จินตนาการข้ามขอบฟ้า...ประภัสสร เสวิกุล จาก...นิตยสารศรีสยามปีที่ 1 ฉบับที่ 13 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2540 (หน้า 18-19) สัมภาษณ์พิเศษ จินตนาการข้ามขอบฟ้า เวลาในขวดแก้ว....ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน....ขอให้รักเรานั้นนิรันดร....ลอดลายมังกร........ ชี้ค....หิมาลายัน และอีกมากมายที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้อ่าน ล้วนถ่ายทอดผ่านปลายปากกาของนักเขียนท่านนี้...ประภัสสร เสวิกุล และคงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าประภัสสร เสวิกุล คือนักเขียนนวนิยายแถวหน้าอีกคนหนึ่งของเมืองไทยด้วยตัวหนังสือที่เขาสร้างสานขึ้นนั้นราวกับมีชีวิตมีเลือดเนื้อและลมหายใจโลดแล่นอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งของสังคม แม้ช่วงเวลาที่เขาต้องเดินทางไปพำนักยังต่างประเทศ ในฐานะเลขานุการเอกกงสุลไทยประจำเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ จินตนาการนั้นก็ไม่เคยหยุดนิ่งเรื่องราวมากมายยังคงไหลบ่าส่งทอดข้ามฟ้ามาสู่ผู้อ่าน... ผมมาอยู่ที่นิวซีแลนด์เมื่อเดือนมิถุนายน 2536 ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่ปีแล้วชีวิตทั่วไปก็อยู่ในชั้นดี เพราะนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่สวยงาม ประกอบกับมีประชากรไม่มากนัก จึงไม่ค่อยมีปัญหาต่างๆ เหมือนอย่างเมืองใหญ่ ๆ ทั่วไปที่ประสบกันอยู่แต่ถ้าพูดถึงความสะดวกสบายหรือความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆอาจจะยังสู้ทางยุโรป อเมริกา หรือญี่ปุ่นไม่ได้ ส่วนเรื่องการงาน สถานทูตไทยในนิวซีแลนด์เป็นสถานทูตเล็ก ๆ มีข้าราชการน้อย แต่ปริมาณงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะในระยะหลังมีคนไทยเข้าไปประกอบอาชีพหรือพำนักอยู่ในนิวซีแลนด์เพิ่มขึ้นจำนวนนักเรียนไทยในระดับต่าง ๆ ก็มากขึ้นกว่าเดิม ยังไม่รวมถึงนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวอีก ซึ่งมีเป็นจำนวนมากเช่นกันทำให้ปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากตามไปด้วย ประภัสสรเล่าอีกว่า การมาอยู่ต่างถิ่นต่างที่ไม่ได้สร้างปัญหาให้งานเขียนของเขาต้องหยุดชะงักแต่ประการใด เพราะ... ก่อนที่ผมจะเขียนเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้มีการตระเตรียมเอกสารและข้อมูลล่วงหน้ามาก่อนแล้วนิยายบางเรื่องผมวางแผนงานไว้ล่วงหน้ามาสี่ห้าปีแล้ว พล็อตเรื่องของผมนั้นมีทั้งที่เป็นจินตนาการและเรื่องจริงแต่เมื่อลงมือสร้างเรื่องแล้วจินตนาการต้องมีบทบาทนำ ส่วนการเก็บข้อมูลของผม จะเก็บเกี่ยวจากหลาย ๆ ทาง ทั้งหนังสือ ภาพยนตร์ คำบอกเล่า การพูดคุย และประสบการณ์ที่พบเห็นด้วยตนเอง เมื่อถามถึงต้นสายปลายเหตุของนวนิยายเรื่องซิงตึ้ง ประภัสสรเล่าว่า ซิงตึ๊งเกิดจากแรงบันดาลใจในตัวของผมเองที่อยากจะเขียนถึงชีวิตของวัยรุ่นที่ต่อสู้ชีวิตด้วยตนเอง ด้วยจิตใจที่มั่นคงเข้มแข็ง แม้จะตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สามารถชักนำไปในทางที่ไม่ดีและแรงกดดันต่าง ๆ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นเรื่องราวเลวร้ายไปสู่ทิศทางที่ดีได้ จากการที่นวนิยายหลายต่อหลายเรื่องมักถูกนำไปดัดแปลงสร้างเป็นบทละครแน่นอนที่ว่าการตีโจทย์ระหว่างมุมมองของผู้กำกับการแสดง ผู้เขียนบท กับเจ้าของบทประพันธ์อาจแตกต่างกันจนนวนิยายบางเรื่องถูกมองว่าเสียอรรถรสอย่างน่าเสียดายเมื่อปรากฏอยู่บนจอโทรทัศน์ ประภัสสรให้ความเห็นว่า สำหรับผม มีทั้งผิดหวังและสมหวัง มีทั้งดีใจและเสียใจ ซึ่งก็คงจะเป็นความรู้สึกที่คล้าย ๆ กันกับนักเขียนท่านอื่น ๆเมื่อชมผลงานของตนเองซึ่งถูกแปรรูปเป็นภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ และนวนิยายเรื่องซิงตึ๊งก็เช่นกัน ที่ ณเวลานี้ถูกติดต่อขอซื้อไปเพื่อสร้างเป็นละครโทรทัศน์เรียบร้อยแล้ว ...รายละเอียดต่าง ๆ ผมขออนุญาตที่จะไม่เปิดเผยในตอนนี้ อยากให้ผู้สร้างเป็นฝ่ายให้ข่าวเอง แต่ผมก็หวังว่าผู้สร้างคงจะรักษาแนวเรื่องท่วงทำนองเนื้อเรื่อง และอรรถรสของเรื่องเอาไว้ให้ได้มากที่สุด และทำความเข้าใจได้ตรงกันกับผู้เขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ผู้ประพันธ์ต้องการนำเสนอ สำหรับนักอ่านที่ติดตามผลงานของนักเขียนท่านนี้ อาจมีถ้อยคำถามทุกครั้งที่อ่านเรื่องจบด้วยงานของประภัสสรนั้นมักเป็นเรื่องเศร้าสะเทือนอารมณ์เสียส่วนใหญ่ เอกลักษณ์ในงานเขียนของผมน่าจะอยู่ที่ความหลากหลายในรูปแบบและแนวเรื่อง การนำเสนอเรื่องราวและแนวคิดในทัศนคติและวิสัยทัศน์ที่นำสมัยรวมทั้งการเชิดชูคุณธรรมและการให้กำลังใจในการต่อสู้กับปัญหาชีวิต งานของผมต้องการนำเสนอสัจธรรมให้ผู้อ่านได้ตระหนักว่า ชีวิตมิได้มีเพียงด้านที่มีความสุขสมหวังเพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงนั้นมีทั้งความทุกข์และความผิดหวังปะปนอยู่ด้วยเสมอ จากความสมจริงสมจังของตัวละครที่ประภัสสรสร้างขึ้น บางครั้งก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตหรือคนใกล้ตัวบ้างหรือไม่ ประภัสสรว่า เท่าที่เขียนมาส่วนมากก็จะเป็นเรื่องใกล้ ๆ ตัวจะมีที่เฉียด ๆ ตัวเองหน่อยก็คือเรื่อง เด็กชายมะลิวัลย์ ซึ่งจำลองสภาพแวดล้อมของเสาชิงช้าสมัยที่ผมเคยอยู่เมื่อตอนเด็กๆ แน่นอนที่ว่าการสร้างงานแต่ละชิ้นของนักเขียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักเขียนชื่อดังเช่นเขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ย่อมมีมากเป็นเงาตามตัว ...ผมว่าขึ้นอยู่กับตัวผู้วิจารณ์มากกว่า ถ้าผู้วิจารณ์มีจิตใจที่บริสุทธิ์ยุติธรรม วิพากษ์วิจารณ์อย่างเป็นหลักเป็นเกณฑ์ มีเหตุมีผลในทางวิทยาศาสตร์ ไม่เอาความพอใจส่วนตัวเป็นที่ตั้งงานวิจารณ์นั้นก็จะมีคุณค่าในทางสร้างสรรค์ ผู้ถูกวิจารณ์นั้นก็จะมีคุณค่าในทางสร้างสรรค์ซึ่งผู้ถูกวิจารณ์จะสามารถยอมรับนับถือความคิดเห็นของผู้วิจารณ์ได้ สำหรับผมความสำเร็จอยู่ที่คุณค่าของงานที่เขียนและการยอมรับในจุดนั้นจากผู้อ่าน ผู้เขียนไม่สามารถตอบเองได้...และผมก็ไม่เคยเขียนเพื่อมุ่งหวังรางวัลใดๆ แต่หากงานชิ้นไหนได้รับรางวัลก็เป็นเรื่องของรางวัลกับงานชิ้นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำด้วยหัวใจ มิมุ่งหวังสิ่งใดมากไปกว่าความสุขในชีวิตรางวัลที่แท้จริงก็คือความอิ่มเอม แม้ทรัพย์เงินทองมากมายเพียงใดก็มิอาจเทียบค่าได้... เจอแล้ว แฟนคลับของคุณประภัสสร
อยู่ตรงนี้อีกหนึ่งเสียง คุณนุ่น-lovereason นี่เองจ้า โดย: พ ชมภัค วันที่: 7 ตุลาคม 2556 เวลา:21:02:32 น.
|
พ ชมภัค
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] เป็นคน...ยาก ยากเป็น...คน คน...เป็นยาก โดยเฉพาะถ้าคิดจะบรรลุจุดมุ่งหมาย ...ยากยิ่งกว่ายาก หนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ล้วนจำเป็นต้องเสียสละ เสียสละ...และเสียสละ --------------------พระสนมเฉียนเฟย----------- ** ** ** ** ** อย่าได้คิดจะยอมแพ้และละทิ้งไปง่าย ๆ แบบนี้... ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ ถ้าไขว่คว้าความฝันนี้ไม่ได้... ก็เปลี่ยนเป็นความฝันอื่นเสียก็สิ้นเรื่อง ยิ้มสักครั้งสิ ความสำเร็จ ชื่อเสียงไม่ใช่ปลายทาง ทำให้ตัวเองมีความสุขต่างหาก... ถึงจะเรียกว่าคุณค่าและความหมาย ....ไม่ต้องกลัวหัวใจจะแหลกสลาย.... ----------------โจว เจี๋ยหลุน (Jay Chou)------- Group Blog All Blog
Friends Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
เป็นนักเขียนที่ติดตามงานท่านหลายเรื่องมากๆค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ