ไม่รู้หมู่หรือจ่า
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
18 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
ทีวี ตู้เย็น พัดลม นาฬิกา ปลั็กไฟ หลอดไฟ

ลูกสาวไปแข่งขัน รายการ พี่ร้องน้องเต้น ของกระทรวงพลังงาน เข้ารอบชิงระดับประเทศซึ่งจะแข่งระดับประเทศอีกทีวันที่ 8 ธันวาคม 2555 
   ครูเข้าต้องการอุปกรณ์ประกอบการแสดงอย่างแรกคือ หลอดไฟที่ใส่หัวเด็ก ซึ่งแสดงถึงตอนเปิดและปิดไฟผมทำไปให้แบบด้านหนึ่งเปิดไฟ หมุนอีกด้านปิดไฟ

ตอนเปิดไฟ


ตอนปิดไฟ



รอบนี้ใส่ไฟฉายเข้าไปด้วยพร้อมด้วยสวิทกระตุกอีหนึ่งตัว พอเปิดก็จะเห็นไฟสว่าง



อุปกรณ์ต่อมาที่ต้องการคือ นาฬิกา

ทำจากกล่องกระดาษ พอดีได้มาจากที่เข้าใส่ตู้เตียงตอนซื้อมา เก็บเอาไว้เห็นมันใหญ่ดีเอามาตัด
เขียนวงกลมด้วยวงเวียนกระดาษแข็ง




ตัดวงกลม ตัดแหวนวงกลม แล้วติดกระดาษสี



ใส่เข็ม ตัวเลข เสร็จก็ได้นาฬิกาหนึ่งเรือน



ส่วนด้านหลังนาฬิกาก็เป็นป้าย




อุปกรณ์ต่อไปคือปลั็กไฟ
ทำจากกล่องเครื่องใส่เครื่องทำน้ำร้อน เห็นนทรงมันใช่เลยครับ



ตัดแต่งเสียหน่อย


ติดกระดาษสีต่อขาเข้าไป กลายเป็นปลั๊กตัวผู้ไปเลย



แล้วก็ต้องหาคู่ให้กับเขา คือปลั็กตัวเมีย อันนี้ก็เอากล่องมาติดกระดาษสีแล้วเจาะรู สองรู เสร็จก็ถ่ายภาพคู่ ผัวเมีย กับสักขีพยานหนึ่งตัว



อุปกรณ์ต่อไป อยากได้ตู้เย็นกับทีวี จัดไป ทำตู้เย็นก่อน ใช้กระดาษกล่องอีกครับทำตัวตู้พร้อมกับฝาตู้



ปิดกระดาษสีส้มใส่มือจับที่ทำจากขวดนมเข้าไปเหมือนตู้เย็นเลย ติดฉลากเบอร์ห้าเข้าไปใช้เลย ภาพที่ติดฉลากยังไม่ได้ถ่ายครับ



ส่วนทีวีก็อยู่ในตู้เย็นครับ เปิดตู้เย็นเห็นทีวี กำลังโฆษณา รณรงค์หารสองอยู่ครับ



ตอนแรกผมเสนอครูว่าให้ปิดทีวีเป็นจอดำ โดยการดึงฉากหารสองเข้าไปในตู้ ครูเขาไม่เอาก็เลยจบแบบเปิดทีวีค้างไว้



อุปกรณ์สุดท้ายคือต้องการพัดที่เปิดออกมาเป็นพุ้มดอกไม้ จำนวนสี่อัน

ก็เอากระดาษโปสเตอร์แข็งสี หกแผ่นมาต่อกันแล้วพับให้เป็นพัดติดเข้ากับด้ามพัดที่ทำจากกล่องกระดาษแข็ง

จากนั้นก็ตัดดอกไม้จากกระดาษสี แปะสูงๆ ต่ำๆ



ถ่ายกับสุนัขยุง กำลังรำแพงหาง



ที่เหลือ










Create Date : 18 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2555 8:11:32 น. 53 comments
Counter : 3501 Pageviews.

 
จิรโรจน์ Craft Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น



โดย: sirivinit วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:10:14 น.  

 
สายสวัสดิ์อาทิตยวารค่ะ

เพิ่งเห็นเทียบเชิญ
เห็นแล้ววิ่งแบบลืมตายมาเลยค่ะ
ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง เยี่ยมมากๆ

โห ทำไมมีหัวครี้อท มากมายอย่างนี้
เป็นชิ้นประวัติศาสตร์อีกชิ้นเลยค่ะ
นับถือ นับถือจริงๆ

การใช้ของในบ้านที่มีอยู่
ให้ประโยชน์คุ้มค่านี้ วิเศษมากค่ะ

ชอบทุกอย่างเลย ชอบน้องหมา
ชอบกระดาษที่พับเป็นแพนหางนกยูง
สีจ้าโชติฉายฉานไปหมด ทำให้บล็อกสว่างสดใส

คุณหลานของย่านาถ คงภูมิใจในตัวคุณพ่อมาก
พี่นาถยินดีด้วยมากๆ ค่ะ

ขอจงมีพลังสรรสร้างสิ่งดีๆ มีคุณค่าแบบนี้อีกต่อไปนานๆ นะคะ
ขอสดุดีด้วยใจที่ชื่นชมยิ่งค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:15:39 น.  

 
"โห ทำไมมีหัวครี้อท มากมายอย่างนี้"
ขออำไพ ขอแก้เป็น

โห ทำไมมีหัวครีเอท มากมายอย่างนี้ ค่ะ
ตาไม่ค่อยดี


โดย: sirivinit วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:17:56 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
จิรโรจน์ Craft Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

++++++++

ต้องส่งพ่อเข้าประกวดค่ะ งานฝีมือและไอเดียดีๆจากพ่อทั้งนั้น


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:35:35 น.  

 
ยอดๆๆๆๆๆๆๆ คับ


โดย: biocellulose วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:46:54 น.  

 
วันนี้พี่เม้นท์ได้แรง
และตรงใจผมมากครับ

เด็กเรียน ม.1 แต่เวลาไปเรียน ครูเอาวิชา ม.2 มาให้เรียน
เด็กกับผู้ปกครองเลยรู้สึกว่าตัวเองเรียนเก่ง

ความจริงมันแค่จำมากกว่า รู้มากกว่าวัยและระดับชั้นเท่านั้นเองครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:41:06 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณพ่อคนเก่ง


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:32:55 น.  

 
ขอส่งกำลังใจให้ลูกสาวประสบความสำเร็จกับการแข่งขัน
"พี่ร้องน้องเต้น" นี้นะคะ
แต่วันนี้ขอส่งกำลังใจให้คุณพ่อ 1 โหวตค่ะ

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
จิรโรจน์ Craft Blog ดู Blog
..................



โดย: Sweet_pills วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:19:38:23 น.  

 


ส่งกำลังใจมาให้ลูกสาวด้วยนะคะ
มาชมไอเดียดีๆทำเองด้วย
ดีค่ะ

newyorknurse



โดย: newyorknurse วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:20:09:43 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับพี่







โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:6:42:56 น.  

 
หวัดดียามเช้าคับ...


โดย: biocellulose วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:7:52:43 น.  

 
ผมก็รู้น้อยครับพี่
โลกนี้ความรู้เยอะมาก
จนเรียนรู้ได้ไม่สุดสิ้นจริงๆครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:8:16:16 น.  

 
เห็นบ้านนี้แล้วอยากเป็นปลวก ไม้เยอะดี มีกินตลอดชาติ

โดย: จิรโรจน์


สายสวัสดิ์จันทรวารค่ะ

ฮ่าๆๆๆ ใจคอจะกินไม้จริงๆ หรือคะ
บ้านลักษณะนี้ ไม่ทราบว่ามีปลวกรึเปล่านะคะ



โดย: sirivinit วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:8:44:15 น.  

 
อื้ออออหื้อออออ เสกสรรค์ได้ทุกสิ่งจริง ๆ ด้วยยย


โดย: ishi_imp วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:37:53 น.  

 
สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณจิรโรจน์


ช่างเข้าใจคิดและทำดีจังนะคะ แต่ละอย่างที่ทำสวยๆทั้งนั้นดูแล้วรู้ได้ด้วยเลยว่าทำด้วยความปราณีตไม่ไช่ทำลวกๆ

เห็นแล้วอิจฉาคุณลูกบ้านนี้ ที่คุณพ่อสามารถประดิฐของเล่นให้คุณลูกได้ตามใจปรารถนา




บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
จิรโรจน์ Craft Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: Katai_Akiko วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:50:19 น.  

 
ทักทายสวัสดีกันช่วงพักทานข้าวมื้อกลางวันอร่อยๆ ครับ
และขอบคุณสำหรับ link ที่ส่งไปให้ชมด้วยครับ
ชมแล้วนึกถึงการจัดการแสดงในสไตล์นี้ของญีปุ่นเลยนะครับ

เชื่อว่าหากเมืองไทยมีคนสนับสนุนการจัดการแสดงแบบนี้ คงได้เห็นไอเดียดีๆ และสนับสนุนให้คนไทยคิดอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์กันมากยิ่งขึ้นด้วยครับ


โดย: ถปรร วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:43:33 น.  

 
มาม่าคับที่อร่อยสุดสำหรับเราอยู่ที่สนามกอล์ฟค่ะ
เพราะเวลาเที่ยงแล้ว อาหารในสนามกอล์ฟจะแพง ถูกที่สุดและเร็วสุดก็มาม่าคับ 25 บาทซึ่งข้างนอกจะขาย 12 บาท

ที่ปั๊มข้างบ้านอากาศไม่เย็นเท่าปายตอนค่ำ ๆ มั้งคะ
... ปายตอนกลางวันร้อนมากค่ะ ...


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:54:56 น.  

 
หวัดดียามบ่ายคับ..
ขอบคุณคับ...สำหรับประสบการณ์ตรงของเจ้าสุนัข ...
น่า up blog เลยนะคับ...


โดย: biocellulose วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:35:11 น.  

 
น่าภูมิใจกับลูกสาวจังเลยค่ะ
และไอเดียแต่ละอย่างที่เห็นเยี่ยมเลยค่ะ
เห็นเจ้าน้องหมารำแพนแล้วอดยิ้มไม่ได้ค่ะ




โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:19:38:02 น.  

 
เก่งมากเลยค่ะ ใช้ทั้งความคิด ความตั้งใจ และความใส่ใจ นับถือค่ะ

ให้รางวัลคนเก่งค่ะ


บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Sweet_pills Food Blog ดู Blog
จิรโรจน์ Craft Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: somjaidean100 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:01:55 น.  

 
วันนี้นั่งดูข่าวเศรษฐีนีพันล้านชาวอเมริกัน
เพิ่งทำศัลยกรรมมาอีกรอบ
หน้าเธอเหมือนแมวเลยครับพี่ แหะๆๆ

ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:02:50 น.  

 


แวะมาราตรีสวัสดิ์ค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:21:21 น.  

 
นับถือจริง ๆ มีหัวประดิษฐ์ ดัดแปลง เยี่ยม ครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:5:07:10 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับพี่









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:6:22:25 น.  

 

แหล่มเลยค่ะ น้องหมาน่ารักจัง


โดย: อุ้มสี วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:7:28:32 น.  

 


โดย: จิรโรจน์ วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:8:47:04 น.  

 
แบบนี้ต้องเรียกว่าคุณพ่อก็เก่ง คุณลูกก็เก่งนะคะ :) ... คุณพ่อเป็นนักประดิษฐ์แบบนี้ น้อง ๆ สบายเลย


โดย: Tristy วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:51:58 น.  

 
คำถามพี่
ผมขอไปนั่งคิดคำตอบก่อนนะครับ
เป็นประเด็นที่ตรงใจผมเลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:18:27 น.  

 
หวัดดียามเย็นคราบ


โดย: biocellulose วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:45:36 น.  

 
many thanks

sorry,I can't type in thai ka



โดย: sirivinit วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:20:41:16 น.  

 
แจ่มอ่ะค่ะ
มีคุณพ่อหัวครีเอทแบบนี้ ใครได้เกิดเป็นลูกสบายไปทั้งชาติเลย
แถมได้ภาคภูมิใจและเอาไปคุยกับเพื่อนๆได้อีกต่ะหากว่า
"พ่อเราเป็นฮีโร่ ทำได้ทุกอย่างเลยนะ"

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
จิรโรจน์ Craft Blog ดู Blog


โดย: ฝากเธอ วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:20:58:51 น.  

 
ทักทายสวัสดีกันยามค่ำคืนครับ

ได้ชมภาพจาก youtube มาครั้งหนึ่ง
พอมาชมกันแบบภาพนิ่งแบบนี้อีกครั้ง
ต้องชื่นชมฝีมือ DIY อย่างแท้จริงเลยครับ


โดย: ถปรร วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:49:59 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับพี่









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา:6:03:03 น.  

 
:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่จิรโรจน์ ::




คุณก๋าเชื่อเรื่องเทพ เทวดา ผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่คนเราชอบกราบไหว้แล้วขอโน้น นี้ นั้น ไหมครับ
เชื่อเรื่องโชคชะตาไหมครับ

ผมมีความขัดแย้งในใจเรื่องไหว้เจ้า
พ่อก็บอกว่าให้ตั้งเจ้าที่แล้วก็ไหว้ขอให้การค้าดีๆ
ในใจก็ว่ามันจะขอได้จริงหรือ
ถ้าไม่เชื่อแล้ว จะไหว้ไปทำไม
อย่างไรเสียแล้วชะตาก็พาเราไปอยู่ดี




คำถามโดย : จิรโรจน์
วันที่ : 27 พฤศจิกายน 2555
เวลา : 11:30:40 น.




*******************************




ทุกครั้งที่พาหมิงหมิงไปฉี่นอกบ้าน
ไม่ว่าจะกลางดอย และในสวนหลังบ้าน
ผมจะบอกลูกเสมอเมื่อฉี่เสร็จว่า

“ยกมือไหว้ด้วยครับลูก”

หมิงหมิงเคยถามว่าทำไมต้องไหว้

ผมบอกว่าในทุกๆที่มี “เจ้าที่เจ้าทาง” อยู่เสมอ
เราทำบ้านท่านเปื้อนก็ต้องยกมือขอโทษขออภัย



.........................



ผมสวดมนต์ไหว้พระทุกเช้า
เป็นหน้าที่เลยครับ
เช้ามาไหว้พระทั้งหมด 5 จุด

ผมสวดมนต์ แผ่เมตตา
แล้วก็อธิษฐานจิตว่า

“ขอให้การค้าการขายในวันนี้มีความเจริญรุ่งเรือง
มีความร่ำรวย เงินทองไหลมาเทมา
และมีโชคลาภวาสนาที่ดีไปตลอดทั้งวันด้วยนะครับ”



...........................



แต่เวลาเข้าวัดหรือศาลเจ้าเพื่อไหว้บูชา
ผมไม่ค่อยได้ขออะไรเลยครับ
เข้าไปกราบไหว้เงียบๆด้วยความสงบ



............................


ผมเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผีสางนางไม้หรือเปล่า
ผมเชื่อในเรื่องของปาฏิหาริย์ เรื่องเหนือธรรมชาติหรือเปล่า
ผมเชื่อในเรื่องของเทพ เทวดา ซาตาน นรก สวรรค์ หรือเปล่า
ผมเชื่อในเรื่องของโชคชะตา บุญพาวาสนาหรือเปล่า

ฯลฯ


ผมเชื่อครับ

เชื่อแต่ไม่ให้สิ่งที่ผมเชื่อมามีอิทธิพลเหนือความคิดของผม



...................................




ผมให้ลูกยกมือไหว้ทุกครั้งที่ฉี่ไม่เป็นที่เป็นทาง
ผ่านวัด หรือเดินผ่านพระผมสอนให้ลูกยกมือไหว้ทุกครั้ง

ผมกำลังสอนลูกว่า

ก่อนที่เราจะถือกำเนิดขึ้นมา
โลกใบนี้ พื้นที่ทุกตารางนิ้วที่เราย่ำเหยียบ
เคยมี “เจ้าของ” มาแล้วทั้งสิ้น

แต่เป็นเจ้าของชั่วคราวที่มาแล้วก็ไป
เกิดแล้วตาย....ตายแล้วเกิด

ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปเจ้าของ


การแสดงความเคารพต่อคนที่เคยมา เคยใช้ เคยเป็นเจ้าของ
ผมว่าเป็นสิ่งที่น่ารัก เป็นความนอบน้อม
ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรืองมงายไร้สาระ

เหมือนเด็กที่ควรยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน
ไม่ว่าผู้ใหญ่คนนั้นจะมีพฤติกรรมที่น่าเคารพหรือไม่ก็ตาม



..................................




เช่นกัน....


ผมสอนลูกไม่ให้กลัวผี
ผมถามลูกว่า “ผีมีจริงไหมลูก ?”
“เคยเห็นไหมลูก ?”

ถ้าไม่เคยเห็น...แล้วจะกลัวทำไม



เพื่อนของพ่อเคยทำนายทายทักผมเอาไว้เมื่อตอนเป็นเด็ก
ผมจำเนื้อหาในคำทำนายนั้นได้
แต่ไม่เคยให้มันมามีอิทธิพลเหนือความคิดของผมเลย

เช่นเดียวกับเรื่องของโชคชะตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้า ผี ฯลฯ

ผมเชื่อว่ามี
มีในฐานะของผู้ที่อยู่มาก่อนเก่า
แต่ผมไม่ให้ความเชื่อนี้มามีอิทธิพลในชีวิต
จนทำให้เราต้องพึ่งพาสิ่งต่างๆเหล่านี้ในการดำเนินชีวิต


ผมไหว้พระ ไหว้เจ้า
อธิษฐานจิต
แต่ผมไม่ลืมที่จะ “ลงมือทำ” ในสิ่งที่ผมร้องขอ

ผมได้เรียนรู้ว่า

ต่อให้คุณอธิษฐานกับหลวงพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
ว่าอยากให้ชีวิตคู่มีความสุข
แต่พอกลับบ้านไปคุณก็ด่าเมีย ตีลูก
งานการไม่ทำ แบบนี้ต่อให้สวดมนต์ล้านรอบ
ครอบครัวก็ไม่มีทางสงบสุข

เช่นกัน เด็กที่ไปบนบานศาลกล่าวกับเหล่าเทวา
ว่าขอให้สอบติดมหาวิทยาลัย
โดยที่ผ่านมาไม่ขยันเรียน ไม่ตั้งใจศึกษา ไม่เพียรอ่านหนังสือ
ไม่มีเทพองค์ไหนเคยเรียนแคนคูลัสหรือฟิซิกส์หรอกครับ
ถ้าจะสอบได้ ก็เป็นเพราะคุณทำข้อสอบได้ ไม่ใช่เทพดลบันดาล


จะแข่งขันฟุตบอลแทนที่จะเอาเวลาไปซ้อม ไปวางแผนการเล่น
กลับพานักเตะเดินสายไหว้พระ
หลวงพ่อท่านเตะบอลไม่เป็น จะช่วยเราได้ยังไง
เมสซี่คงไม่ได้เป็นนักเตะระดับโลกเพราะเดินสายบนบานไหว้พระแน่ๆ
มีแต่ต้องทุ่มเททำงานหนักกว่าในสนามเพื่อให้เก่งเหนือคน



ผมอธิษฐานขอให้การค้าประสบความสำเร็จ ร่ำรวยทุกเช้า
แต่ถ้านักการเมืองห่วยๆทำบ้านเมืองพังด้วยการประท้วง
เผาบ้านเผาเมืองหรือปิดสนามบิน
เทพกี่องค์ก็คงช่วยผมไม่ได้



แต่สิ่งที่ผมควบคุมได้
คือ “การลงมือทำ”


ทำทุกอย่างอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจ
ทำด้วยความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาในสิ่งที่ถูกต้อง

เมื่อทำสิ่งต่างๆตามหน้าที่อย่างดีที่สุด
ถึงไม่ร้องขอกราบไหว้บนบานอะไร
ผมว่าคนๆนั้นก็น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากครับ




.................................




ที่สุดแล้ว...

ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง
ปาฏิหาริย์มีจริง

และทุกสิ่งที่เราเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนอยู่ในตัวเรานั่นเอง



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:32:37 น.  

 


โดย: ปลาไหลเรียกพี่ วันที่: 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:39:32 น.  

 
สวัสดีครับ
เห็นบ้านนี้แล้วเหนื่อยครับ กระจกมาก วันๆไม่ต้องทำอะไร นั่งถูกกระจกทั้งวัน

โดย: จิรโรจน์


ฮ่าๆๆๆๆ
ก็คุณออกมีหัวครีเอท
พี่เชื่อว่า คุณคงประดิษฐ์ ไม้ต่อยาวๆ
มีปุ่มสวิช ที่ใกล้มือ กดให้น้ำยาเช็ดกระจกสเปรย์ฟองฝอย
ทั่วกระจก
แล้วก็มีไม้ยาว มีอุปกรณ์เช็ดถูปลายไม้ แล้วกระจกก็ใส ปิ๊ง ปิ๊ง...ค่ะ

ขี้คร้านจะแย่งกันเช็ดกระจกทั้งบ้านน่ะซีคะ


โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:29:18 น.  

 
โอ่ว มันยอดมากครับ

ชอบงานสร้างสรรค์แบบนี้ กระตุ้นต่อมดีมากๆครับ


โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:13:58 น.  

 
เก็บคำถามไว้แล้วครับพี่
เดี๋ยวหายป่วย
จะมาตอบคำถามอีกครั้งนะครับพี่ แหะๆๆ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:33:53 น.  

 
สวัสดี วันลอยกระทงค่ะ




โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:28:47 น.  

 


โดย: ฝากเธอ วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:03:38 น.  

 
สายสวัสดิ์ศุกรวารค่ะ


"สวัสดีครับ
บ้านหลังนี้คงไม่มีห้องอาบน้ำแน่ๆเลย เอามาอ่างอาบน้ำมาอยู่ในห้องนอน

โดย: จิรโรจน์"


หึหึหึ ... ต้องมีสิ
ไม่งั้นจะอึ ฉี่ ที่ไหนล่ะคะ



เขาทำเพื่อความสะดวกน่าซี้...


โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:25:59 น.  

 
ฮ่าๆๆๆๆ เพิ่งนึกได้ว่า
"วันนี้วันปร๊ะหัดสระผมบ่อดี" ค่ะ
ขออำไพ


โดย: นาถ (sirivinit ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:27:50 น.  

 
สวัสดีส่งความสุขกับเทศกาลลอยกระทงครับ

เรื่องภาพถ่ายผมคิดจะไปฝากไว้ที่ web อื่นๆ เหมือนกันครับ แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่ได้ไปฝากไว้ที่ไหนเลย นั่งทำ up ที่ละภาพจนเหนื่อยๆ เหมือนกัน 555

แต่ว่าไปแล้วผมคงใช้พื้นที่ของ bloggang เกินกำหนดไปแล้ว เคยได้รับข้อความเตือนพร้อมห้ามเพิ่มรูป(ใช้พื้นที่เก็บไฟล์ภาพเกินกำหนด)ไปครั้งหนึ่งเหมือนกันครับ


โดย: ถปรร วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:11:02:22 น.  

 
ขอบคุณที่แวะเยี่ยมนะคะ
สุขสันต์วันลอยกระทงย้อนหลัง
คืนนี้นอนหลับฝันดีค่ะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:20:23:55 น.  

 
สวัสดีค่ะ
แวะมาเยี่ยม


โดย: pantawan วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:23:30:04 น.  

 
ไอเดียดีคับ

ขอฝากบทความดี ๆ เรื่องราวดี ๆ ของนาฬิกาหน่อยนะค๊า..บ ติดตามได้ที่ลิงค์ : //sellledwatch.blogspot.com/ หรือติดตามได้ในเฟสบุ๊คที่ : //www.facebook.com/Kledwatch และเวปไซด์ : //www.skythailandshop.com ขอบคุณค๊าบ


โดย: ทีมงาน skythailand IP: 124.122.208.109 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:33:17 น.  

 
หวัดดียามบ่ายคับ..


โดย: biocellulose วันที่: 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:30:27 น.  

 
สวัสดีค่ะ

โห...ครีเอท..สุดยอดเลยค่ะ...จากวัสดุธรรมดาที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว...ทำซะสวยเลย

แอบชอบสุนัขยูงค่ะ...น่ารักน่าชัง อิอิอิ


โดย: นุ้ยหนุ่ย (cleaver ) วันที่: 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:16:53 น.  

 
หวัดดียามสายคราบ....


โดย: biocellulose วันที่: 1 ธันวาคม 2555 เวลา:9:58:00 น.  

 
ครีเอท ได้ดีมากๆ เลยค่ะ
ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมกันนะคะ


โดย: kanyong1 วันที่: 1 ธันวาคม 2555 เวลา:16:18:25 น.  

 
:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่จิรโรจน์ ::



คุณก๋าได้ดูการอภิปรายที่ผ่านมาไหมครับ
ฟังแล้วในฐานะประชาชน เชื่อใคร
ถ้าเป็นฝ่ายค้านก็เชื่อว่าจริง
ถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาลก็เชื่อว่าไม่จริง
ถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาลเชื่อว่าจริงแต่ก็ต้องลงคะแนนให้รัฐบาล
เพราะตัวอยู่ในรัฐบาล
เห็นไหมครับว่า ทำตามกติกา ถ้ามีมูลผิดจริงๆ
แต่ฝ่ายรัฐบาลพวกมากกว่าก็ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้อีก




คำถามโดย : จิรโรจน์
วันที่ : 28 พฤศจิกายน 2555
เวลา : 16:20:07 น.




*************************




ผมไม่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเลยครับ
ได้ฟังแบบผ่านๆ
ซึ่งก็ไม่อาจบอกได้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง

ความจริงแล้วหลายปีที่ผ่านมา
ผมสนใจแค่รายละเอียดนโยบายด้านการศึกษา
และด้านการท่องเที่ยวเท่านั้นเองครับ

15 ปีที่ผ่านมา
ผมกล้าพูดได้ว่าผมไม่เคยประทับใจรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ
แม้แต่คนเดียว

ทุกรัฐบาลเลือกรัฐมนตรีด้านการศึกษาเหมือนเพื่อมาคุมงบประมาณ
มากกว่าเพื่อหวังปฏิรูปการศึกษาที่มีปัญหาของชาติ

จะบอกรัฐบาลว่าเห็น “เงิน” สำคัญกว่า “ปัญญา” ก็ได้ครับ


ส่วนด้านการท่องเที่ยวมีรัฐมนตรีหลายท่านที่สอบผ่านในความรู้สึกของผม
เพียงแต่ปัญหาการเมืองเลือกฝ่ายเลือกสี
ทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวจนย่อยยับไปหลายครั้งหลายคราครับ




เมื่อไม่ได้ดู ไม่ได้ฟัง ไม่ได้สนใจ
ผมคงตอบพี่ไม่ได้จริงๆครับ
ว่าใครถูก ใครผิด ใครโกง ใครกิน
ใครโกหก ใครพูดความจริง


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 ธันวาคม 2555 เวลา:8:11:41 น.  

 
:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่จิรโรจน์ ::





ที่สุดแล้ว...

ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง
ปาฏิหาริย์มีจริง

และทุกสิ่งที่เราเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนอยู่ในตัวเรานั่นเอง


(เขียนโดย : กะว่าก๋า)



ในพระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยหรือครับ
หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พวกฝรั่งไม่เห็นเชื่อเรื่องพวกนี้
ประเทศเขาเจริญกว่าเราอีก
อย่างนี้ควรเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี
ลูกเห็นเราไหว้เจ้า เขาก็ไม่เข้าใจว่าไหว้อะไร
เราก็ตอบไม่ได้เต็มปากว่าไหว้อะไร
เพราะความคิดคล้อยไปทางไม่เชื่อ
แต่ทำตามพ่อมาตั้งแต่เล็ก
ลูกเราอีกหน่อยก็คงจะทำตามพ่อ แต่ไม่รู้ทำทำไม
ทำเพราะเห็นพ่อทำมาก่อน
ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี
คุณก๋าบอกว่าให้อยู่ตามความเป็นจริง
แล้วนี้อะไรคือความจริง




คำถามโดย : จิรโรจน์
วันที่ : 28 พฤศจิกายน 2555
เวลา : 16:04:26 น.




************************




มีศิษย์เคยถามหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ว่า
พระเซนโดยทั่วไปนั้น เหตุใดจึงมักไม่ค่อยแสดงปาฏิหาริย์ใดใดให้เห็น
เน้นแต่ความเรียบง่ายในวัตรปฏิบัติ

ทั้งสองเดินเลาะไปตามแม่น้ำ
ลูกศิษย์คนนั้นจึงถือโอกาสถามหลวงปู่ว่า

“หลวงปู่ครับ..หลวงปู่สามารถสร้างปาฏิหาริย์
โดยการเดินข้ามน้ำไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำได้หรือไม่ ?”

หลวงปู่ตอบว่า

“การไม่เดินบนน้ำนั่นต่างหากที่เรียกว่าปาฏิหาริย์”




...........................




ในศาสนาพุทธมีเรื่องราวปาฏิหาริย์มากมาย

ไม่เพียงแต่ในศาสนาพุทธหรอกครับ
ทุกศาสนาในโลกนี้ก็ว่าได้ ที่มักมีเรื่องราวปาฏิหาริย์
เรื่องราวเหนือธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ในหลักคำสอนหรือประวัติขององค์ศาสดา

หลายคนจึงเชื่อว่ามีปาฏิหาริย์
แต่หลายคนเชื่อว่าไม่มีสิ่งนี้
หรือ ถึงแม้จะมีปาฏิหาริย์จริงๆก็ไม่จำเป็นและไม่ได้ต้องการ....



มีบางคนเคยถามผมว่า

“ผีมีจริงไหม?”

ผมตอบว่า “มีจริง”

ผีมีจริง...สำหรับคนที่เชื่อว่า “ผีมีจริง” เท่านั้น



คนที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริง เขาย่อมไม่เคยเห็นผีเลย
ส่วนคนที่เชื่อว่าผีมีจริง เขาได้สร้างจินตทัศน์
หรือรูปจำลองของผีไว้ในใจตนเองก่อนที่จะเจอผีจริงๆเสียอีก
แค่ได้ยินเสียงแมวเดิน ก็นึกว่าผีกำลังเดิน
ได้ยินเสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้ง ได้เห็นเงาวูบไหวที่ผนังห้อง
จินตนาการก็สร้างความกลัวอย่างมากมายไปแล้วล่วงหน้า



..............................



ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนเชื่อในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือปาฏิหาริย์
แต่บางคนอาจคลางแคลงใจทุกครั้ง เมื่อได้อ่านพุทธประวัติ
ที่เต็มไปด้วยอภินิหารล้ำลึก เช่น พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาก็สามารถเดินได้ พูดได้เลย
หรือพระอรหันต์บางรูปที่ท่านสามารถเหาะเหินเดินอากาศ
สามารถหยั่งรู้ใจคนได้

แต่ที่สุดแล้วถ้าเราศึกษาให้ดี เรียนรู้ด้วย “ปัญญา”
เราอาจค้นพบว่า ไม่ว่าเรื่องราวในนั้นจะจริงหรือไม่จริง
ไม่ได้สำคัญเท่ากับ “หลักธรรมคำสอน” ที่มีอยู่เลย



พระพุทธองค์ไม่เคยเขียนประวัติของพระองค์
หากแต่เป็นศิษยานุศิษย์ที่เขียนเรื่องราวต่างๆขึ้นมา
ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วหลายปี


ศาสดาในทุกลัทธิ นิกายและศาสนา
จึงมักถูกเขียนเสริมเติมแต่งประวัติของท่านให้ดูลึกล้ำ มหัศจรรย์
และมีเอกลักษณ์ มีความยิ่งใหญ่
อันเป็นนัยยะของการเทิดทูนบูชาขั้นสูงสุด


“คำสอน” ที่องค์ศาสดาเคยสอนไว้ เคยกล่าวไว้
เอาเข้าจริงอาจถูกบิดเบือนเสริมเติมแต่งไปเรื่อยๆจากเหล่าลูกศิษย์
เพื่อเพิ่มความขลัง เพิ่มแรงศรัทธา เพิ่มความเชื่อ
อันเป็นแรงเสริม เป็นแรงดึงดูด
ในการเรียกคนเพื่อเข้ามาเป็นศาสนิกชนกของตนเอง

หลายๆคำสอนยิ่งชำระ ยิ่งรกเรื้อรุงรัง
ยิ่งต้องเพิ่มเติมบทบัญญัติข้อบังคับมากมายเข้าไป
เพื่อหวังจะควบคุมสังฆะให้มีระเบียบเรียบร้อย
และดำรงตนอยู่ได้
ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมและการปกครอง

คำสอนที่ดีงามและเปี่ยมปัญญายังคงมีอยู่
เพียงแต่บัดนี้ได้ถูกเปลือกห่อหุ้มทับไปเรื่อยๆ

เราจึงทิ้ง “แก่น” เพื่อไปรักษา “เปลือก”
ละทิ้ง “สัจธรรม” แล้วไปทึกทักเอาว่า “โลกธรรม” ทั้งปวง
คือ “ความเป็นจริง”



................................




“สัจธรรม” หรือ “ความเป็นจริง” นี้ที่พี่ถามผมว่า
มันคืออะไร ?



มันคือ “ความจริง” ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง




“สัจจะ” คือ “ตรง”
“ธรรม” คือ “ธรรมชาติ”


สัจธรรม คือ ตรงตามธรรมชาติ หรือ ตรงตามความเป็นจริง
อะไรที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ถือว่าไม่ใช่สัจธรรม




อะไรคือสิ่งที่ไม่ใช่สัจธรรม ?

สิ่งใดใดทั้งปวงที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
สิ่งนั้นไม่ใช่สัจธรรม
คือสิ่งที่แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ รูปทรงอยู่ตลอดเวลา
เช่น คน สัตว์ สิ่งของ บ้านเรือน ป่าเขา ทะเล โลก
จักรวาล ฯลฯ


ทั้งหมดไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ถาวรตลอดกาลเลย
ดังนั้นทั้งหมด ล้วนไม่ใช่ “ความจริง”
หรือถ้าเราอยากจะเรียกมันว่า “ความจริง” มันก็เป็น “ความจริงในชั่วขณะเวลา”
เป็นแค่สิ่งสมมติ เป็นแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทำหน้าที่
ให้ถูกใช้งานเพียงชั่วคราว ยาวนานเท่าใดขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย
ที่ “ธรรมชาติ” สร้างขึ้นและกำหนดไว้
“ความจริงในชั่วขณะเวลา” เช่นนี้จึงไม่คงทน รักษารูปเอาไว้ไม่ได้
ทำให้คงอยู่ถาวรตลอดไปไม่ได้ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และที่สุดก็ต้องเสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย


ถ้าถามว่าทำไมคนเราไม่อายุยืนเป็นพันปี
ก็ตอบได้ว่าเพราะธรรมชาติสร้างมาให้เรามีวงจรชีวิตยาวนานเพียงเท่านี้
อยากอยู่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย
ทำอย่างไรก็หนีสภาวะความจริงที่ไม่คงทนเช่นนี้ไปได้


โลกมนุษย์ถึงวันหนึ่งก็แตกสลายกลายเป็นผง
ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด หรือน่ากลัวอะไรเลย
ไปเครียด ไปกังวลว่าโลกจะแตกวันไหน
มีแต่ยิ่งทำให้ใจตนเป็นทุกข์ เพราะถึงอย่างไร
วันหนึ่งโลกนี้ก็ต้องแตกและเสื่อมสลายอยู่ดี

แทนที่จะกลัว เอาเวลาไปชำระล้างจิตใจให้ดีงาม
และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดมิดีกว่าหรือ

ฯลฯ


ทุกสิ่งที่ธรรมชาติสร้างทำ
ล้วนอยู่ภายใต้กฎ --- เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปทั้งสิ้น


“กฎแห่งธรรมชาติ” นี้
จึงเป็น “กฎแห่งความเป็นจริง” ที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้



............................



คำถามคือ เราเคยสนใจเรียนรู้บ้างไหม
ว่าอะไร คือ สิ่งที่เป็นจริง และอะไรคือสิ่งสมมติ
อะไรคือ โลกธรรม และอะไรคือโลกุตระธรรม

เมื่อเราไม่รู้ที่มาว่าเราเกิดจากอะไร
เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน


ชีวิตเราจึงมีแต่ความสงสัย


แต่หากเรารู้ว่าเราเกิดมาจากโลกุตระธรรม หรือธรรมชาติ
เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของตน
เป็นคนก็เป็นคนที่เกิดมาสร้างทำแต่สิ่งดีมีประโยชน์
เป็นสัตว์ก็ดำรงพงศ์พันธุ์อย่างดีที่สุด
เป็นต้นไม้ เป็นหนอน เป็นป่าเขา ฯลฯ
เป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นอย่างดีที่สุด

ตายไปแล้วถ้ายังอยากเกิดก็ต้องกลับมาเกิด
แต่ถ้าไม่อยากเกิดก็ไปให้สุดทางที่นิพพาน

จะนิพพานได้อย่างไร
คงต้องไปค้นพบวิธีที่จะหลอมรวมตนเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ


นี่คือ “ธรรมะ” ที่เราควรเรียนรู้
และน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดผลกับตนเอง

ไม่ใช่การแสวงหาปาฏิหาริย์ การแสวงหาเครื่องราง
การปรารถนาจะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ญาณทิพย์
หรือการระลึกชาติ

สิ่งต่างๆเหล่านั้นถึงรู้ไป
ก็ไม่ช่วยแก้ไขปัญหา
หรือทำให้ความทุกข์ที่มีในความคิดตนลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด


การขจัดความสงสัย ขจัดกิเลส ขจัดอวิชชาในจิตตนต่างหาก
ที่เป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง
อันนำไปสู่สภาวะนิพพาน
หรือการเข้าสู่ที่สุดแห่งความจริงของชีวิต


และในมิตินี้
ย่อมมิได้จำกัดวงอยู่เพียงแค่พุทธศาสนิกชน
แต่ทุกๆศาสนาในโลกนี้ หรือแม้แต่คนที่คิดว่าตนไม่มีศาสนา
ยังสามารถเข้าถึง “ความจริงแห่งชีวิต” นี้ได้เหมือนๆกัน


เพียงแต่แตกต่างกันไปในการเรียกขานนาม “ธรรมชาติ” ของตน
แตกต่างกันในวิธีเข้าถึง “ความจริง” แห่งชีวิต


เพราะ “ความจริง” นี้มีหนึ่งเดียว คือ “สัจธรรม”
เข้าใจสัจธรรมได้ ก็เข้าใจชีวิต
เข้าใจชีวิตก็เข้าใจความตาย
เข้าใจความตาย ก็เข้าใจสัจธรรม


นี่คือ “ความจริง” ที่เราควรอยู่ด้วย
เพราะเป็นความจริงสูงสุดที่จะพาเราพ้นทุกข์
ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
ไม่ต้องกลับมาเพื่อเจอกับทุกข์เดิมๆที่ไม่มีใครหลีกพ้น

คำถามคือ มันไม่ง่ายเลยที่คนๆหนึ่งจะพ้นทุกข์ได้
เพราะเรายังสุขและเสพติดความสุข
แม้ในขณะนั้นเราจะต้องทุกข์มากที่สุดเพื่อเสพสุข
เราก็ยอม….




...............................



เมื่อลูกของพี่สงสัยว่าทำไมพ่อต้องไหว้เจ้า ทำไมต้องสวดมนต์
เราสามารถอธิบายได้ง่ายที่สุดว่า

การสวดมนต์นั้น คือ การท่องคำสอนของพระพุทธเจ้า
คนในสมัยโบราณนั้นยังไม่นิยมการจดคำสอนลงบนกระดาษ
“คำสอน” ของพระพุทธองค์จึงถูกสอนและส่งต่อกันแบบปากต่อปาก
ให้ท่องจำคำสอน จากนั้นก็ตีความหมายของคำสอน
ถ้าสวดมนต์แล้วแปลความหมายที่อยู่ในบทสวดนั้น
เราจะทราบว่าทุกบทสวดไม่ได้กล่าวถึงปาฏิหาริย์เหนือมนุษย์
แต่พูดถึง “หลัก” ในการดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญา

ความศักดิ์สิทธิ์ของบทสวด
จึงอยู่ที่การสวดมนต์ แปลความ
แล้วน้อมนำหลักคำสอนนั้นไปปฏิบัติกับตนเองจนเกิดผล


ไม่ใช่สวดแล้วรอคอยปาฏิหาริย์มาดลบันดาลความสำเร็จ




...................................




เช่นเดียวกับการไหว้เจ้าของคนจีน
สิ่งนี้ได้ถูกสั่งสอนและเน้นไปยังเรื่องของ “ความกตัญญู”

คนจีนถูกปลูกฝังในเรื่องของความเคารพนบน้อม การรักษาสืบทอดธรรมเนียมประเพณี
เมื่อคนจีนเดินทางไปยังโพ้นทะเล หากไม่มีวัฒนธรรมและประเพณีนี้
สิ่งดีงามบางอย่างจะถูกลบเลือนไป

การไหว้เจ้าในวันตรุษจีนและเทศกาลต่างๆ
จึงเป็นโอกาสดีในปีหนึ่ง
ที่คนในตระกูลและครอบครัวทั้งหมดจะกลับมาเจอกัน

เราไหว้เจ้าเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ
เราไหว้เจ้าเพื่อสอนลูกหลานชาวจีนว่าให้ระลึกถึงความกตัญญู
ให้รักครอบครัว อย่าลืมและทอดทิ้งครอบครัว

แม้แต่ของไหว้ทุกอย่างก็สื่อความหมายไปในทางบวก
มีความหมายในทางดี

ไม่ได้เน้นว่าต้องไหว้บรรพบุรุษแล้วถึงจะร่ำรวย

ไหว้เจ้าไม่ได้ทำให้ใครรวย
แต่ความกตัญญูต่างหากที่เป็นเครื่องหมายของคนดี
เมื่อคนดีมีศีลธรรม มีความกตัญญูในใจ
ทำอะไรก็ย่อมไม่ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต



……………………………….




เมื่อลูกศิษย์ถามอาจารย์เซนว่า
ปาฏิหาริย์ของท่านอาจารย์คืออะไร ?


“เจ้ากินข้าวแล้วหรือยัง ?” อาจารย์ถาม

ศิษย์ตอบว่า “กินแล้วขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไปล้างชามข้าวของเจ้าให้สะอาด”



ฟังดูแล้วไม่เห็นจะมีธรรมะตรงไหน ?
ไม่เห็นจะเป็นคำสอนตรงไหน ?


เราเคยถามตัวเองไหมครับ
ว่าเราได้เคย “ล้างจาน” อย่างมีสติหรือไม่
ตั้งแต่เริ่มต้นที่มองเห็นจาน หยิบจานขึ้นมา ใส่สบู่
เริ่มล้าง ล้าง ล้างจนชามสะอาด ก่อนนำไปผึ่งแดดผึ่งลม


ทุกขั้นตอนเราได้ทำอย่างมีสติและมีปัญญาหรือไม่
หรือสักแต่ว่าล้าง ล้างไปอย่างไร้สติ
บางทีมือล้างแต่ใจคิดถึงเรื่องอื่น
จนชามพลัดหลุดจากมือตกแตกก็มี


“การศึกษาธรรมที่แท้” ไม่ใช่การแสวงหาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
ไม่ใช่การเห็นดวงแก้ว หรือ มองทะลุกายไปสู่กระดูก
ไม่ใช่การเพ่งนิมิต ไม่ใช่การเสกมนต์คาถา
ไม่ใช่การลบล้างกรรมเก่า ไม่ใช่การสแกนกรรม ดีลีทกรรม
ไม่ใช่จิตสัมผัส ไม่ใช่ญาณทิพย์ ไม่มีคาถามหาละลวย
ไม่มีพระเครื่องรุ่นรวยไม่ยั้ง ไม่มีปลัดขิกรุ่นเสน่ห์มัดใจผัว
ไม่มีการกราบไหว้ร้องขอพรอันศักดิ์สิทธิ์
ไม่มีการเจิมหน้าผาก ไม่มีสาลิกาลิ้นทอง
ฯลฯ

ไม่มีอะไรเลย
นอกจากเรียนรู้หลักธรรมด้วยปัญญา
น้อมนำไปปฏิบัติอย่างอดทนไม่ย่อท้อ
และหมั่นฝึกฝนตนบนทางเดินแห่ง “สติ” เท่านั้นเอง




..............................





ธรรมมะ คือ การอยู่กับธรรมชาติ
โดยมุ่งไปสู่คำสอนสูงสุด
คือการมีสภาวธรรมเดียวกันกับธรรมชาติ

แต่คำสอนที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับ “ไม่จับใจ”
ชาวพุทธ

เราชอบอะไรที่ดูเหนือธรรมชาติ แปลกประหลาด
ลัดตรงจนบางทีก็พาเราหลงทางไปจากเส้นทางแห่งพุทธะ
ที่ต้องตื่นรู้ด้วย “ปัญญา”

เราจึงเป็นชาวพุทธที่ปลูก “ความเชื่อ” ลงในความคิด
แทนที่จะปลูก “ปัญญา” ลงไปในจิตใจของตนเอง


พุทธเทียมๆจึงพากันกอบโกยเงินและความร่ำรวยอย่างง่ายดาย
ด้วยพระรุ่นแล้วรุ่นเล่า ด้วยจตุคามนับพันรุ่น
พออะไรที่คลายความดัง เราก็มี “ความเชื่อ” รุ่นใหม่
มารองรับและสนองความอยากให้การร่ำรวย มีเสน่ห์
ก้าวหน้า เจริญรุ่งเรืองไปเรื่อยๆ

แทนที่จะมีสติและคิดว่า
ทุกสิ่งที่เราอยากได้นั้น
ไม่ต้องไหว้วอนขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย
เพราะเราสามารถสร้างทำได้หากเราให้ “สติ” และ “ปัญญา”
ในการสร้างทำขึ้นมาด้วยตัวเราเอง


เรามีหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงสอนให้เรา “พึ่งพาตนเอง”

น่าเสียดายที่คำสอนเหล่านั้นถูกเฉไฉด้วยคำสอนที่บิดเบือน
จนนำไปสู่สังคมแห่งการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปจนหมดสิ้น



................................



น่าเสียดายที่ความเป็นจริงทางธรรมนี้
ไม่อาจบอกสอนกันได้ ส่งต่อให้กันไม่ได้
สิ่งที่พ่อรู้ พ่อไม่อาจมอบให้ลูกได้
พาไปส่งถึงที่ ถ้าใครรับได้ก็จะได้รับ
ไม่อาจจับยัดใส่มือใส่สมองของใครได้

สิ่งนี้พึงรู้ได้ด้วยตนเอง
วิธีใดก็ไม่อาจกำหนดได้
สถานที่ใดก็ไม่อาจหยั่งรู้

ขอเพียงทำจนรู้
รู้ธรรมตามความเป็นจริง

เป็นจริงตาม “สัจธรรม”


เหมือนกับที่ผมเคยเขียนไว้ว่า


“อย่ารอจนสิ้นสงสัยแล้วจึงปฏิบัติธรรม
แต่จงปฏิบัติธรรมจนสิ้นสงสัย”



ธรรมะจึงไม่ใช่เรื่องง่ายแบบเสกสร้างขึ้นมาได้
และไม่ใช่เรื่องยากจนคนธรรมดาอย่างเราท่านจะเข้าไม่ถึง



เหมือนที่หลวงปู่สอนไว้

“การไม่เดินบนน้ำนั่นต่างหากที่เป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง”

การล้างจาน การกินข้าว
การเดิน นอน นั่งอย่างมีสตินั่นต่างหาก
ที่เป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง


คำสอนหลากหลายแนวทางมีอยู่
คราวนี้เหลือแต่เราเลือกแล้วว่า

จะเลือก “หนทาง” ใดในการพาตนเองไปสู่ “ธรรมะ” ที่แท้จริง




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 ธันวาคม 2555 เวลา:8:12:16 น.  

 
ผมวางคำถามคำตอบอีกข้อนึง
แต่โดนแบนครับ 555
รบกวนพี่ช่วยกู้คืนให้ด้วยนะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 ธันวาคม 2555 เวลา:8:12:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จิรโรจน์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ผมเป็นคนดีครับ
Friends' blogs
[Add จิรโรจน์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.