Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
16 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 
ตามหาโอกาส

“หยุดเรียนอีกสักปีนะลูก แม่ยังหาเงินได้ไม่พอจ่ายค่าเทอมเลย” แม่บังอรกล้ำกลืนเอ่ยปากบอกบุตรชายอย่างท้อแท้ใจ ขณะสองมือพลางฉีกชิ้นเนื้อปลาทูทอด บรรจงแกะเอาก้างออก ก่อนวางใส่ในขอบจานข้าวของลูก คำพูดของนางถือเป็นบทสรุปเรื่องการเรียนต่อที่นุชิตเฝ้ารับฟังคำตอบมาตลอดทั้งปี

นุชิตฟังคำจากมารดาด้วยสีหน้าเรียบ ดั่งว่าอาการเป็นปรกติไม่ได้สะทกสะท้าน แต่แววตาคงแฝงความเศร้าซึ่งมิอาจซ่อนเร้นความผิดหวังนี้ได้ เขากลั้นเก็บความรู้สึกขมขื่นไว้ในเบื้องลึกของหัวใจ ซุกซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ผู้เป็นแม่ต้องพลอยไม่สบายใจกับเรื่องของเขามากไปกว่านี้

นุชิตเผื่อใจไว้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าโอกาสจะได้เรียนต่อในปีการศึกษานี้นั้น มันมีทางเป็นไปได้น้อยเต็มที เขาเข้าใจสถานะทางการเงินอันไม่มั่นคงนักของทางบ้านเป็นอย่างดี ลำพังเพียงเงินเดือนจากการเป็นพนักงานทำความสะอาดของแม่ แค่หาเอามากินและใช้จ่ายในแต่ละเดือนยังต้องใช้อย่างจำกัดจำเขี่ย หากต้องส่งเสียให้เขาเรียนต่อระดับป.ว.ช. หรือว่า ม.4 ซึ่งกินเวลายาวไกลออกไปอีกสามปีข้างหน้า ยังมองภาพไม่ออกเลยว่าจะเป็นเช่นไรและทุลักทุเลขนาดไหน

++++++
ข้าวสวยหอมกรุ่นพวยพุ่งอุ่นไอจากความร้อน คลุกเคล้ากับเนื้อปลาทูผสมน้ำปลารสทิพย์ อาหารอันโปรดปรานอย่างง่ายที่หล่อเลี้ยงร่างกายในหลายๆมื้อของนุชิต ไยมื้อเย็นของวันนี้ดูจะฝืดคอกว่าทุกวัน
“อิ่มแล้วเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยทัก เมื่อเหลือบมองเห็นลูกชายยกแก้วน้ำขึ้นดื่มขณะยังมีข้าวร้อนคลุกปลาทูพูนจาน
"อิ่มแล้วครับ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนยกจานข้าวคลุกปลาทูเดินไปเทใส่จานให้เจ้าโอเลี้ยง แมวดำขาพิการที่เขาเก็บมาเลี้ยงไว้ด้วยความสงสาร

แม่บังอรเฝ้ามองอาการของลูกชายอย่างเข้าใจความรู้สึก แต่ก็ไม่มีคำพูดใดยกมาปลอบใจลูกชายในเวลานี้ได้ นางเพียรพยายามทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถหยิบยื่นโอกาสในการศึกษาต่อให้แก่ลูกชายได้เลยสักที นี่ก็เป็นปีที่สองแล้วที่ลูกชายต้องหยุดเรียน

ณ วันนี้ นุชิตคงต้องยอมรับความเป็นจริงเสียทีว่าตนเองคงมีการศึกษาสูงสุดได้เพียงแค่วุฒิ
ม.3 จากโรงเรียนวัด และคงต้องเก็บวุฒินี้เอาไว้อย่างหวงแหนเพื่อนำไปใช้สมัครงานตามโรงงานแถบชานเมือง ส่วนความฝันอันสูงสุดคือปริญญาบัตรที่สูงค่ายิ่งนั้น มันเริ่มเลือนรางอยู่ห่างไกลเกินไขว่คว้าเข้าทุกวัน

++++++

หกปีแล้วที่นุชิตและแม่ได้มาอาศัยห้องเช่าสี่เหลี่ยมแคบๆราคาถูกอยู่ในเมืองหลวง ในช่วงแรกๆเขาอึดอัดสับสน เข้ากับสังคมใหม่ไม่ได้ เขาเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างเด็กมีปัญหา ช่วงเวลานั้นเขายังปรับตัวยอมรับสภาพกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิตไม่ได้ เขาไม่เข้าใจการกระทำของพวกผู้ใหญ่ ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่จึงต้องเดินแยกทางกับพ่อ โดยที่ยอมเป็นฝ่ายละทิ้งบ้านเกิดเดินจากมาปักหลักหากินอยู่ในเมืองกรุง ในตอนนั้นคำว่าหย่าร้างแยกทางกันระหว่างพ่อกับแม่ มันหาความหมายเพื่อให้เข้าใจไม่ได้เอาเสียเลยสำหรับเขา

ถึงวันนี้เขาเริ่มเข้าใจและมองเห็นโลกเป็นแบบเดียวกับที่แม่เขามอง เขาเข้าใจและเห็นใจหัวอกผู้เป็นแม่มากยิ่งขึ้น นุชิตรับรู้ความจริงหลายอย่างเกี่ยวกับพ่อใจร้ายที่เขาจากมา ประสบการณ์และการใช้ชีวิตของแม่ที่เขาคลุกคลีอยู่และได้สัมผัส ทำให้เขาได้เรียนรู้ความเป็นจริงในชีวิตบางอย่างว่า คนเรานั้นมีวิถีชีวิตและที่มาแตกต่างกันทั้งสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติอีกทั้งความคิดแปลกต่าง เมื่อวิถีแตกต่างและไม่มีการปรับเปลี่ยนให้สามารถผสมผสานเข้าหากันได้อย่างกลมเกลียวมีความสุข จึงจำต้องใช้วิธีแยกทางเป็นเส้นขนานกันตลอดไป

++++++
ติ๊ดๆๆๆ... ติ๊ดๆๆๆ... ติ๊ดๆๆๆ...
เสียงนาฬิกาปลุกดังก้องไปทั่วห้อง ตามเวลาที่ได้หมุนกำหนดเอาไว้ตอนตีสี่ครึ่งของเช้าวันเสาร์ นุชิตสะดุ้งตื่นควานหานาฬิกาปลุกกดปิดเสียงให้เงียบสงบลงไม่ให้เสียงดังไปกระทบรบกวนแม่ที่ยังนอนตะแคงตัวหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน เขาจัดแจงตัวเองในน้องน้ำแคบๆอย่างเงียบเชียบด้วยความระมัดระวังเพราะเกรงแม่จะได้ยินจนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยคำถามที่จะตามมาอีกมากมาย

นุชิตหยิบหาเสื้อผ้าสวมใส่ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนสีซีด และสวมรองเท้าผ้าใบสีดำดูท่าทางทะมัดทะแมง เขารู้สึกว่าวันนี้อากาศแจ่มใสกว่าทุกๆวัน แม้ว่าข้างนอกนั้นเมฆฝนกลุ่มใหญ่กำลังเริ่มก่อตัวเตรียมโปรยปรายต้อนรับเขาอยู่ก็ตามที
“ไปไหนแต่เช้านุ” ผู้เป็นแม่ที่นอนฟังสังเกตการณ์อยู่ตลอด เอ่ยถามก่อนเขาเปิดประตูห้องก้าวเท้าออกไป
“เอ่อ...ไปซื้อใบสมัครเรียนต่อครับแม่ ผมรีบไปก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาเล่าให้ฟังนะ” เขาบอกแม่อย่างรวบรัดก่อนปิดประตูห้อง แล้ววิ่งหลบฝนลัดเลาะตามระเบียงบ้านโน้นบ้านนี้ไปทีละหลังจนถึงถนนใหญ่

++++++
ณ หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านบางเขน ฝนยังคงตกปอยๆปะพรมพื้นดินให้เจิ่งนองและเฉอะแฉะ ภายในโรงเรียนมีคนอยู่ไม่ถึงสิบ ดูเหมือนกับว่าจะไม่มีกิจกรรมใดๆเกิดขึ้นอย่างที่เขาอ่านเจอข้อความในกระดาษหนังสือพิมพ์ นุชิตได้แต่เฝ้าคอยยืนหลบฝนอยู่ในป้ายรถเมล์ที่ไม่มีผู้คนอยู่เลย
เมื่อฝนเริ่มล้าซาเม็ดลงในช่วงสาย ดวงอาทิตย์ทำหน้าที่สาดส่องลำแสงผ่านแมกไม้ลำต้นโต และโผล่พ้นเหลี่ยมตึกหลังใหญ่อันเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ บรรดาเด็กนักเรียนในชุดเครื่องแบบเสื้อขาวกางเกงดำสลับกับกระโปรงกรมท่าเสื้อผ้าขาวและหลากสีสันจากชุดต่างสถาบันเริ่มเดินทางทยอยกันมาอย่างเนืองแน่นเต็มพื้นที่ใต้อาคาร จนฝูงชนเริ่มล้นทะลักไปยืนรวมกันเป็นกลุ่มก้อนภายในสนามฟุตบอลพื้นเปียกชุ่ม

นุชิตมองย้อนดูตัวเองที่มาเพียงลำพัง เขากลายเป็นชนกลุ่มน้อยของสังคมเช้าวันนี้ไปเสียแล้ว เมื่อนักเรียนมากขึ้นจากร้อยคนเป็นห้าร้อยคน เป็นพันคนและเป็นหลายพันคน ทางเจ้าหน้าที่และคณาจารย์ ประเมินแล้วว่าจำนวนชุดใบสมัครไม่กี่ร้อยชุดคงไม่เพียงพอจัดจำหน่ายได้เท่ากับจำนวนนักเรียนและผู้ปกครองที่มารอซื้อกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน เมื่อไม่สามารถจัดลำดับใครมาก่อน-มาหลังได้ อีกทั้งจำนวนใบสมัครนั้นมีจำนวนจำกัด และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกคนที่ต่างมาในวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่จึงแก้ปัญหาการขายใบสมัครด้วยวิธีจับสลาก โดยได้ประกาศให้ทุกคนทราบถึงขั้นตอน ด้วยการเข้าแถวตอนลึกจนริ้วขบวนยาวเหยียดไปรอบสนามฟุตบอล ทั้งนักเรียนและผู้ปกครองทุกคนมีสิทธิเข้าคิวรอจับสลากเพื่อให้ได้สิทธิในการซื้อใบสมัครเท่าเทียมกันหมด หากใครจับได้สลากที่มีตัวเลขที่เขียนไว้ด้วยเลข 001 – 200 อยู่ในมือ ก็สามารถนำสิทธิจากสลากใบนั้นไปซื้อใบสมัครเรียนต่อได้ในขั้นตอนต่อไป ส่วนวันที่จะมาแสดงตนสมัครเข้าเรียนต่อจะถูกระบุวันที่เอาไว้ในใบสมัครแต่ละใบ

++++++

นุชิต ยืนบอกตัวเองว่าเขาต้องได้ใบสมัครมาครอบครอง วันนี้ดวงเขาคงดีพอที่จะได้เป็นหนึ่งในสองร้อยคนนั้น เขายืนอยู่ในแถวลำดับที่ประมาณสองร้อยกว่าๆ เขาปลอบใจตัวเองที่ยังโชคดีกว่าคนอื่นที่ยืนอยู่ข้างหลังถัดจากเขาในอันดับที่หนึ่งพันหรือสองพัน แต่เขาก็โชคร้ายเหมือนกันตรงที่เขามาถึงที่นี่ก่อนใครเป็นคนแรกตั้งแต่เช้ามืด ไยกลับไม่ได้รับสิทธินั้น ด้วยเหตุผลเพื่อความยุติธรรมเขาก็พร้อมน้อมรับในกติกา

นุชิตเดินขยับตามคนข้างหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ คนอยู่ก่อนหน้าเขามีทั้งสมหวังได้ดีใจกับเหล่าเพื่อนฝูงที่รอร้องเฮ ส่วนคนผิดหวังต่างก็รีบทยอยกลับบ้านไปอย่างเป็นปกติ แต่ก็ไม่น่าต้องเสียใจอันใดหากความผิดหวังนั้นบังเกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนในชุดเครื่องแบบ เพราะนั่นหมายความว่าเช้าวันจันทร์เขาและเธอเหล่านั้นยังคงได้ไปพบเจอเพื่อนฝูงในรั้วโรงเรียนได้อยู่อย่างเดิม แต่คนอย่างนุชิตที่ปะปนอยู่ด้วยในที่แห่งนี้เพียงไม่กี่สิบคน มันมีความหมายสำหรับชีวิตอย่างยิ่งยวด ถ้าหากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปอาจได้กลับมายืน ณ จุดนี้อีกทีก็คงต้องเป็นปีหน้า

แล้วเวลาแห่งความระทึกใจก็เดินทางมาถึง เด็กนักเรียนชายผมเกรียนคนที่อยู่ข้างหน้าติดกันกับเขานั้นจับสลากขึ้นมาได้เพียงกระดาษแผ่นเปล่า โอกาสของนุชิตคงมีมากขึ้นบ้างแล้ว
“ขออย่าให้ผมจับได้เหมือนคนเมื่อครู่นี้เลย” เขาพร่ำภาวนาในใจพร้อมใช้มือซ้ายล้วงลงในกระป๋องบรรจุสลากที่ชูสูง เขาหยิบกระดาษที่ถูกม้วนไว้ขึ้นมาหนึ่งใบไม่ลังเล เขาเริ่มคลี่ออกดูอย่างช้าๆ แผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมถูกคลี่จนสุดแผ่น เขาเปิดพบได้เพียงความว่างเปล่า พร้อมจิตใจของเขาที่อ่อนแรงลง ความฝันของเขาถูกสวรรค์ตามมากลั่นแกล้งอีกคำรบ เขานึกน้อยใจในความเป็นไปที่ได้รับ ว่าใครกันแน่ที่ควรถูกมอบโอกาสครั้งนี้ให้ เด็กม.4 อยากเท่เพียงเพื่อต้องการสอบเทียบเลื่อนระดับตัวเองให้เรียนจบ ม.6 ไวๆ ภายในหกเดือนตามเพื่อนๆไปอย่างนั้นหรือ? หรือว่านี่คือการหยิบยื่นโอกาสแด่ผู้มีโอกาสอยู่แล้วเท่านั้นต่างหาก หาใช่ผู้น้อยโอกาสอย่างเขาไม่

++++++
นุชิตเดินทางกลับบ้านด้วยความผิดหวัง หัวใจยังรู้สึกห่อเหี่ยวสุดบรรยาย เขานึกอยากให้ฝนตกเทลงมาสักห่าใหญ่เพื่อชะล้างคราบความผิดหวังของเขาทิ้งออกไปให้หมดสิ้นก่อนที่จะได้พบหน้าแม่พร้อมคำถามที่ติดค้างตอนเช้า

นุชิตยืนใจลอยทำหน้าที่ยืนทอดปลาทูสองตัวในกระทะอยู่หน้าเตาแก๊ส ปลาทูหนึ่งเข่งกับเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่อหุ้มตัวปลาทูอยู่ในถุง มาจุดประกายความหวังของเขาครั้งนี้ขึ้นโดยแท้

เมื่อสองวันก่อนระหว่างที่เขายืนรอความร้อนของน้ำมันในกระทะจากไฟอ่อนๆของแก๊ส เขาเหลือบเห็นข้อความในเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่อหุ้มปลาทูนึ่งสองตัวมา เขาอ่านเจอโอกาสเรียนต่อในหน้าหนังสือพิมพ์ย้อนหลังฉบับเก่า จนรู้ว่าที่หน้าการศึกษาของหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับนั้น แจ้งข่าวให้เขาได้ทราบว่าโอกาสทางการศึกษาระบบการเรียนแบบทางไกล(สอบเทียบ) จะเปิดขายใบสมัครอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งก็คือวันนี้ที่หมดไปแล้วและวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน

++++++

“ไหนล่ะนุ มีอะไรจะกลับมาบอกแม่” ผู้เป็นแม่ทวงคำที่ลูกชายติดค้างไว้เมื่อตอนเช้า
หลังจากกลับมาบ้านพบหน้าลูกชาย
“ไม่มีอะไรแล้วครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ หน้าตาหงอย อารมณ์ไม่ค่อยปรกติ
“ไม่จริงมั้ง เมื่อเช้าแม่ไม่เห็นนุพูดแบบนี้นี่” แม่พูดปัดอย่างรู้ใจลูกชาย
นุชิตสะอึกสะอื้นโผร่างเข้าสวมกอดแม่ น้ำใสๆปริ่มอยู่โดยรอบตวงตา เขาเล่าความผิดหวังในวันนี้ให้แม่ฟัง เขาคาดหวังและตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับบ้านมาแสดงความดีใจกับแม่ว่าตนได้ที่เรียนต่อแล้ว แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างใจหวัง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการได้มาซึ่งใบสมัครเรียนเพียงหนึ่งใบจะมีความยากลำบากต้องฟันฝ่าอุปสรรคจากเพื่อนๆผู้เพียบพร้อมอยู่แล้วเหล่านั้นได้อย่างยากเย็น
“พรุ่งนี้ยังมีโอกาสอีกวันไม่ใช่เหรอ” ผู้เป็นแม่ทักท้วงเมื่อรู้ความจริง พร้อมจุดไฟฝันเขาขึ้นมาใหม่
“มีครับ แต่ผมไม่ไปแล้วดีกว่า ผมไม่อยากกลับมาในสภาพอย่างวันนี้อีก” เขาบอกแม่ด้วยสีหน้าเศร้า
"ไม่หรอกน่า อย่าตีตนไปก่อนไข้สิ อย่าเพิ่งท้อลูก ไม่มีใครตอบคำถามของวันพรุ่งนี้ได้ไม่ใช่เหรอ” แม่บังอรยังปลอบพร้อมเสนอแนะและทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำควรคิด

++++++
นุชิตเชื่อคำแม่จากเมื่อคืน เขาตื่นเจ็ดโมงเช้าไม่เร่งรีบเหมือนเมื่อเช้าวาน เขาเผื่อใจไม่ตั้งความหวังกับสิ่งที่กำลังจะไปทำ แต่ความรู้สึกลึกๆในใจนั้นมันตรงกันข้ามอย่างยิ่ง เขาอยากเป็นเจ้าของใบสมัครเรียนต่อสักใบหนึ่งนั้นเหลือเกิน

เช้าวันนี้ ผู้คนมีจำนวนมากกว่าเมื่อวานอยู่หลายเท่า นอกจากเด็กนักเรียนในชุดเครื่องแบบแล้ว บรรดาผู้ปกครองของนักเรียนและผู้ติดตามคนอื่นๆ ก็มีจำนวนมากพอกัน อาจเป็นเพราะว่าต่างคนต่างมาขอใช้สิทธิในการจับสลากเพื่อให้ได้มาซึ่งใบสมัครเรียนเพียงหนึ่งใบ บางครอบครัวยกขบวนกันมาตั้งห้าหกคน ซึ่งต่างก็หวังเพียงให้สมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเป็นผู้โชคดีจับสลากได้สิทธิซื้อใบสมัครเรียนต่อเพียงแค่หนึ่งใบเท่านั้นก็คงพอใจและสมหวัง

++++++
“หัวหน้าค่ะ คือ... คือดิฉันจะขอลางานวันนี้สักวันได้ไหมค่ะ” แม่บังอรร้องขอต่อผู้บังคับบัญชาที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องแคบๆ หลังจากนางจดๆจ้องๆยืนลับๆล่อๆอยู่ที่หน้าห้องทำงานของหัวหน้างานอยู่นานสองนาน กว่าจะรวบรวมความกล้ามาเอ่ยปากลาหยุดงานเป็นครั้งแรกในประวัติการทำงาน
“จะไปไหนล่ะบังอร” ผู้เป็นหัวหน้าละจากกองเอกสารสอบถามเหตุผล
“คือว่า ลูกชายดิฉันไปจับสลากซื้อไปสมัครเรียนต่อ ม.ปลาย น่ะค่ะ ดิฉันอยากจะไปจับกับเขาด้วย เพราะเมื่อวานลูกชายเขาไปคนเดียว แต่ว่าโชคไม่ดีไม่ได้ใบสมัครกลับมา เมื่อคืนลูกชายก็แอบนอนร้องไห้ ดิฉันสงสารลูกค่ะ เค้าอยากเรียนต่อจริงๆ ไม่อยากให้เสียเวลาเสียโอกาสต่อไปอีกปี”แม่บังอรพยายามบอกถึงความจำเป็นในกิจธุระที่ขอลา เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาได้เข้าใจ แม่บังอรนิ่งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อในขณะหัวหน้างานนั่งครุ่นคิดถึงความสมเหตุสมผล
“ตกลง ฉันอนุญาต นี่เพราะเห็นแก่ลูกชายแม่บังอรนะ” ผู้อาวุโสน้อยกว่าในตำแหน่งหัวหน้างานนิ่งนึกไปชั่วครู่ ก่อนใจดีออกปากอย่างเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่เหมือนกัน
“ขอบคุณค่ะ” แม่บังอรกล่าวคำขอบคุณด้วยความรู้สึกดีใจใบหน้าคลายกังวล แล้วรีบขอตัวละจากสำนักงานไปเรียกแท็กซี่ที่ริมถนน เพื่อพาตัวเองไปเป็นส่วนหนึ่งของการจำหน่ายใบสมัครในสถานที่ ที่ลูกชายได้เล่าให้ฟัง

++++++
“เป็นไงบ้างลูกวันนี้” ผู้เป็นแม่ถามความเมื่อกลับมาพบลูกชายนั่งซึมเศร้าไม่ต่างจากเมื่อวาน นางเองก็รู้คำตอบจากอาการของลูกชายอยู่แล้ว แต่ก็ต้องถามเผื่อเป็นการปลอบใจได้บ้าง
“เหมือนเดิมแม่” น้ำเสียงเขาราบเรียบไร้ชีวิตชีวา ตอบคำถามของแม่อย่างเซ็งๆ
“วันนี้ คงไม่ใช่วันของเราอีกวันหนึ่ง ไม่ต้องคิดมากหรอกลูก” แม่บังอรพูดปลอบใจลูกชายเพื่อไม่ให้เขาต้องเครียดพลอยคิดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ นางยังให้กำลังใจแก่ลูกชายว่าวันหนึ่งภายในวันข้าง หน้าโอกาสนั้นต้องเดินทางมาถึงเขาสักวัน เพราะความจริงนั้นไม่มีใครแก่เกินเรียนหากเมื่อไฟแห่งความมุ่งมั่นยังครุกรุ่นอยู่ในใจเสมอ
“กินข้าวเย็นกันดีกว่า ไปหยิบแกงถุงในกระเป๋าสะพายแม่ออกมาเทใส่ถ้วยที” แม่บังอรสั่งการลูกชาย มือชี้ไปที่กระกระเป๋าคู่กายที่นางแขวนไว้ตรงหัวตะปูใกล้กับประตูหน้าห้อง

นุชิตเดินเอื่อยเฉื่อยไปจัดแจงหาถุงแกงเพื่อจัดสำรับตามคำแม่สั่ง เขาเปิดกระเป๋าใบโทรมของแม่ออกพร้อมความตกตะลึง
“แม่! แม่ได้มายังไง” นุชิตหน้าระรื่น อุทานเสียงหลงด้วยความดีใจ เมื่อพบใบสมัครเรียนต่อพร้อมคู่มือเล่มหนาซ่อนอยู่ข้างในกระเป๋าของแม่ใบนั้น
แม้วันนี้จะยังไม่ใช่วันของเขา แต่ก็ไม่ต่างอะไรถ้าวันวิเศษวันนี้เป็นวันของผู้เป็นแม่ที่มีเทพีแห่งความโชคดีเข้าข้าง

แม่บังอรทำสำเร็จ นางเบียดคว้าโอกาสครั้งนี้มามอบให้แก่ลูกชายได้แล้วในที่สุด ทว่าใบสมัครที่ลูกชายตนกำลังชื่นชมอยู่ในมือนั้น นางมิได้เป็นผู้โชคดีได้มาง่ายๆจากการจับสลากแต่อย่างใด กว่านางจะได้มาซึ่งใบสมัครเรียนนั้นนางต้องเที่ยวเดินไหว้วอนขอซื้อต่อจากเด็กๆรุ่นลูกอยู่หลายคน อีกทั้งยังต้องเดินวนสอบถามกับผู้คนอีกหลายครอบครัว ที่นางคาดเดาเอาว่าน่าจะพอมีใบสมัครหลงเหลือไว้ขายต่อให้นางบ้างอีกสักชุด

สุดท้ายแม่บังอรก็ได้พบกับครอบครัวมีน้ำใจ พวกเขายินดีแบ่งขายใบสมัครให้นางเป็นเจ้าของหนึ่งชุด สนนราคาที่แพงเกินกว่าราคาจริงเท่ากับเงินทั้งหมดในกระเป๋าที่แม่บังอรพกมาเพื่อเป็นค่าเดินทางรวมถึงค่าอาหารอีกทั้งสัปดาห์/



Create Date : 16 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2548 17:01:19 น. 1 comments
Counter : 295 Pageviews.

 
ชั้นชอบเรื่องนี้นะเธอ


โดย: ปีขาล-2810 IP: 58.11.36.77 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:19:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชลสิทธิ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ชลสิทธิ์" และ "ชลสิทธิ์ วรสินธุ์"
เป็นนามปากกาในการเขียนของ"อนิรุจน์ มั่งคั่ง"
งานเขียนงานประพันธ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นทุกประเภท
ที่ปรากฏในเวบไซด์นี้ได้รับความคุ้มครองสิทธิ์
ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537(มาตรา15)




หากโลกไม่หยุดหมุน ...ฤาคุณจะหยุดฝัน? หยุดฝันก็ไปไม่ถึง
New Comments
Friends' blogs
[Add ชลสิทธิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.