Wongnai Chefs Table @ Upstairs at Mikkeller
ชื่อร้าน : Upstairs at Mikkeller
รายการอาหาร : SEAFOOD BISQUE , WAGYU BEEF , DUCK
เวลาเปิดบริการ : 18.30 - 22.30 น. (พฤหัส-เสาร์)
ที่ตั้งร้าน : ซ.เอกมัย 10 แยก 2, กรุงเทพมหานคร วัฒนา Thailand
พิกัด GPS : 13° 43' 40.29" N 100° 35' 18.44" E
ดูแผนที่เพิ่มเติม
สวัสดีค่า วันนี้ก็จะมารีวิวกิจกรรมที่ได้ไปร่วมกับทางเว็บ Wongnai นะคะ
กิจกรรม Chef Table ทางเว็บ Wongnai จะจัดให้เหล่าสมาชิก Elite ได้เข้าร่วมกิจกรรมทุก ๆ ปี
โดยในแต่ละครั้งก็จะจำกัดที่นั่งไว้ไม่มาก และจะกันอีก 1 ที่ไว้สำหรับการประมูล
และเราก็ประมูลได้ที่นั่งนี้มา ก็เลยมีโอกาสได้ไปร่วมสัมผัสประสบการ์ณพิเศษครั้งนี้ค่า
ร้าน Upstairs At Mikkeller อยู่ในซ.เอกมัย 10 แยก 2
ตัวร้านเป็นบ้าน 2 ชั้น ใช้โทนสีขาว-เขียวดูสบายตา
ชั้นล่างจะเป็นร้าน Mikkeller Bangkok ที่ดังในเรื่องคราฟท์เบียร์
ระหว่างนั่งรอเวลาขึ้นไปทานด้านบนพี่แหม่มกับพี่เต้ยสั่งเบียร์มาลองคนละแก้ว
เราไม่ได้สั่งแค่ขอชิม ๆ ไปนะ ท้องว่างกลัวจะเมาซะก่อนค่า
ของพี่แหม่มเป็น CIDER : RED APPLE
แอลกอฮอลล์ 5% (แก้วเล็ก) 140 บ. รสหวาน ๆ ตามสไตล์ไซเดอร์
พี่เต้ยรีเควสตัวที่ฟรุตตี้ ๆ หน่อย ได้เป็นแก้วนี้มา
Lervig เป็น IPA แอลกอฮอลล์ 6% (แก้วเล็ก) 200 บ.
ฟรุ้ตตี้จริง ๆ หอมแนวผลไม้ ๆ แต่รสนี่เข้มขมใช้ได้เลย
แต่ยังไม่เท่าพวกเบียร์ดำนะ
ได้เวลาแล้วย้ายไปที่ชั้น 2 กันค่ะ
บรรยากาศด้านบนก็เรียบง่าย สบาย ๆ เหมือนชั้นล่าง มีที่นั่งไม่เกิน 20 ที่
ให้ความรู้สึกเหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อน แต่งตัวง่าย ๆ ไม่ต้องเนียบเรียบหรู
เห็นอะไรคุ้น ๆ มั้ย ป้ายรางวัลมิชลิน 1 ดาว ประจำปี 2018 ด้าน Innovations
(1 Michelin Star คือร้านอาหารที่อร่อยกมากเมื่อเทียบกับร้านประเภทเดียวกัน)
พึ่งได้มาสด ๆ ร้อน ๆ เลยค่า
กรี๊ดมากมาที่เดียวได้ทานทั้งอาหารในรูปแบบ Chefs Table
แถมยังได้ลองอาหาร Michelin 1 ดาว อีกด้วย
Chef Dan Bark เชฟชาวเกาหลี - อเมริกัน
เชฟแดนเคยเป็น Sous Chef จากร้าน Grace ที่ได้มิชลิน 3 ดาวในเมืองชิคาโก้
พอมาเปิดร้านเองที่เมืองไทยก็ได้มิชลิน 1 ดาวเลย ฝีมือเชฟไม่ธรรมดาแน่นอน
ตื่นเต้น ๆ ที่จะได้กินแล้ว
รูปแบบของอาหารมื้อนี้จะเป็นอาหารในรูปแบบ
Progressive American 10-course tasting menu 3,300++ บ.
โดยเมนูจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
เปิดแค่มื้อเย็นวันพฤหัส-ศุกร์-เสาร์ ต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ
ซึ่งโดยทั่วไปในการทานอาหารสไตล์นี้มักจะมีการจับคู่อาหารกับไวน์ต่าง ๆ
แต่ที่ร้านนี้นำเบียร์มาแพรริ่งกับอาหาร ซึ่งแต่ละเมนูอาหาร เบียร์ที่จะนำมาจับคู่ก็จะแตกต่างกันออกไป
จะเลือกแพรริ่งแค่บางจานก็ได้ไม่ต้องแพรริ่งทุกเมนู
บนโต๊ะจะมีที่วางมือถือให้ด้วย ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ ดีค่ะ
เพื่อน ๆ ในโต๊ะเค้าสั่งเบียร์มาลองกัน เราได้แต่ถ่ายรูปไม่ได้ชิมนะคะ
Mikkeller - Whatever 240 บ.
(มีเฉพาะที่ร้าน Mikkeller และ W เกาะสมุย)
แอลกอฮอลล์ 4.5% กลิ่นหอมมะม่วง
To Øl - Releaf Me 320 บ.
เบียร์ที่มีส่วนผสมของใบมะกรูด แอลกอฮอลล์ 5.8%
เห็นพี่แหม่มบอกแรงดี กลิ่นหอม
Mikkeller San Diego - Fruit Face
แอลกอฮอลล์ 4.0% ออกแนวผลไม้ ๆ
(แครนเบอรี่ , รูบาร์บ , ส้ม)
ส่วนเรานั้นจิบน้ำแร่ Acqua Panna วนไปค่ะ
เริ่มสตาร์กันด้วย Amuse Bouche
เมนูแรกเป็นเยลลี่เสาวรส และเสาวรสสด ท็อปด้วยวนิลาวิปครีม โรยหน้าด้วยกราโนล่า
รสอมเปรี้ยวอมหวาน อร่อยชื่นใจ ทานแล้วกระตุ้นต่อมรับรสให้ตื่นตัว
เตรียมพร้อมที่จะรับรสอาหารจานถัดไป
เมนูถัดมาเป็น Amuse Bouche อีกเช่นกัน
ด้านล่างเป็นข้าวเกรียบคีนัวมีความกรุบกรอบ ทานคู่กับเบคอนออมเล็ต
ที่มีส่วนผสมของเบคอน , โฮลเกรนมัสตาร์ด , เมเปิ้ลไซรัป
นำไปคลุกกับเบียร์เล็กน้อย เพื่อเพิ่มกลิ่นอโรม่า
มีความหวานความเปรี้ยวผสมผสานกัน
IKURA - blueberry, hibiscus, thyme
เมนูนี้จะได้ความเค็มจากไข่ปลาแซลมอน
ความเปรี้ยวอมหวานจากบลูเบอรี่ และน้ำกระเจี๊ยบที่ทำมาเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ,โยเกิร์ต
เพิ่มความหอมด้วย thyme milk
เมนูนี้แบบเซอร์ไพรส์มาก ไม่เคยคิดว่าไข่ปลาแซลมอนจะเข้ากับนมและบลูเบอรี่ได้
กินแล้วแบบ จะคาวก็ไม่ใช่ จะหวานก็ไม่เชิง สำหรับเรากินแล้วว้าวนะคะ
CARROT - goats milk, pomelo, fennel
สมเป็นจานแครอทจริง ๆ คือวัตถุดิบอย่างเดียวแต่นำไปทำกรรมวิธีหลาย ๆ อย่าง
มีทั้งเบบี้แครอท , powder carrot , puree carrot
และยังมีส่วนผสมของนมแพะ , funnel , ส้มโอ
คั่นรายการด้วยขนมปัง Homemade Brioche
ขนมปังบริยอช ซึ่งมีส่วนผสมของไข่และเนยจำนวนมาก ทำให้ขนมปังนุ้มนุ่ม
ทานคู่กับ Olive oil Jam และเนย
โรยด้วย black lava salt ที่มีรสเค็มเล็ก ๆ ละมุน ๆ
ทานคู่กันจะเพิ่มกลิ่นเพิ่มอโรม่า
SEAFOOD BISQUE - papaya, guava, shimeji
ใช้มะละกอผัดกับไวน์ขาว ทานคู่กับกุ้ง และเห็ดชิมิจิ
เป็นจานซุปที่มีความเบา รสชาติกำลังดี ไม่เค็มจนเกินไป
CAULIFLOWER - curry, grape, hoja santa
ดอกกะหล่ำขาว มีมะนาวแอบอยู่ด้านในเพิ่มความเปรี้ยวความหวาน
เพิ่มความมันด้วย brown butter
ตกแต่งด้วยเมอร์แรงค์ , องุ่น ,ลูกเกด , คีนัว
ซอสสีเหลืองมีความเผ็ดเล็ก ๆ เพราะเป็นซอสเครื่องแกง ซอสสีเขียวทำจากใบชะพลู
WAGYU BEEF - sherry, truffle, chive
เนื้อวากิวย่างมาแบบ Medium rare สุกกำลังดี
ทานคู่กับ truffle gastrique sauce และ truffle paste
มีดอกกุยช่ายโรยอยู่ด้านบน และโรยรอบ ๆ ด้วยผงกุยช่าย (chive powder)
เสิร์ฟคู่กับมันม่วงอบกรอบ
เนื้อคือดี อร่อยนุ่ม truffle paste ได้รสและกลิ่นทรัฟเฟิลแบบเต็ม ๆ
กุยช่ายดอกเล็ก ๆ ที่โรยมาตอนแรกแอบสงสัยว่าดอกเล็กขนาดนี้จะได้รสได้กลิ่นรึ?
พอเอาเข้าปากหายสงสัยเลย กลิ่นดอกกุยช่ายมาเต็มมาก ๆ
ชิมไปหลาย ๆ จานสัมผัสได้เลยว่าเชฟแดนเค้าเลือกใช้วัตถุดิบที่ให้กลิ่นแบบชัด ๆ ทั้งนั้นเลย
เรียกได้ว่าดึงอโรม่าของวัตถุดิบออกมาแบบเต็ม ๆ
ส่วนคนที่ไม่ทานเนื้อทางร้านจะเปลี่ยนเป็น Hokkaido Scallop ให้
ซอสเหมือนกับจานเนื้อทุกอย่าง แต่เราว่าคงไม่ฟินเท่า
TORTELLINI - coconut, cucumber, coriander
แยกเสิร์ฟเป็นจานเกี๊ยวกับน้ำซุป
น้ำซุปมาในเครื่องชงกาแฟ Syphon ถามเพื่อนที่มีเครื่องชงกาแฟแบบนี้
เค้าบอกว่าการใช้เครื่อง Syphon มันจะดึงเอากลิ่น และอโรม่าออกมา
ต่างกับแบบต้มจะได้รสชาติเต็ม ๆ กว่า
VIDEO
ตัวเกี๊ยวแป้งนุ่มดี ไส้น้อยไปหน่อย
น้ำซุปดูจากส่วนผสมแล้วเป็นแนว ๆ ต้มยำ ต้มแซ่บแบบไทย ๆ
ด้านล่างเกี๊ยวจะมีกะทิใส่มาด้วย พอไปผสม ๆ กัน ด้วยความที่น้ำซุปรสอ่อน ๆ
รสชาติมันกึ่ง ๆ จะต้มยำก็ไม่ใช่ จะซุปใสแบบฝรั่งก็ไม่เชิง
มาเจอกะทิข้น ๆ อีก รู้สึกเมนูนี้ยังไม่สุด
DUCK - orange, olive, leek
อกเป็ดที่นำไป sous vide ให้นุ่ม ด้านล่างเป็นมันฝรั่งบดเนื้อเนียนละมุน
ตามมาด้วยขาเป็ดกงฟี เพิ่มความกรอบด้วยหนังเป็ด
ซอสเป็น black olive เพิ่มรสชาติด้วย leek gel
เป็ดทานคู่กับส้ม 3 สไตล์ ส้มสด , ซอสส้ม และ marmalade
จานนี้เป็นอีกจานที่ชอบนะคะ ปกติไม่ค่อยชอบกินเป็ดเท่าไหร่
แต่จานนี้เราชอบอกเป็ดมาก นุ่มจริง ๆ
APPLE
เป็นเมนูล้างปากก่อนเข้าสู่เมนูขนม
ด้านในเป็นน้ำแอปเปิ้ล เคลือบด้วยไวท์ช็อคโกแลต แต่งด้วยคาราเมล และใบโคลเวอร์
เมนูนี้ต้องปิดปากให้สนิทก่อนเคี้ยว เพราะน้ำแอปเปิ้ลจะแตกโพละอยู่ในปาก
LONGAN - mulberry, pistachio, rice
ลำไยซอร์เบต์ (langan sorbet)และลิ้นจี่สดหวาน ๆ
มีความเปรี้ยวหวานจาก mulberry & mulberry sorbet
เพิ่มความกรุบกรอบด้วย rice cracker, pistachio cracker & tuiile
มีความหนุบหนับเคี้ยวเพลินจากโมจิลำไย ผสานด้วยความหอมจากนมข้าวคั่ว (rice milk)
เป็นจานที่ผสมผสานหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกันอย่างลงตัวดีค่ะ
CHOCOLATE - banana, cranberry, yogurt
ใช้ดาร์คช็อคโกแลต 40% (peru chocolate)ใส่ใบไทม์ลงไปด้วยแล้วบีบเป็นเส้น ๆ
ตกแต่งด้วยช็อคโกแลตเมอแรงค์
แท่งตรงกลางเป็น banana tube เย็น ๆ ด้านในเป็นโยเกิร์ตผสมรัม
ทานคู่กับกล้วยหอม , เค้กกล้วย , แครนเบอรี่ชีท และแครนเบอรี่แยม
ปิดท้ายด้วย Last bites
-Cookie
-Brownie
-Jelly
-Chocolate Truffle
Chef Dan Bark
#เชฟหล่อบอกต่อด้วย
อย่าพึ่งจิ้นไป เสียใจด้วยเชฟมีภรรยาแล้ว อิอิ Chef Dan Bark และภรรยาคนสวยคุณเฟย์
กินอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีก็จะ 4 ทุ่มแล้ว คือเวลาผ่านไปไวมาก
อาหารในรูปแบบ Progressive American ของเชฟแดน
เป็นการนำเอาความแตกต่างและหลากหลายของวัฒนธรรมจากประเทศต่าง ๆ
มาสร้างสรรค์เป็นเมนูอาหาร โดยใช้วัตถุดิบจากหลากหลายจังหวัด และหลากหลายประเทศ
ทั้งสวยงาม รสชาติดี เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญกลิ่นของวัตถุดิบแต่ละตัวชัดมาก
10 จานนี้เป็นได้ทั้งอาหารและงานศิลปะ มีความหลากหลายในทุก ๆ จาน
ได้ความแปลกใหม่ และประทับใจ ต้องขอบคุณทางเว็บ Wongnai
ที่พาไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ในครั้งนี้ด้วยค่ะ
ขอบคุณรูปจากกล้องพี่เต้ยค่า
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งได้ที่
Upstairs At Mikkeller
Tel : 091-713-9034
E-mail : reservation@upstairs-restaurant.com
FB: upstairsatmikkellerbkk
Create Date : 05 เมษายน 2561
Last Update : 6 เมษายน 2561 12:59:13 น.
19 comments
Counter : 2766 Pageviews.
เร็วเวอร์วัง 5555
ของเค้าก็เสร็จแล้ว รอคิวอัพง่ะ น่าจะวีคหน้า
เชฟหล่อบอกต่อด้วย เชฟมีภรรยาแล้วก็อย่าบอกต่อเลยเนาะ 555
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
toor36 Cartoon Blog ดู Blog
mambymam Home & Garden Blog ดู Blog
บาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน Review Food Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น