Group Blog
 
 
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
ตัวต้านทาน



ตัวต้านทาน
คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์
สวัสดีค่ะคุณประภาส
ดิฉันเพิ่งได้งานที่เป็นชิ้นเป็นอันหลังจากเรียนจบ ในตำแหน่งเลขานุการที่บริษัทสถาปนิกแห่งหนึ่ง เจ้านายก็ดูเป็นคนใจดี ที่ตั้งบริษัทก็อยู่ไม่ไกลบ้านเงินเดือนได้ตามสมควร และดิฉันสนใจที่จะได้ทำงานที่เกี่ยวกับการออกแบบ เมื่อรู้ว่าได้งานดิฉันก็มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำงานเต็มที่ แต่แล้วดิฉันก็ได้ทราบจากคนรู้จัก เค้าเคยเป็นสถาปนิกที่บริษัทแห่งนี้ เค้าว่าเจ้านายขี้เหนียวและเอาเปรียบ เค้าไม่ได้เงินค่าออกแบบตั้งหลายหมื่น ทำได้ 6 เดือนก็ลาออกแล้ว ยอมรับค่ะว่าหลังจากได้ฟังก็บั่นทอนจิตใจพอสมควร รู้สึกกังวล กลัวว่าจะไม่เต็มที่และอคติไปก่อนที่จะได้ทำงานจริง
คุณประภาสว่าดิฉันควรมีวิธีคิดอย่างไรดี งานจะเริ่มเดือนหน้าแล้วค่ะ ดิฉันยังอยากมีความรู้สึกเต็มร้อยก่อนไปทำงานเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่จะได้ยินได้ฟังมา ขอบคุณค่ะ
พัดชา

สมมุตินะครับสมมุติ
เจ้าของบริษัทที่กำลังจะเป็นเจ้านายของคุณบอกคุณว่า เขารู้จักนายสถาปนิกคนที่คุณรู้จักดี แน่นอนคุณก็คงคิดในใจว่า ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วนี่ ก็เคยทำงานด้วยกัน แล้วเขาบอกคุณต่อว่า "ผมรู้จักมันดีกว่าใครทั้งหมด เพราะมันโกงผม" หูชักผึ่งแล้วใช่ไหมครับ ใครโกงใครกันแน่ คุณคงคิดในใจ ก็คุณฟังมาจากสถาปนิกคนนั้นแล้วนี่ เจ้านายอย่ามาเฉไฉเรื่องหน่อยเลย ฟังผมสมมุติต่อไปเรื่อยๆ แล้วกันแล้วเจ้านายที่คุณจะทำงานด้วยก็ระบายความในใจต่อ "มาทำงานแค่ 6 เดือน มันไปโฆษณากับคนข้างนอกเสียใหญ่โตเลยว่าเป็นคนออกแบบงาน ทุกชิ้นเองทั้งหมด" ตัวเลข 6 เดือนเหมือนกับที่สถาปนิกคนนั้นพูดกับคุณไม่ผิด เอ...หรือเจ้าของบริษัทคนนี้ก็คงไม่โกหก สถาปนิกคนนั้นก็ทำไม่ถูกนะ ผลงานของบริษัทจะไปเหมาไปอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเองคนเดียวได้อย่างไร แต่เรื่องค่าออกแบบที่เจ้านายยังไม่จ่ายเขาละ เจ้านายไม่เห็นพูดถึงเลย "มีอย่างที่ไหน" เจ้านายเหมือนรู้ใจคุณ "ทำงานกินเงินเดือนตั้งเท่าไร ยังจะขอค่าออกแบบเพิ่มอีก มีสำนักงานไหนเขาทำกัน คุณไปถามดูเลย" เออ..จริงสิ คุณคงเริ่มเห็นด้วยแล้ว ยิ่งประโยคสุดท้ายท้าให้ไปถามเขาดูเลย "คุณรู้ไหมว่า เขาได้เงินเดือนเท่าไร เข้ามาครั้งแรกขอเงินเดือนมากกว่าผมอีก" อย่างนี้ก็เกินไปแล้ว คุณคงคิดในใจ "หนำซ้ำ มันยังจะไปฟ้องสภาสถาปนิกอีก มันกะจะดิสเครดิตผมนะนี่ ผมลดเงินเดือนเลย แล้วเป็นไงล่ะ ก็ต้องลาออกไปเอง" ขี้เหนียวและเอาเปรียบ เออ..ก็พูดตรงกับที่สถาปนิกคนนั้นเล่านี่ แต่คุณเริ่มคิดแล้วใช่ไหมครับว่า เจ้านายคุณเขาก็มีความชอบธรรมพอที่จะทำอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายหนึ่งเล่นแรงก่อน
สมมุติต่ออีกดีกว่า สมมุติว่าสถาปนิกคนที่คุณรู้จักคนนี้ เข้าไปบอกเจ้าของบริษัทว่า เขารู้จักเลขานุการสาวที่กำลังจะมาทำงานบริษัทนี้เป็นอย่างดี หูผึ่งอีกแล้วใช่ไหมครับคุณพัดชา อยากรู้ใช่ไหมครับว่า เขาพูดว่าถึงคุณว่าอย่างไร บังเอิญผมนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย สมมุตินะครับสมมุติ "น่ากลัวนะครับผู้หญิงคนนี้" เขาขึ้นประโยคแรกอย่างนี้เลย "เห็นพูดจาไพเราะ เงียบๆ ขรึมๆ อย่างนี้ก็เถอะ ลับหลังชอบนินทาคน" เจ้านายคุณก็เริ่มคิดตามแล้ว มันเป็นไปได้นะ เพราะคุณเองก็ชอบปรึกษาหารือกับคนอื่น "เป็นคนไม่ค่อยไว้ใจใคร" เจ้านายคุณเริ่มคล้อยตามแล้ว อย่าว่าแต่เจ้านายคุณเลย ผมเองฟังอยู่ยังคล้อยตามเลย เพราะถ้านำมาเทียบกับจดหมายที่คุณเขียนมาแล้วก็ดูจะมีมูลความจริงอยู่ ทั้งๆ ที่การไม่ไว้ใจใครง่ายๆ นี่ มันก็มองได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ แต่น้ำเสียงของคนเล่าอาจมีอิทธิพลทำให้คนฟังมองเป็นแง่ลบได้ "เป็นคนไม่ค่อยมีไฟหรอกครับ ทำงานไปวันๆ ผู้หญิงคนนี้" ใส่ร้ายกันชัดๆ "และเห็นเรียบร้อยๆ อย่างนี่ เสือผู้ชายนะนี่ คบผู้ชายหลายคนเลยพร้อมๆ กัน" ประโยคสุดท้ายนี่ สถาปนิกคนนั้นเล่นแรงเลยครับ คุณคงอยากเถียง ก็อีแค่มีผู้ชายมาจีบหลายคน และเราก็ยังไม่ปลงใจกับใครนี่ กลายเป็นเสือผู้ชายไปแล้วหรือนี่ ใครฟังก็ต้องให้คะแนนลบหมดละครับประโยคแบบนี้ แล้วจะเอาหลักฐานที่ไหนมาพิสูจน์ เรื่องไม่ดีที่เขาโยนมาให้คุณมันก็ล้วนเป็นนามธรรมทั้งนั้น หาหลักฐานจับต้องยาก

แต่ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องสมมุตินะครับสมมุติ
แต่คุณพัชรารู้อะไรไหมครับ เรื่องอย่างที่ผมสมมุติขึ้นมาให้ฟังนี้มันมีอยู่จริงในสังคมเรา ผมได้รับคำปรึกษาเรื่องทำนองนี้บ่อยๆ รวมไปถึงเจอด้วยตัวเองบ่อยๆ
แล้วผมก็ใช้วิธีนี้แหละครับมาตอบโจทย์ นั่นคือผมจะสมมุติต่อในมุมของคนอื่นบ้าง และสมมุติให้แรงกว่าเดิมอีกหลายๆ เท่า จากนั้นก็จะถามกลับว่ารู้สึกอย่างไรที่ตัวเองโดนบ้าง และก็จะขออนุญาตถามคุณพัชรากลับเลยครับว่ารู้สึกอย่างไร คนส่วนใหญ่ที่ใจยังไม่กว้างพอ มักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล คอยสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยยึดเอาตัวเองเป็นพระเอกเป็นนางเอก แล้วก็ให้คนอื่นสวมบทเป็นตัวอิจฉาหมด ใครที่เคยมีประสบการณ์ฟังความจากคนที่ทะเลาะกันก็คงจะนึกออก ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครพูดโกหกเลย แต่ฟังแล้วอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร้ายอย่างไรไม่รู้ คนโบราณจึงสอนว่าอย่าหูเบา เพราะเดี๋ยวหูมันจะบินลอยตามเรื่องที่เขาเล่าจนกลายเป็นคนไม่มีหูไปเสีย ยิ่งพวกที่ยกเมฆเก่งๆ นี่ หูคนฟังจะลอยถึงเมฆเอาง่ายๆ แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี่ไม่ใช่หมายความว่าผมจะมาชวนให้คุณพัดชาไม่ฟังคำเตือนของใครนะครับ อย่างไรก็ต้องฟังครับ ไม่ว่าจิ้งจกทักหรือตุ๊กแกเตือน เพียงแต่อย่าเพิ่งกังวลไปล่วงหน้าจนขาดแรงใจที่จะทำงาน ถ้าใจคุณพัดชาอยากทำงานที่นั่นแล้วก็ไปทำเถิดครับ อย่าให้แค่เรื่องเล่ามาหยุดคุณ คุณพัดชาก็บอกเองอยู่แล้วว่าเจ้านายดูเป็นคนใจดี ลองเชื่อสามัญสติตัวเองดูบ้างก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน ทำไปแล้ว เจ้านายขี้เหนียวหรือเอาเปรียบจนทนไม่ได้ก็ลาออก แล้วก็ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ อันหนึ่ง เพิ่งเรียนจบมาได้เจอคนหลากหลายประเภทก็ไม่เลวนะครับ
ฝึกจัดการกับมันให้ได้ไอ้ความกังวลนี่ นักจิตวิทยาเขาว่ามีนิดๆ หน่อยจะช่วยให้เราไม่ประมาท เหมือนตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้าเลยครับ นั่นคือมันเป็นสิ่งจำเป็นอันหนึ่งในวงจรเลยทีเดียว หน้าที่ของมันก็คือไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าหลอดไฟมากเกินไป เพราะจะทำให้หลอดขาดได้ กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นนี่ ถ้าเป็นมากๆ ก็เหมือนมีความต้านทานที่มีค่าสูงๆ นั่นแหละ ใส่เข้าไปในวงจรมากๆ หลอดไฟมันจะไม่สว่างเอา เดี๋ยวกลายเป็นคนไม่มีไฟจริงๆ อย่างที่เขานินทาในเรื่องที่ผม
สมมุติไว้ไม่รู้ด้วย




Create Date : 31 ธันวาคม 2550
Last Update : 31 ธันวาคม 2550 20:32:19 น. 0 comments
Counter : 264 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ชมพูพันทิบ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ชมพูพันทิบ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.