จุดหมายปลายทาง HOKKAIDO ตอนที่ 2
คณะนัดว่าต้องออกจากที่พักแปดโมงเช้าจึงต้องตื่นเช้าเพื่อไปรับประทานอาหาร ปลุกเด็กๆให้แปรงฟัน ล้างหน้าประแป้ง(ซักแห้ง)
แต่งชุดหนาสักนิดเพราะพยากรณ์เขาบอกว่าวันนี้อาจมีโอกาสได้เห็นหิมะ เชื่อเขาสักหน่อย อาหารของที่พักเป็นแบบบุฟเฟต์ค่ะจริงๆเป็นคนทานไม่เยอะ อยากรีบทานแล้วออกไปถ่ายรูปวิวนอกโรงแรมมากกว่าแต่เรามากับเด็กๆ ท้องของเด็กสำคัญกว่า จึงต้องให้เด็กๆ ทานให้อิ่มส่วนเราก็กินพอประมาณ (ประมาณว่าไม่มีใครเบรคไม่เลิก)
อาหารเช้าขอเบาๆ ข้าวต้มร้อนๆ ขาปลาทาราโกะสาหร่าย ไข่ม้วนญี่ปุ่น กินแค่นี้ล่ะคะ แต่ทำซ้ำสามรอบ
ก่อนขึ้นรถ มีปรากฏการณ์ปุยน้ำแข็งโปรยปรายตามสายลม ไม่คิดว่าเดือนเมษายนจะยังมีหิมะตกอยู่อีก
การมาครั้งนี้ ถือเป็นโชคดีของเด็กๆ และเรามากค่ะ ฝันของเด็กเป็นจริงแล้ว เห็นปุยหิมะโปรยลงมาจากฟ้า แหมคุ้มแล้วล่ะกับประการณ์แสนวิเศษ
ในวีดีโอนี่เหมือนเค้ารำมวยจีนเลยนคะ แต่เด็กบอกว่ากำลังไล่หิมะอยู่
VIDEO
เมื่อทุกคนพร้อม คณะเราก็ออกเดินทางกันค่ะขึ้นรถบัสคันเดิม คนขับนั่งประจำที่ยิ้มต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทย เราก็พาเด็กๆและตัวเองนั่งประจำที่เช่นกัน สองข้างทางเป็นธรรมชาติที่สวยงาม
คุณไกด์ให้ความรู้กับพวกเราว่าฮอกไกโดเปรียบเสมือนครัวของชาวญี่ปุ่น เพราะเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ราบมากที่สุด(เกาะฮอกไกโดนี่ถือเป็นหนึ่งจังหวัดเลยค่ะ) เหมาะแก่การทำเกษตรแลที่นี่ก็มีหมาวิทยาลัยเกษตรที่ดีมากที่สุดของญี่ปุ่นตั้งอยู่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของที่นี่ขึ้นชื่อหลายอย่างมากๆ แต่ที่โด่งดังคือ... มันฝรั่งและ เมลอนสายพันธุ์ยูบาริ และอีกชนิดที่อร่อยมากคือข้าวโพดค่ะข้าวโพดที่นี่สามารถทานได้แบบดิบๆ กรอบและหวานมาก ไม่ต้องทำให้สุกก็อร่อยได้
จุดหมายปลายทางของเราวันนี้คือเมืองโอตารุเคยเห็นจากรูปถ่ายในอินเทอเนตว่าเป็นสถานที่สวยงาม โรแมนติกมีคลองโอตารุอันเป็นคลองที่ออกสู่อ่าวโอตารุและนาฬิกาไอน้ำที่ปัจจุบันมีแค่สองเรือนในโลกที่ชาวโอตารุได้รับของขวัญมาจากเมืองแวนคูเวอร์ แคนาดาในอดีตค่ะ แสดงว่าชาวโอตารุกับชาวแคนนาดาคงจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมากในสมัยก่อนดูได้จากสิ่งก่อสร้างที่นี่ ล้วนแต่เป็นแบบตะวันตกค่ะ
เรานั่งชมวิวไปเรื่อยก็เพลินตา ไม่มีเบื่อเลย หันทางลูกสาวลูกชาย ลูกสาวสนใจนอกหน้าต่างตนเองอยู่ ไม่ช้า คนขับชาวอาทิตย์อุทัยก็พาเราเข้าสู่เมืองซัปโปโร ระหว่างทางก็มีหิมะโปรยปรายลงมาตลอด
ไกด์สาวพาเราไปทานอาหารกลางวันกันก่อน เธออธิบายว่าทานเสร็จแล้ว จะได้เดินชมเมืองและให้พวกเราเลือกซื้อของฝากจากเมืองโอตารุได้สบายใจสบายท้องค่ะ
อาหารกลางวันของเรา จัดที่ร้านอาหารแบบญี่ปุ่นในเมืองโอตารุ อาหารของเราอร่อยและอลังการมากค่ะ
ไฮไลท์ ไม่ได้เป็นหม้อไฟ แต่เป็นปลาย่างด้านซ้ายค่ะ เป็นปลาชิมะฮกเกะย่างเกลือ รสชาติอร่อย หอมกลิ่นถ่านย่าง อาหารเยอะแบบนี้ เอามือลูบพุง น่าทานแต่ห่วงน้ำหนัก ตัดใจทิ้งตัวเลข
แล้วกินมันซะเถอะ ของดี ที่ทางร้านเขาเตรียมด้วยความตั้งใจ ชาวญี่ปุ่นเขาก็ค่อนข้างถือเรื่องการทานเหลือ แต่ดิฉันทำจนสุดความสามารถของกระเพาะแล้ว
ปลาย่างพยายามทางให้หมด ชาบูเหลือแต่ผัก ซดน้ำจนเกือบหมด (น้ำซุบอร่อยมาก) เจ้าของร้านเขาใจดี มีของที่ระลึกให้ลูกสาวลูกชายเป็นนกกระเรียนโอริกามิกับเสื้อโอริกามิด้วยค่ะ น่ารักจริงๆ
ร้านอาหารที่ไปทานค่ะ ไม่ทราบชื่อร้าน เมื่อทานเสร็จ พวกเราขึ้นรถ เจ้าของร้านเขามาโค้งคำนับส่งให้ด้วย ชาวญี่ปุ่นมากๆ
วันที่เราไปโอตารุ สภาพอากาศเป็นสีเทาหม่น ฟ้าสีเทา และมีหิมะโปรย ดูเศร้าแต่สวยค่ะ
ในรูปนี่ส่งจริงนะ ไม่ได้แค่แอ๊คท่าถ่าย ด้วยความชอบส่วนตัว ไปเที่ยวที่ไหน จะส่งโปสการ์ดหาตัวเอง เป็นความสุข และลุ้นบวกกับตั้งตาเฝ้ารอโปสการ์ดจากในอดีต
แต่... บางทีก็รอนานไปหน่อย เป็นห่วงไปรษณีย์เมืองไทย พักหลังส่งช้ามาก บิลเก็บเงินมาเลยดิวแล้วทุกที (ใครทำงานการไปรษณีย์ฝากความเห็นไปพิจารณาด้วยนะคะ รัก ปณ ไทย ค่ะ แต่อย่าส่งช้าเกินไป คนรอมันรอแล้วทรมาณนะคะ)
หิมะตกยิ่งทำให้บรรยากาศโรแมนติกนะเออ
ลำคลองโอตารุค่ะ เมื่อก่อนคงตะเป็นคลองสำคัญของซัปโปโรในการขนถ่ายสินค้า แต่เมืองท่าในปัจจุบันของฮอกไกโด ย้ายไปฮาโกดาเตะแล้วค่ะ แต่เขายังอนุรักษ์คลองนี้ไว้อยู่ และกลายเปนสัญลักษณ์สำคัญของโอตารุ
สำหรับตัวเรา คิดว่าเมืองนี้โรแมนติกมาก เหมาะสำหรับคู่รักมาฮันนีมูน
หนาวแค่ไหน พวกเขาก็ขอกินไอติม แต่ก็เป็นอีกอย่างที่พลาดไม่ได้ของโอตารุ ก็คือ ไอติมเจ็ดสีค่ะ
จากนั้นคุณไกด์ก็พาพวกเราไปเดินแถวถนนซาไกามาจิ เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ร้านเครื่องแก้ว และนาฬิกาไอน้ำโบราณที่คุณไกด์เล่าให้ฟังว่ามีสองเรือนในโลก
และจะดังทุก15นาที กับพ่นไอน้ำทุก 1 ชั่วโมงค่ะ
ถนนซาไกมาจินี่ยังเป็นแหล่งรวมร้านขนมหวานของออกไกโดนะคะ ขนมที่ว่าก็จะเป็นขนมฝรั่ง ร้านดังมารวมัวกันที่นี่
โดยเฉพาะร้าน Le TAO ขึ้นชื่อเรื่องชีสเค้ก ใครชอบทานชีสเค้กหอม นุ่ม ไม่หวาน กลิ่นไม่แรง ต้องมาทานที่นี่ค่ะ
เราเองก็อดไม่ได้ จัดมา แต่เป็นแบบตัดชิ้น เพราะของเขาสด ให้ทานภายในวันเดียวกันที่ซื้อค่ะ
อ้อ ได้พบเด็กสาวชาวไทยมาทำงานพิเศษที่ Le TAO ด้วย คิดว่าน่าจะเป็นนักเรียนไทยนะคะ เธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องอย่างกับคนญี่ปุ่น ทั้งสำเนียง และน้ำเสียง
ชื่นชมค่ะ
ภาพขนมหวาน ต้นเหตุแห่งน้ำหนักที่เกินมา อร่อยสมคำเลื่องลือ พูดจริง ไม่ได้เชียร์นะ ฮอกไกโด เป็นแหล่งนมเนยอยู่แล้วค่ะ ฉะนั้นขนมจึงสดมาก
ยังไม่สาแก่ใจคนคลั่งไคล้ความหวานใช่ไหมคะ ใครมาที่นี่พลาดไม่ได้แน่กับโรงงานทำขนมผู้ผลิตขนมมีชื่อแห่งฮอกไกโด ISHIYA ผู้ผลิตขนมที่มีชื่อว่า
"SHIROI KOI I BITO"
Shiroi แปลว่า สีขาว
Koi i bito แปลว่าคนรัก
แปลเป็นไทยตรงตั๊วตรงตัวว่า คนรักสีขาว ซึ่งเขาหมายถึงหิมะค่ะ และเจ้าขนมนี้ก็เป็นคุกกี้สอดไส้ไวท์ช็อคโกแลตที่ขาวและนุ่มเหมือนหิมะ
ภายในโรงงานมีส่วนที่เป็นโรงงานผลิต ส่วนจัดแสดงประวัติ ขั้นตอนการทำ ร้านค้าของฝาก ส่วนที่ให้เราได้ลองทำขนมเอง และร้านเค้กที่ทำสดใหม่
เขาทำเป็นทางเดินช่องกระจกให้เราได้ชมจากภายนอกค่ะ เป็นโรงงานทำขนมที่สะอาดและเป็นระเบียบ เครื่องจักรก็แสนทันสมัย แต่ก็ยังมีบางกระบวนการที่ใช้คนอยู่บ้าง
รอบๆ ส่วนผลิตจะมีตุ๊กตาปั้นประดับประดาสมกับเป็นโรงงานทำขนม นึกถึงภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่ จอนห์นี่ เดปป์ เล่น เรื่องอะไรน้า Charlie and The Chocolate Factory ไง
นอกจากคุกกี้ไส้ช็อคโกแลตที่เป็นพระเอกของที่นี่ เขาก็มีนางเอกค่ะ เป็นชีสเค้กในรูปนี่เอง ได้ลองทานแล้ว รสชาติหอมอ่อน นุ่มลิ้นมาก
ส่วนหหนึ่งของภายในโรงงานค่ะ
ภายนอกก็สวยมากค่ะ ใครชอบถ่ายรูปคงจะชอบมาก ด้านหลังเป็นหอนาฬิกา จะมีตุ๊กตาออกมาด้วยถ้าถึงเวลา ในรูปลูกชายกำลังจับหิมะเล่นอยู่ เริ่มไม่หนาวแล้วค่ะ
คงชิน และไม่มีลมพัดแรง
เที่ยวกันจนเยอะแล้ว หิวกันหรือยังคะ มาฮอกไกโดทั้งที ทัวร์ของเราก็จัดให้กินอาหารขึ้นชื่อของที่นี่กันเต็มที่ นั่นคือ ปู ปู ปู
ครั้งนี้มีปูถึงสามชนิดด้วยกันค่ะ ได้แก่ ปูสุไว ปูขน และปูทาราบะ ตัวใหญ่ๆ แน่นๆ สดๆ
ตายๆ แบบนี้ พุงเพิงยื่นจนกางเกงที่เอามาใส่ไม่ได้หรือเปล่าเนี่ย... กินปูไม่อ้วนหรอก ไม่รู้ใครกล่าวไว้ แต่เชื่อค่ะ กินซะ อย่าให้ปูลอยนวล
อ้อ ได้พาเด็กลองนั่งรถไฟของญี่ปุ่นกันด้วยค่ะ ให้ลองเป็นประสบการณ์ นั่งจากสถานีซับโปโร ไปป้ายเดียวค่ะ ไม่ได้ออกสถานี แล้วนั่งกลับ
ตอนแรกจำความตอนมาเรียนญี่ปุ่นได้ว่า ไม่ต้องเสียเงินค่านั่งรถกลับเพราะไม่ได้ออกสถานีปลายทาง แต่พอเอาตั๋วเสียบที่ทางผ่าน มันไม่ให้เราผ่าน ปรากฎว่าต้องเสียดิ๊คะ
เป็นงงเลย เสียๆ ก็เสียค่ะ ก็ไปจ่ายตังค์กับนายสถานีให้เรียบร้อยเนาะ สงสัยความทรงจำสมัยเรียนของเรามันผิดเพี้ยนไปตามเวลา
คืนนั้นเราพักที่โรงแรม Century Royal Hotel เป็นโรงแรมในเมือง ใกล้สถานีรถไฟซัปโปโร และแหล่งช็อปปิ้งทั้งหลายแหล่ อันจะขย่มขวัญ เขย่ประสาท กระตุกต่อมเสียเงินค่ะ
พึงระวังนะเออ เสียทรัพย์ให้กับของเล่นของเด็กๆ ที่โยโดบาชิไปแล้ว เจ็บหนักค่ะ
ขอนอนพักรักษาแผลก่อนนะคะ
เจอกันบล็อกหน้าค่ะ...
อยากไปอีกจัง
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
Raizin Heart Movie Blog ดู Blog
Sai Eeuu Food Blog ดู Blog
patthanid Food Blog ดู Blog
ปรัซซี่ Food Blog ดู Blog
BusyDoctor Business Blog ดู Blog
CUSENatt Photo Blog ดู Blog
ปลาแห้งนอกกรอบ