เพราะโลกกลม หรือพรหมลิขิต [13]
จุดแตกหัก



เวลาผ่านไป ปรียานุชเริ่มต้นชีวิตของการเป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัย พร้อมๆ กับที่อัครพลก็ได้เข้าทำงานในบริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่มาเปิดสำนักงานในประเทศไทย โอกาสของความก้าวหน้ารออยู่ตรงหน้า ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับสองจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อของรัฐ บวกกับความสามารถที่เขามี แค่ช่วงเวลาทดลองงาน อัครพลก็สร้างผลงานให้ปรากฏแก่สายตาของเพื่อนร่วมงานทุกคน จนได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้างานให้ทำหน้าที่สำคัญๆ หลายต่อหลายครั้ง การเติบโตในสายงานแบบก้าวกระโดด พลอยทำให้ปรียานุชอดที่จะยินดีไปกับเขาด้วยไม่ได้


ช่วงแรกๆ ของการทำงาน อัครพลไปรับปรียานุชที่มหาวิทยาลัยเพื่อพาไปส่งที่บ้านเกือบทุกวัน และหากมีเวลามากพอ ก็อาจจะพาเธอไปทานข้าว ดูหนังบ้างไม่ได้ขาด ด้วยความสม่ำเสมอของชายหนุ่ม และความช่างเอาอกเอาใจของหญิงสาว ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังเป็นไปด้วยดี แม้ว่าบางครั้งปรียานุชดูจะแสนงอน และยังติดจะคิดเล็กคิดน้อยไปบ้างจนบางคราวทำให้ชายหนุ่มต้องรู้สึกอึดอัดใจ แต่อัครพลก็ยังคงเป็นฝ่ายยอมให้กับแฟนสาวของตนอยู่เสมอ ทำให้ทั้งสองก็ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งให้เห็นเลยแม้สักครั้ง เพื่อนๆ ของทั้งคู่แทบจะลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่า คู่รักคู่นี้น่าจะคบกันได้ยาวนานจนถึงขั้นใช้ชีวิตร่วมกันเป็นแน่


แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เวลาที่อัครพลเคยมีให้กับปรียานุชกับลดน้อยลง พร้อมๆ กับหน้าที่การงานที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ผ่านไปไม่ถึงปี อัครพลก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีม ถึงแม้จะเป็นเพียงการดูแลโปรเจ็คเล็กๆ แต่สำหรับเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเริ่มงานได้ไม่ถึงปีเช่นเขา ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญสำหรับชีวิตการทำงานของเขาช่วงหนึ่งทีเดียว ความรับผิดชอบที่มากยิ่งขึ้น บวกกับความพยายามที่ต้องการทำให้ความสามารถของเขาเป็นที่ไว้วางใจ กลับต้องแลกกับเวลาที่เคยมีให้กับแฟนสาว เวลาที่เคยมีร่วมกันที่ลดน้อยลง ทำให้บางครั้งก็ดูเหมือนว่าเขาจะห่างๆ จากปรียานุชออกไป จากที่คอยไปรับไปส่งหญิงสาวแทบทุกวัน กลับกลายเป็นเกือบสองสามสัปดาห์ถึงจะได้เจอหน้ากันสักครั้งหนึ่ง มีเพียงการติดต่อผ่านอุปกรณ์สื่อสารเครื่องจิ๋วเท่านั้น ที่ยังพอจะเป็นสายใยเชื่อมโยงความผูกพันระหว่างคนทั้งคู่ให้ทอดยาวต่อไปได้

แต่จะไปได้ไกลถึงที่ตรงไหน....




ใช่ว่าอัครพลจะไม่รับรู้ถึงปัญหาในข้อนี้ แต่โดยธรรมชาติของงานด้านการพัฒนาโปรแกรม บางครั้งก็ไม่สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ทั้งหมด ทำให้การทำงานในบางเวลาต้องยืดเยื้อยาวนาน การปิดโปรเจ็คในแต่ละชิ้น อาจจะต้องทำงานต่อเนื่องจนล่วงเลยเวลางานปกติ และอาจล่วงข้ามไปถึงอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว อัครพลและคนอื่นๆ ก็พยายามทำทุกทางเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น เพราะทุกคนก็ไม่ต้องการที่จะต้องอยู่ทำงานมาราธอนข้ามวันข้ามคืนเช่นเดียวกัน แต่บางทีท้ายที่สุดก็ยังมีตัวปัญหาที่เรียกว่า บั้ค (Bug) โผล่ขึ้นมาให้ต้องจัดการแก้ไขจนได้ แต่หากมีเวลาว่างเมื่อไร เขาก็จะพยายามชดเชยช่วงเวลาที่ขาดหายไปให้กับเธออย่างเต็มที่


ปรียานุชก็ทำท่าว่าจะเข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่บางทีเรื่องราวต่างๆ ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ความห่างเหินที่นับวันจะยิ่งมีช่องว่างมากยิ่งขึ้น จนในบางครั้งเธอก็เริ่มมีอาการงอแง ค่าที่เขาคิดไปว่าเธอนั้นน่าจะเข้าใจ กลับกลายเป็นว่าจริงๆ แล้วเธอต้อง ‘พยายาม’ ที่จะทำความเข้าใจให้ได้เสียมากกว่า สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตะกอนขุ่นที่นอนก้นอยู่ภายในหัวใจของหญิงสาว หากถูกเขย่าเพียงเล็กน้อย มันก็พร้อมที่จะลอยตัวขึ้นมาสร้างปัญหาให้กับอัครพลได้ทุกครั้งไป


ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บสะสมไว้ในใจของปรียานุช เธอไม่เคยที่จะเอ่ยปากให้เขาได้รับรู้ เพราะเพียงแค่คิดว่าเขาจะไม่สบายใจหากเธอพูดมันออกไป แต่มันกลับพอกพูนขึ้นทุกทีๆ พร้อมกับวันเวลาที่เดินไปอย่างช้าๆ อย่างที่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรที่หญิงสาวจะทนรับมันไม่ไหวอีกต่อไป


จนวันหนึ่งที่ชายหนุ่มต้องรู้สึกเจ็บลึกอยู่ข้างใน เมื่อเขาเห็นหยดน้ำตาของหญิงสาวที่เขารัก หลังจากที่ปล่อยให้เธอต้องนั่งรอเขานานเกือบสองชั่วโมง เพราะมีประชุมด่วนที่บริษัท นั่นเป็นครั้งแรกที่อัครพลเห็นเธอเสียน้ำตา พร้อมกับส่งสายตาตัดพ้อมายังเขา และสาเหตุที่ทำให้เธอต้องอย่างนี้ก็เป็นเพราะเขา


แล้วก่อนหน้านี่ล่ะ เธอจะต้องร้องไห้เพราะเขามากี่ครั้งแล้ว




คำขอโทษที่เขาพร่ำพูดกับเธอ ก็ดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับและเข้าใจ แต่อัครพลกลับไม่แน่ใจเลยว่า ลึกๆ แล้วในใจเธอจะยอมเข้าใจอย่างที่บอกกับเขาหรือไม่ แล้วเรื่องบางเรื่องก็กลายเป็นเหมือนวัฏจักรที่ยังคงวนเวียนอยู่ต่อไป เขาได้เห็นน้ำตาของเธออีกหลายต่อหลายครั้ง บางทีเรื่องเพียงเล็กน้อย หญิงสาวก็กลับเอามาคิดมาก ทั้งเวลาที่มีปัญหาสิ่งที่ปรียานุชทำอยู่เสมอก็คือการนิ่งเฉย ปิดปากเงียบ ราวกับว่าเธอต้องการเก็บมันเอาไว้เพียงคนเดียว อัครพลไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าตอนนั้นเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวสำหรับเขาเสียเหลือเกิน


ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ารอยเล็กๆ ในใจ ความคับข้องใจของปรียานุชที่ถูกเก็บงำเอาไว้ ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อครั้งกระโน้นที่มีหญิงสาวชื่อแจนเข้ามาเกี่ยวข้อง จนมาถึงตอนนี้มันยังคงไม่ได้รับการเยียวยา ร่องรอยความหวาดระแวงยังคงมีอยู่ในใจของเธอเสมอมา ยิ่งในช่วงระยะหลังๆ ที่อัครพลต้องติดต่องานกับบริษัทที่ผู้หญิงคนนั้นทำงานอยู่โดยบังเอิญ ยิ่งทำให้ปรียานุชเพิ่มความหวาดระแวงให้มีมากยิ่งขึ้น ในเมื่อเขายังไม่ได้เคลียร์ปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่กับเธอเสียที ยิ่งเมื่อปรียานุชได้มีโอกาสพบเจอผู้หญิงคนนี้กับพี่โอ๋โดยบังเอิญหลายต่อหลายครั้ง ความสนิทสนมของคนทั้งคู่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ไว้วางใจ แม้จะทำใจว่าทั้งคู่ต้องติดต่อประสานงานกัน ที่พบปะกันก็เป็นเรื่องงานแทบทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เธอเห็นอยู่เสมอคือ พี่แจนพยายามที่จะเอาเรื่องงานพาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับพี่โอ๋อยู่ตลอดเวลา แม้เรื่องนั้นจะไม่ใช่ที่เรื่องจำเป็นเลยก็ตาม เขาอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ปรียานุชกลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจทุกครั้งที่เมื่อเธอมีโอกาสอยู่กับพี่โอ๋ แล้วต้องมีบุคคลที่สามอย่างพี่แจนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย


จนกระทั่งวันหนึ่ง....



“พี่โอ๋คะ นุชโทรไปจองตั๋วหนังแล้วนะคะ รอบสองทุ่ม แต่ต้องไปรับตั๋วก่อนชั่วโมงนึง พี่โอ๋น่าจะมาทันเนอะ” เสียงใสๆ ของปรียานุชโทรศัพท์ที่โทรมา จากที่นัดหมายกันเรียบร้อยแล้วว่าในวันนี้เขาจะไปดูหนังกับเธอ หลังจากที่ต้องผลัดผ่อนกับเธอมาหลายครั้งแล้ว


“โอ้ย จริงสิ พี่ลืมไปเสียสนิทเลย วันนี้พี่ไปไม่ได้แล้วล่ะนุช พอดีมีประชุมด่วนกับลูกค้า พี่ขอโทษนะ“


”บริษัทพี่แจนเหรอคะ”


“อืม จ้ะ เอาไว้วันหลังเราไปดูหนังเสร็จแล้ว พี่พาไปเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นแถมด้วยเป็นการชดเชยดีมั้ยจ๊ะ”


“…”

เงียบไม่มีเสียงตอบมาจากหญิงสาว


“ฮัลโหลๆๆ นุชฟังอยู่หรือเปล่า พี่ขอโทษนะ รับรองคราวหน้าไม่พลาดแน่นอน เดี๋ยวพี่ต้องเข้าประชุมแล้วนะจ๊ะ แล้ว....”


“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ งั้นแค่นี้นะคะ” เสียงแผ่วเบาพูดตัดบทออกมา ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบ สัญญาณการวางสายจากคู่สนทนาดังขึ้น อัครพลได้แต่ถอนหายใจ นี่เขาผิดนัดกับเธอเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ เขาก็ได้แต่หวังว่า วันพรุ่งนี้ หากเข้าไปง้อเธอสักหน่อย ปรียานุชคงจะหายโกรธเขาลงไปบ้าง





ลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ ที่อัครพลตั้งใจนำมาให้ปรียานุชเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ผิดนัดเธอไปเมื่อวาน นอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังเดินฝ่าด่านเสียงผิวปากฟิ้วฟ้าวตะโกนแซวพี่โอ๋ของน้องๆ ทั้งหลาย ไอ้พวกนี้ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่องกันเสียที เย็นป่านนี้แล้วยังมานั่งจับกลุ่มคุยกันโขมงโฉงเฉงกันอยู่ได้ ครั้นเขาจะหลบเลี่ยงยังไงก็คงไม่พ้นอยู่ดี เรียนที่นี่มาสี่ปีจนจบมาถึงป่านนี้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอายอย่างที่สุด แต่ทำยังไงได้ล่ะ ท่าทางว่าเมื่อวานนี้ปรียานุชคงจะโกรธเขาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน หลังจากที่ตอนเช้าอัครพลเพียรพยายามโทรมาง้อหญิงสาวแล้วหลายรอบ ปรียานุชก็ทำท่าว่าไม่อยากจะคุยกับเขาเสียทุกครั้งไป โชคดีว่าเขาเคลียร์งานได้เสร็จเรียบร้อยแล้วแต่กว่าจะเคลียร์จบก็เหนื่อยแทบตายเหมือนกัน หากเย็นนี้เขายังไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก ชายหนุ่มกลัวว่าเรื่องจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่


รออยู่สักพักหนึ่งเมื่อเห็นว่าปรียานุชเดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ แล้ว อัครพลก็รีบตรงลิ่วเข้าไปหาเธอในทันที ยื่นช่อดอกไม้ไปให้ และกล่าวคำขอโทษกับเธอออกมาเบาๆ จนเพื่อนคนอื่นๆ อดที่จะอิจฉาตาร้อนไม่ได้ต้องเอ่ยปากแซวเขาและปรียานุชออกมา แต่ทว่า...


หญิงสาวกลับรับช่อดอกไม้ช่อนั้นด้วยท่าทีที่เย็นชา แม้อัครพลจะคาดเดาล่วงหน้าได้ว่าเธอคงจะยังเคืองเขาอยู่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าปรียานุชจะแสดงท่าทีเฉยเมย ไม่สนใจได้น่ากลัวถึงเพียงนี้ เธอรับดอกไม้จากเขาแล้วกล่าวคำขอบคุณเบาๆ ตามมารยาท แล้วก็ไม่สนใจเขาอีกเลย อัครพลรู้สึกถึงคำว่าไม่มีตัวตนขึ้นมาทันที ปรียานุชทำเหมือนกับว่าพี่โอ๋ของเธอไม่มีตัวตนอยู่ที่ตรงนั้น มีแต่ไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาส่งดอกไม้ให้เธอ แล้วก็...หมดหน้าที่ ดอกไม้ที่ชายหนุ่มนำมาให้ ปรียานุชก็ส่งต่อให้ลดาพร้อมกล่าวออกมาเบาๆ ว่าฝากไว้ที่เธอก่อน


คนรอบข้างเริ่มรับรู้ถึงบรรยากาศที่ไม่ปกติ รังสีอำมหิตเริ่มฉายแววออกมาจากคนทั้งสอง คู่รักหวานทำไมถึงกลายเป็นน้ำตาลไหม้ไปได้อย่างไม่มีวี่แววมาก่อน แต่เรื่องอย่างนี้คงต้องปล่อยให้ไปเคลียร์กันสองคนจะดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นเพื่อนๆ ของปรียานุชก็รีบแยกย้ายสลายตัวกันในทันที



“นุชๆ จะรีบไปไหน เดินหนีพี่ทำไม มีอะไรทำไมไม่พูดกันให้รู้เรื่องล่ะ” อัครพลรีบสาวเท้าตามน้องนุชของเขาที่กำลังจ้ำเท้าเดินหนี แต่ฝ่ายชายที่ขายาวกว่าเดินไม่กี่ก้าวก็ตามมาทัน พร้อมกับรั้งแขนของหญิงสาวเอาไว้ ไม่ให้เดินหนีไปไหนได้อีก


“นุชเป็นอะไรทำไมถึงไม่ยอมพูดกับพี่” อัครพลต้องถามย้ำปรียานุชออกมาอีกครั้ง แต่ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของหญิงสาวดังขึ้น



“นุช... นุชครับ” อัครพลจำได้ว่าชายหนุ่มเจ้าของเสียงที่โผล่มาให้เขาเห็นในตอนนี้เป็นเด็กวิศวะปีสองรุ่นเดียวกับปรียานุชที่เคยเข้ามาเกาะแกะเธออยู่พักหนึ่ง แล้วทำไมวันนี้ ‘มัน’ ถึงได้มาโผล่อยู่ที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์ได้


“อ้าว นนท์ ว่ายังไงจ้ะ มีอะไรหรือเปล่า” ทำไมกับเจ้านี่เธอถึงทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับมันได้ แต่สำหรับเขา เธอกลับไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ


“เอ่อ นุชกำลังคุยธุระอะไรกับพี่เค้าอยู่หรือเปล่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เมื่อบุคคลที่สามเหลือบมาเห็นสายตากร้าวๆ ของชายหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้า ต้องรีบออกปากขอตัวทันที ท่าทางว่าเขาคงจะเข้ามาผิดจังหวะไปเสียหน่อย


“ไม่เป็นไรจ้ะ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเราเดินไปคุยกันตรงโน้นก่อนก็ได้” จบประโยคปรียานุชก็รีบผละออกมาจากอัครพลทันที แล้วรีบเดินนำหน้า ‘ไอ้นนท์’ ที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่ โดยไม่สนใจเขาสักนิด ยังดีหน่อยที่เจ้าหนุ่มคนนี้ยังมีมารยาทพอที่จะส่งสายตาเชิงขออนุญาตเขาก่อนที่จะเดินตามหญิงสาวไป




หลังจากปล่อยให้อัครพลเดินหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่พักใหญ่ ปรียานุชถึงได้เดินกลับมาที่เขาอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครเดินตามมาให้รกหูรกตาเป็นคำรบสอง


ความเครียดที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่ที่ต้องเคลียร์งานไม่ได้พักผ่อนจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ แทบจะทำให้อัครพลฟิวส์ขาดในทันที


“มันเป็นใครนุช”


ชายหนุ่มเอ่ยปากถามเสียงเครียดกับปรียานุชทันทีที่เธอเดินมาถึง แต่หญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักทันทีที่เขาเอ่ยปากจบ ก่อนที่จะถามเสียงเรียบๆ กลับไปด้วยคำถามเดียวกัน


“พี่โอ๋จะถามว่าเพื่อนนุชคนนั้นเค้าเป็นใครเหรอคะ”


แต่เหมือนไม่ต้องการคำตอบเธอก็พูดประโยคต่อมาทันที “นนท์เป็น’เพื่อน’ ของนุชค่ะ” พร้อมกับจ้องหน้าตอบเขากลับไป แต่เมื่อปรียานุชเห็นว่าเขายังคงนิ่งเงียบอยู่เธอจึงเอ่ยปากออกมาทันที


“พี่โอ๋มีอะไรจะพูดกับนุชอีกหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วนุชขอตัวกลับก่อนนะคะ”


แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้เดินออกไป อัครพลกลับเอ่ยปากถามออกมาด้วยอารมณ์คุกรุ่นได้ที่ “แล้วทำไมนุชต้องหลบมุมไปคุยกับมันสองคนอย่างนั้นด้วย นุชกำลังปิดบังอะไรพี่อยู่หรือเปล่า”


“นุชไม่มีอะไรต้องปิดบังพี่โอ๋ ส่วนอีกคำถามนุชขอไม่ตอบนะคะ มันเป็นสิทธิ์ของนุช” น้ำเสียงกร้าวๆ ที่ปรียานุชตอบกลับออกมา เหมือนกำลังจุดชนวนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง


“นุชจะบอกว่า พี่ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนุชหรือยังไง” ชายหนุ่มกล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเสียงเข้มขึ้นตามอารมณ์ที่กำลังร้อนระอุ


“นุชกำลังจะบอกว่า พี่โอ๋ไม่มีสิทธิ์ไปเรียกใครด้วยคำพูดแบบนั้น”


คำตอบเรียบๆ ของหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะไม่แคร์กับสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่ ไม่แคร์กับความรู้สึกของเขานั้น ทำให้สติที่มีอยู่ขาดผึง ชายหนุ่มพูดตอบเสียงกร้าวกลับไปในทันทีอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่


“ทำไมพี่ถึงเรียกว่า ’มัน’ ไม่ได้ มันสำคัญกับนุชมากกว่าพี่งั้นเหรอ ถึงได้ออกตัวปกป้องขนาดนี้ เพราะมันใช่มั้ย นุชถึงได้มาพูดแบบนี้กับพี่”



เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในใจของปรียานุชถึงเวลาที่จะระเบิดออกมาแล้ว ความอดทนสุดท้ายของเธอสิ้นสุดลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากออกมาเต็มใบหน้าของหญิงสาว


“ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้นแหละค่ะ เพราะตัวนุชเองนี่แหละ นุชทำตัวของนุชเอง นุชคาดหวังกับพี่โอ๋มากจนเกินไป นุชคิดว่าพี่โอ๋จะเข้าใจ เหมือนอย่างที่นุชพยายามเข้าใจพี่โอ๋มาตลอด แต่ไม่เลย ทำไมพี่โอ๋ไม่ยอมเข้าใจนุชบ้างล่ะ ว่านุชคิดยังไง รู้สึกยังไง นุชอดทนมาตลอด ไม่ปริปากบ่นออกมาสักคำ หวังว่าวันนึงพี่โอ๋จะรู้บ้าง แต่มันก็เหมือนเดิมทุกอย่าง ใช่สิ งานมันสำคัญกับพี่โอ๋มากนักหนิ แล้วกับผู้หญิงคนนั้นอีกล่ะ พี่โอ๋รู้ตัวหรือเปล่าว่าเค้ากำลังจะแย่งพี่โอ๋ไปจากนุช กี่ครั้งแล้วที่พี่โอ๋ไม่เคยสนใจนุช กี่ครั้งแล้วที่พี่โอ๋ผิดนัดกับนุชเพราะผู้หญิงคนนั้น กี่ครั้งที่ปล่อยให้นุชรอเก้ออย่างงั้น ...”


เสียงตอบปนอาการสะอื้นไห้บวกกับน้ำตาที่ไหลพรากของหญิงสาวตรงหน้าทำให้อัครพลพูดไม่ออกไปพักใหญ่ นี่เธอกำลังเป็นอะไร เธอเป็นอย่างนี้เพราะเขาอีกแล้วใช่มั้ย


“นุช พี่... พี่ต้องทำงานนะนุช แล้วกับแจนมันก็มีแต่เรื่องงานนะ นุชก็น่าจะเข้าใจบ้างสิ ทุกอย่างที่พี่ทำเพื่ออนาคตของเราสองคนนะ ทำไมนุชถึงได้คิดแบบเด็กๆ อย่างนั้น แล้วนุชคิดอะไรรู้สึกอะไรทำไมไม่บอกกับพี่ตรงๆ “ เมื่อเห็นอาการของคนตรงหน้าทำให้อัครพลต้องพยายามใจเย็นและชี้แจงเหตุผลกลับไป แต่เหมือนปรียานุชจะไม่รับฟังเหตุผลอะไรจากเขาแล้ว เธอต้องการเพียงจะปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจให้หมดสิ้น


“พี่โอ๋เป็นคนพูดเองนี่ว่านุชชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต นุชก็เป็นของนุชอย่างนี้แหละ แล้วใครจะทำไม พี่โอ๋รู้มั้ย ผู้หญิงคนนั้นมาพูดกับนุชว่า พี่โอ๋ไม่ได้สนใจใยดีเด็กกะโปโลอย่างนุชสักเท่าไหร่หรอก มันก็คงจะจริงของเค้าสินะ แล้วอนาคตข้างหน้านุชยังไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นยังไง นุชสนใจแค่ตอนนี้ เวลานี้เท่านั้นแหละ พี่โอ๋เข้าใจมั้ย”


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา กับหยาดน้ำตาที่ยังคลออยู่เต็มหน่วย มองมาที่เขาอย่างเต็มตาเหมือนกับกำลังพยายามตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างอยู่ จนในที่สุดเธอก็เอ่ยปากออกมา


“พี่โอ๋... นุชว่า เราห่างๆ กันสักพักดีมั้ย ให้ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้ทบทวนความรู้สึกของตัวเองเสียที บางทีสิ่งที่เราคิดว่ามันคือความรัก มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้” จบประโยคปรียานุชก็ก้มหน้านิ่ง พยายามกลั้นก้อนสะอื้นไม่ให้หลุดรอดออกมา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตารอคำตอบจากผู้ชายตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง




“นุช...”


เสียงครางเบาๆ ออกมาจากปากของอัครพล เขาเพิ่งรู้จักคำว่าน้ำตาของลูกผู้ชายว่ามันเป็นอย่างไรเมื่อปรียานุชกล่าวคำนั้นออกมา หยดน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่เต็มดวงตาของผู้ชายตัวโตๆ อย่างเขา น้ำตาที่เกิดจากผู้หญิงตรงหน้าที่เขารักเธอมาก และเขาก็เคยมั่นใจว่าเธอก็รักเขามากเช่นเดียวกัน จนไม่เคยคาดคิดว่าปรียานุชจะเอ่ยปากตัดรอนเขาออกมาได้ง่ายๆ ถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มต้องกล้ำกลืนน้ำตาให้ไหลกลับเข้าไปข้างใน ก่อนที่จะเดินจากมาโดยไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากของเขาอีกเลย



....................................................................................................




กาแฟเย็นชืดที่ถูกปล่อยวางไว้ตรงหน้า ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นต้นมา ปรียานุชพยายามหลบหลีกหนีหน้าเขามาโดยตลอด เธอตัดขาดการติดต่อกับเขาโดยสิ้นเชิง ไม่ยอมแม้แต่จะพบหน้า หรือรับโทรศัพท์จากเขา ของทุกชิ้นที่เขาเคยให้กับเธอ ปรียานุชก็ฝากให้ลดานำมาคืนให้เขาทั้งหมด ราวกับว่าเธอต้องการจะตัดเขาออกไปจากชีวิตของเธอจริงๆ เธอเลือกที่จะเดินจากเขาไปโดยที่ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจอะไรกันเลยสักนิด ถ้าหากวันนั้น พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ใช้อารมณ์เข้าใส่กัน พยายามพูดจากันให้เข้าใจ เรื่องราวมันคงจะไม่ได้จบลงแย่ๆ อย่างนี้


หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เขาก็อยากจะตัดปัญหาทั้งหมด โดยขอลาออกเพื่อไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ ทันทีที่โปรเจ็คที่ร่วมงานอยู่กับบริษัทที่แจนทำงานอยู่เสร็จสิ้น แม้บริษัทจะไม่อนุมัติการลาออกของเขาในครั้งนี้ แต่ไม่นานนักทางบริษัทก็ส่งเขาไปทำงานที่บริษัทแม่ที่ออสเตรเลียพร้อมกับเสนอออกทุนการศึกษาให้ ซึ่งอัครพลคิดว่ามันน่าจะเป็นการดี แบบนี้เขาคงจะไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะคิดฟุ้งซ่านอะไรได้อีก แล้วเวลาก็คงจะเป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาแผลในหัวใจของเขาได้เอง เพราะหากว่าเขายังอยู่เมืองไทยต่อไป คงจะต้องกลายเป็นไอ้บ้าคนนึงที่ยังคอยวิ่งไล่ตามผู้หญิงที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการเขาอีกแล้ว แต่อย่างไรเสียจนถึงตอนนี้ อัครพลก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลของปรียานุชอยู่ดีว่า ทำไมเธอถึงเลือกที่จะเดินจากไป โดยไม่คิดจะไต่ถามเขาสักคำ



จนมาถึงวันนี้ เมื่อได้เจอหน้าเธออีกครั้ง เขาแทบอยากจะตรงเข้าไปกอดเธอ บอกกับเธอว่าเขาคิดถึงเธอมากขนาดไหน ปรียานุชยังคงหลบซ่อนอยู่ในหัวใจของเขาเสมอมาแม้ว่าเวลาจะผ่านเลยไปเนิ่นนานสักแค่ไหน เธอไม่เคยหายไปจากใจของเขาเลยแม้สักเสี้ยวนาที แต่ดูรึ การกระทำที่เธอแสดงออกมา ราวกับว่าเธอลืมเขาหมดสิ้นไปจากหัวใจของเธอแล้ว ท่าทีและแววตาที่เธอแสดงออกมานั้น พี่โอ๋คนนี้ก็เป็นเพียงแค่คนรู้จักของเธอคนหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่อย่างไรซะ ในเมื่อฟ้าได้ให้โอกาสให้เขากับเธอได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว อัครพลคงจะไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ ให้เธอต้องหลุดมือจากเขาไปอีก

เป็นครั้งที่สี่...เป็นแน่



Create Date : 09 กรกฎาคม 2549
Last Update : 21 กันยายน 2549 14:46:30 น.
Counter : 272 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชมสิจ๊ะ
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



กรกฏาคม 2549

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31