วันนี้เป็นวันสุดท้ายของภาคเรียนฤดูร้อน ที่โรงเรียนก็จะมีงานแบบนี้จัดทุกทุกปี เขาเรียกว่า งานเทศกาลแดดร่มลมตก อิอิ แม่ตั้งเองแหล่ะ เพราะว่ามันมีตอนเย็นๆ เด็กๆ จะใส่ชุดยูกะตะมาร่วมงาน เล่นเกมส์แสดงกิจกรรมภาคสนามให้ผู้ปกครองได้ชม มีเล่นเกมส์ แจกของเล่น งานนี้เด็กๆ สนุกมาก ผู้ปกครองก็พลอยยิ้มไปด้วย พองานโรงเรียนจบ ก็ไปโรงเรียนประถมข้างๆ เขามีงานรำวง บง โอโดริ แม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับเทศกาลนี้ไว้ ให้เพื่อนอ่าน นี่นะเขียนบันทึกถึงข้าวปั้นแล้ว แต่ยังไม่ได้สอนข้าวปั้นเรียนภาษาไทยเลยล่ะ เฮ้อออ ลูกแม่จะรอดมั๊ยเนี่ย ตอนนี้พูดไทยก็หน่อซะ แถมไม่คล่องอีกต่างหาก น่ากลัวจริงจริง ลูกครึ่งพูดไทยไม่ชัดนี่ รำวงฤดูร้อน ความกลัว เปรียบเสมือนกับละอองฝุ่นสิ่งเกาะจิตใจของมนุษย์มาตลอดไม่ว่าจะพยายามปัดหรือทำความสะอาดเท่าใด ยังไง ความกลัวก็ยังเกาะติดที่ความรู้สึกของเราอยู่เกือบทั้งชีวิต และยิ่งในสมัยก่อนเราก็ไม่จะอาจจะอธิบายได้ว่า ทำไมฝนตก ทำไมฟ้าถึงร้อง ทำไมถึงได้มีพายุ ความกลัวต่อภัยธรรมชาติและความไม่รู้นี่ใช่ไหมที่ทำให้มนุษย์สร้างสิ่งหนึ่งขึ้นมายึดเหนี่ยวจิตใจของตัวเองไว้ เชื่อว่ามีสิ่งนึงที่กำลังคุ้มครองเราอยู่ เหมือนอากาศมองไม่เห็นแต่ก็สำผัสและรู้สึกได้ว่ามันมี แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด ความคิดความเชื่อในเรื่องของเทพเจ้าและวิญญานได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งและทรงอิทธิพลต่อการดำเนินชิวิตของคนญี่ปุ่น ค่อนข้างจะมาก เราจะเห็นว่าเกือบจะทุกฤดู คนญี่ปุ่นจะมีพิธีที่แสดงการเคารพ บูชา และพยายามสื่อสารกับเทพเจ้าเหมือนอย่างเช่นในฤดูร้อนของที่นี่ เดือนสิงหาคม นับว่าเดือนที่ร้อนที่สุดในญี่ปุ่น พอเข้าสู่หน้าร้อนทีไร ก็มักจะเห็นคนญี่ปุ่นเอาโมบายแก้วไปแขวนไว้ที่ตรงหน้าต่าง พอลมพัดมากระทบโมบายลูกแก้วเสียงใสกังวานไปทั่วเปรียบเป็นเสียงสัญญานว่า สีสันแห่งฤดูร้อนจะได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ในฤดูร้อนเด็กๆญี่ปุ่นจะดูจะมีความสุข การปิดเทอมฤดูร้อนเพราะว่านอกจากจะไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว ร้อนๆแบบนี้จะมีแตงโมสีแดงแสนหวานเย็นๆดาหน้าออกมาให้ได้รับประทาน มีร้านขายน้ำแข็งใสหลากสีราดด้วยนมข้นหวานเย็นจัด และสิ่งที่ดูเหมือนคนญี่ปุ่นจะรอคอยก็คืองานเทศกาลประจำฤดู คนญี่ปุ่นเรียกงานแบบนี้ว่า บง โอโดริ หรืองานรำวงแบบญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเชื่อว่าในฤดูนี้วิญญานทุกดวงจะได้รับการปลดปล่อยเพื่อมายังโลกมนุษย์ และวิญญานเหล่านี้มีทั้งวิญญานที่ดี และวิญญานที่ชั่วร้ายจะคอยทำร้ายเรา วิญญานที่ชั่วร้ายเหล่านี้ก็ได้แก่วิญญานที่โดนประหารชีวิต หรือโดนฆาตกรรม วิญญานที่มีความแค้น วีธีจัดการกับวิญญานที่ชั่วร้ายเหล่านี้ทางที่ดีที่สุดคือการส่งไปยังสวงสวรรค์ มีเทพเจ้าองค์หนึ่ง มีชื่อว่า อามิดะ เป็นเทพเจ้าที่มีความสามารถที่จะส่งดวงวิญญานใดไปสวรรค์ก็ได้แม้กระทั่งวิญญานที่มีความชั่วร้ายเหล่านี้ ดังนั้น การจัดงานโอบง หรือ บงโอโดริเหตุผลส่วนหนึ่ง ก็เพื่อส่งเสียงสัญญานให้อามิดะรับรู้ และรับดวงวิญญานมีปัญหาเหล่านี้ให้ไปสู่สวงสวรรค์ได้นั่นเอง ถ้าใครมาญี่ปุ่นช่วงนี้ นอกจากจะได้เห็นสาวๆ วัยรุ่นแต่งกายในชุดผ้านุ่ง ท้าลมร้อนแล้ว ก็จะได้เห็นคนญี่ปุ่นใส่ชุดยูกะตะ หรือกิโมโนสำหรับใส่ในฤดูร้อน เป็นบรรยากาศนึงที่สร้างความน่ารัก ดูมีเสน่ห์และอีกสีสันนึงในญี่ปุ่น งานรำวงบงโอริส่วนใหญ่จะเริ่มงานช่วงเย็นๆใกล้ๆค่ำ ซึ่งแน่นอนภายในงานก็ต้องมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม ตรงกลางจะเป็นคล้ายเวทีสูง เพื่อให้คนขึ้นไปตีกลองให้จังหวะ ด้านล่างรอบๆ ก็จะมีส่วนใหญ่เป็นคนค่อนข้างจะมีอายุมากหน่อย เป็นแกนนำในการรำ ส่วนแกนตาม ก็รำตามกันไปแบบสนุกสนาน ในงานเทศกาลนี้เราจะได้เห็นแต่รอยยิ้มที่มีความสุข บางทีนึกสงสัยว่าทำไมช่วงนี้คนญี่ปุ่นชอบดูดอกไม้ไฟ หรือที่เรียกว่า ฮานะบิ ฮานะแปลว่าดอกไม้ บิ มาจากคำว่าฮิ แปลว่าไฟ แปลออกมาเป็นภาษาไทยตรงๆได้ว่า ดอกไม้ไฟ ส่วนใหญ่งานดูดอกไม้ไฟ เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคนญี่ปุ่น ทำไมถึงได้มาเกี่ยวกับเทศกาลหน้าร้อนนี้ไปได้เหตุผลก็คือ การจุดดอกไมไฟจะมีเสียงดัง แล้วก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า คนญี่ปุ่นเชื่อว่าจะเป็นทางหนึ่งที่จะติดต่อกันเทพเจ้า ที่อยู่เบื้องบนนั่นได้นั่นเอง ฉันเคยไปดูฮานาบิครั้งเดียว ตอนที่มาเรียนภาษาที่นี่ใหม่ๆ ยังจำภาพบรรยากาศในงานได้เป็นอย่างดีและแม่นยำราวกับว่ามันเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง เราเดินผ่านรถที่ดูเหมือนจะจอดสนิทนิ่งอยู่บนทางหลวง รถไม่ขยับคงสร้างความหงุดหงิดให้คนที่อยู่ในรถไม่ใช่น้อย ก็ใครๆ ก็อยากมาดูดอกไม้ไฟกันทั้งนั้น และก็ปีนึงมีมีเพียงหนเดียวเท่านั้น เดินผ่านผู้คนที่ดูเหมือนจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ทุกคนหอบเอาเสื้อมาปูบนพื้น รับประทานอาหารกล่องที่นำมาจากบ้าน บริเวณนี้ไม่มีของขายเลย ทุกคนเตรียมมาเองจากบ้านหมดไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม หรือของคบเคี้ยวต่างๆ ดูเหมือนบนลานกว้างๆที่ใช้เป็นท่าเรือส่งของจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เห็นคู่รักหลายคู่ใส่ยูกะตะทั้งผู้หญิงและผู้ชายจูงมือกันเดินเข้ามาจับจองที่นั่ง งานดูดอกไม้ไฟประจำปีจะถ่ายทอดทางทีวีให้คนที่บ้านได้ดูด้วย ดูทีวีอยู่ที่บ้านถึงจะชัดกว่ามีพิธีกรหน้าตาดีและมากหน้าหลายตาผลัดกันเข้ามารายงานข่าวการดูดอกไม้ไฟแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนุกและประทับใจกว่าแต่อย่างใด จำได้ว่าตอนที่ดอกไม้ไฟที่ทยอยกันพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า รูปร่างที่แปลกตา ของแสงไฟ สร้างความตื่นตาตื่นใจ บางคนประทับใจจนเก็บอาการไว้ไม่ไหว ตบมือกันกราว เสียงดังลั่น งานจุดดอกไม้ไฟ ส่วนใหญ่จะรวบรวมเอานักประดิษฐ์ดอกไม้ไฟที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ มาทำการแข่งขันกันก็มี โดยจะมีสปอนเซ่อร์ต่างๆ มาสนับสนุนเรื่องการเงิน สปอนเซอร์รายใดสนับสนุนคนที่ได้รางวัลขึ้นมาสปอนเซอร์ก็พลอยได้รับชื่อเสียงตามไปด้วย จากจุดนี้ฉันมองว่า ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร ก็สามารถประสบผลสำเร็จในชีวิตสูงสุดได้ทั้งนั้นเพียงแค่คุณมีโอกาสได้ทำก็ต้องทำให้ดีที่สุดไปเลย ตอนนี้โลกของเราโดนรังสีแห่งความร้อนแผดเผา โลกร้อนขึ้นจนน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย แต่ก็ไม่ได้หมายควาว่รังสีแห่งความร้อนจะมละลายวัฒนธรรมอันดีงามของเราให้ละลายหายตามไป ถึงประเทศญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำหน้านำหน้ากว่าหลายๆประเทศ และวัยรุ่นญี่ปุ่นบางคนอาจจะแต่งตัวแนวๆหลุดๆโลกไปบ้าง แต่สิ่งที่ฉันมองเห็นและชื่นชมก็คือ คนญี่ปุ่น ไม่ลืมวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าของตนเอง พอถึงวันสำคัญพวกเขาก็หันมาใส่กิโมโนชุดประจำชาติสืบสานงานประเพณีทางวัฒนะธรรมที่สำคัญของประเทศ ฤดูร้อนกำลังหมุนผ่านไปอีก 1 รอบเหมือนกับแสงไฟของดอกไม้ไฟที่ค่อยๆดับหายไปในคืนนั้น รอให้โลกค่อยๆ หมุนรอบตัวเองอีกที สีสันในฤดูร้อน ปีนี้หรือปีไหนๆ ก็คงสดใสไม่แพ้กัน |
วันนี้รีบอัฟบล๊อค เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้งานเข้าแล้ว
วันอังคาร/พาเด็กไปแสดงหน้าไฟงานศพพ่อของครูที่โรงเรียน
วันที่๒๓/นำวงกลองยาวเป็นตัวแทนอำเภอไปรับเทียนจำนำพรรษาที่จังหวัด
วันที่๓๐/นำวงกลองยาวพร้อมนางรำ รับผู้ว่าที่อำเภอในพิธีเปิดงานธงฟ้าราคาถูก
วันที่๑๒สิงหาคม/พาเด็กไปประกวดรำกลองยาวในงานมหกรรมกลองยาวที่จังหวัด
เหนื่อยแต่ก็มีความสุขกับงานที่ตัวเองทำ ตอนนี้เร่งตัดเสื้อผ้าการแสดงใหม่อยู่
ถ้าหายไปบางวันแสดงว่าครูเกศโคม่านะคะ มีความสุขมากมายนะคะคุณนิดและน้องข้าวปั้น(ชอบชุดกิโมโนจัง)