ะที่จบกลับมาอย่างน่ายินดี
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 11 มีนาคม 2565 เวลา:11:11:10 น.
  
ตอนแรกผมมาอ่านไม่จบแปะโหวตไว้ วันนี้มาอ่านรอบที่สองจนจบ
ผมว่าบล็อกคุณบอลเป็นประสพการณ์อันล้ำค่า สำหรับคนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศเลยนะครับ หรือคนที่จะไปอยู่ด้วย สำหรับออสเตรเลีย
จากบล็อก
หนังสนุกมากครับ
โดย: The Kop Civil วันที่: 11 มีนาคม 2565 เวลา:16:09:49 น.
  
อ่านตอนเที่ยงแต่ยังไม่จบ ออกไปพบเพื่อน ตอนเย็นเลยกลับมาอ่านต่อ
คุณบอลเรียนเก๋งมากครับ.. แต่ไงขี้แย 555

การอยู่คนเดียว ทำทุกอย่างทำให้แกร่งจริงครับ ผมก็เคย ๆ มาบ้าง
นิดหน่อยเอง ดีที่นาย ๆ กับเพื่อน ๆ เขาช่วย
โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 11 มีนาคม 2565 เวลา:17:30:25 น.
  
ช่วงนั้นคอมพึ่งเริ่มบูมในไทยเองครับ การติดต่อลำบากจริงๆ ทุกอย่างที่เราได้เห็น ได้พบ ได้ประสบในต่างแดนมันเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม เอามาเล่าใหม่กี่ทีก็สนุกทุกที

ทำให้ผมนึกถึงตอนไปเรียนที่จีน เมื่อช่วง 2007 แต่ของผมมันดีหน่อยตรงที่การสื่อสารเริ่มดีกว่าที่เล่าในบล็อกนี้ เพราะค่าโทนศัทพ์มันแค่ นาทีละ 5 บาทเอง แถมซื้อบัตร IP การ์ดยังโทรแบบให้มันตัดเงินใน IP การ์ด ซึ่งส่งผลให้โทรได้ถูกลงไปอีก แต่ยุคที่ผมเป็นไปช่วงยุคก่อนสมาทโฟนจะมา

คนไทยไปอยู่ที่ไหนก็ปรับตัวได้ครับ คนไทยปรับตัวเก่งอยู่แล้ว
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 11 มีนาคม 2565 เวลา:23:30:52 น.
  
คุณโธมัสกับคุณคลาวเดียดูน่ารักใจดีมากค่ะคุณบอล
เรียนกฏหมายในไทยก็น่าจะยากแล้ว
คุณบอลเก่งมากค่ะที่จบโททางกฏหมายที่เมลเบิร์น

ราตรีสวัสดิ์นะคะ
ขอบคุณกำลังใจค่ะคุณบอล

โดย: Sweet_pills วันที่: 12 มีนาคม 2565 เวลา:0:19:15 น.
  
ทักทายสวัสดีครับ

ได้ตามเที่ยวชมบรรยากาศ ที่ชวนให้เข้ากันกับครั้งแรก ที่มันจะดูตื่นเต้นไปหมด เมืองเมลเบิร์นจากที่เพื่อน ๆ เคยไปเที่ยวกัน ต่างก็บอกว่าเมืองที่น่าไปเที่ยวชมกันอยู่ด้วยครับ
โดย: ถปรร วันที่: 12 มีนาคม 2565 เวลา:7:32:50 น.
  
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 13 มีนาคม 2565 เวลา:8:05:10 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทนายอ้วน
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?]