"ปาย (ฝน)" มนต์เสน่ห์ ชวนหลงใหล ปี 2 @ ปายเวียงฟ้ารีสอร์ท
หลังจากปีที่แล้วไปหลงมนต์เสน่ห์ปาย (ฝน) เข้าอย่างจัง (Click!!!) ปีนี้พอมีวันหยุดช่วงวันแม่ 4 วัน รีบวางแพลนขึ้นมาชาร์จแบตเติมพลังให้ร่างกายที่ปายทันที เย็นวันพฤหัสขึ้นรถทัวร์จากชลบุรีมาลงเชียงใหม่ แล้วต่อรถตู้ไปปาย ไม่รู้จะอึดไปมั้ย นั่งรถรวดเดียว 14-15 ชั่วโมง ก่อนเดินทาง มีกระแสเสียงแห่งความห่วงใยส่งมาเป็นระยะๆ ว่า แน่ใจแล้วเหรอที่จะขึ้นมาปาย เพราะก่อนหน้านี้ 1 วัน มีข่าวน้ำท่วมเมืองปาย แต่ในเมื่อตั้งใจอย่างเต็มที่แล้วว่าอยากขึ้นมาพักผ่อนที่นี่ หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้ได้ขึ้นไปก่อน มีปัญหาอะไรค่อยแก้ไขทีหลัง ตัดสินใจอยู่ตั้งนานว่าจะพักที่ไหนดี แต่วางเป้าหมายไว้ที่... "อยากนอนชมวิวทุ่งนา อยากนอนดมกลิ่นต้นข้าวหอมๆ" ในที่สุดก็ได้มาพักที่นี่ "ป า ย เ วี ย ง ฟ้ า" เค้ามีสโลแกนว่า "สวรรค์กลางนา ใต้ฟ้าสีคราม" ปายเวียงฟ้าอยู่ทางไปน้ำตกแม่เย็น เลยโรงเรียนปายวิทยาคาร และข้ามสะพานแม่น้ำปายมาหน่อยนึง ห่างจากถนนคนเดินประมาณ 1 กม. ครั้งนี้จองผ่านอโกด้า เพราะถูกกว่าจองกับรีสอร์ทโดยตรง 50 บาท 50 บาทก็ดูเหมือนไม่เยอะอะไร แต่อย่างน้อยๆ ก็เติมน้ำมันขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวได้ตั้ง 1 ลิตรแน่ะ ห้องพักมี 3 แบบ คือ Cottage Deluxe และ Superior เพื่อจะได้มองเห็นวิวท้องนาแบบเต็มๆ ตา เราเลือกพักในห้องแบบ Deluxe Mountain View สำหรับช่วงโลว์ซีซั่น หรือเรียกเพราะๆ ว่า กรีนซีซั่น ห้องพักคืนละ 950 บาท (ห้องแอร์ ไม่รวมอาหารเช้า) ครั้งนี้เอาเลนส์มาผิดตัว ลืมไปว่าครั้งล่าสุดใช้เลนส์ไวด์ถ่ายรูปวัดที่กาญจนบุรี และด้วยความรีบ... จัดกระเป๋าก่อนออกเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็เลยไม่ได้เช็คให้ละเอียดอีกที ทริปนี้ต้องถ่ายรูปด้วยเลนส์ไวด์ 10-20 mm. แทน ซึ่งเป็นเลนส์ที่ไม่ใช่แนวถนัด แต่เหมาะสำหรับการถ่ายห้องพักอย่างยิ่ง พนักงานให้เลือกว่าจะพักห้องไหน เพราะมีห้องพักด้านบนเหลืออยู่ 2 ห้อง ก็เลยบอกไปว่า ไม่เรื่องมากจ้ะ ขอแค่ห้องที่ได้เห็นวิวสวยๆ และได้เห็นทุ่งนาก็พอใจแล้ว ห้อง C2 นี้ ต้องถือว่า โดนใจมากๆ กับผนังสีเขียว วาดลวดลายนิดนึง ทำให้ผนังดูอ่อนช้อยขึ้นเยอะ และที่สำคัญ เราสามารถนอนมองวิวทุ่งนาด้านข้างได้สบายๆ จากบนเตียงนี่เลย ห้องพักขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เป็นเพราะใช้เลนส์ไวด์ ก็เลยทำให้ดูเหมือนห้องจะกว้างกว่าปกติไปนิดนึง อีกด้านมีตู้เสื้อผ้า ทีวี และตู้เย็น เสียแต่ว่า ทีวีห้องนี้รับเสียงของช่อง 3 ไม่ได้ อดดูละครเลย มีภาพนะ แต่กลายเป็นเสียงของวิทยุแทน แต่ช่องอื่นๆ ปกติ เอากับเค้าสิ พนักงานบอกว่า แก้ไขหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่หายซะที ห้องน้ำยื่นออกไปนอกห้องนิดนึง คล้ายๆ จะเป็นห้องน้ำแบบ outdoor แต่มีหลังคาคุมเอาไว้ ตอนกลางคืนมีแมลงตัวเล็กตัวน้อยบินเข้ามาด้วย เวลาอาบน้ำ ลมเย็นๆ พัดเข้ามาที หนาวสั่นได้เลย ห้องน้ำแยกส่วนเปียกกับส่วนแห้ง เป็นห้องน้ำที่ไม่ใหญ่ แต่ดูลงตัว อากาศเย็นๆ อาบน้ำเย็นๆ ชื่นใจจริงๆ กลับมาสำรวจวิวในห้องพักอีกรอบ ยังชื่นชมกับทุ่งนาสีเขียวๆ ไม่เต็มอิ่มเลย ลองเปิดหน้าต่างรับอากาศข้างนอก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นข้าวโชยเข้ามาเป็นระยะๆ แบบนี้ล่ะที่ต้องการ เปิดหน้าต่างทั้ง 2 บาน ไม่มีอะไรมาขวางกั้น มองเห็นวิวเต็มๆ แต่ช่วงหน้าหนาวคงจะไม่สวยแบบนี้หรอกมั้ง (ไม่แน่ใจเหมือนกัน) เพราะนาข้าวเค้าเก็บเกี่ยวไปกันหมดแล้ว ออกมาดูวิวข้างนอกบ้าง ได้เห็นอะไรเขียวๆ เต็มลูกตา สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มที่แบบนี้ ทำให้ปัญหาต่างๆ ที่พบเจอช่วงก่อนหน้านี้ มลายหายไปเลย ระเบียงกว้างๆ หน้าห้องพัก มุมนี้ใช้บริการไม่บ่อยนัก ก็ฝนเล่นตกลงมาเป็นระยะๆ ต้องเข้าไปหลบฝนในห้องแทน ด้านหน้าเป็นห้องพักอีกตึกนึง ลืมขึ้นไปชมวิวข้างบนว่าจะแตกต่างจะห้องที่เราอยู่ยังไง ห้องพักที่นี่อยู่ห่างกันนิดนึง ทำให้รู้สึกสบายๆ ไม่แออัด และเป็นส่วนตัวดี ยังถูกใจไม่หายกับวิวที่เห็นตรงหน้า ไม่อยากให้ความมืดเข้ามาครอบงำเลย นั่งมองไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักเบื่อ ก่อนหน้านั้นลังเลระหว่างที่นี่ - ปายเวียงฟ้า กับกระท่อมข้างๆ - บ้านปายกลางนา ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกพักแบบไหนดี ถ้าเป็นบ้านปายกลางนาก็จะได้อยู่ติดสนิทแนบชิดกับทุ่งนาเลย แต่ก็ไม่รู้จะมีกลิ่นอับกลิ่นชื้นของบ้านไม้รึเปล่า ในที่สุดก็เลือกมาพักที่ปายเวียงฟ้านี่ล่ะ ปีหน้าค่อยไปนอนที่บ้านปลายกลางนาแล้วกัน เมื่อฝนหยุดตก ก็ได้เวลาออกสำรวจรอบๆ รีสอร์ทบ้างแล้ว เที่ยวหน้าฝนก็ดีแบบนี้อ่ะนะ มองไปทางไหนก็เขียวชอุ่มชุ่มตาชื่นใจไปหมด ส่วนนี้เป็นกระท่อม ราคาเท่ากับห้อง Deluxe แต่แยกเป็นหลังเดี่ยวๆ อยู่บนเนิน ได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่จะไม่เห็นวิวท้องนาแบบพาโนรามา รีสอร์ทไม่มีรั้วกั้นด้านหลัง ก็เลยจะเดินข้ามสะพานไม้ไปดมกลิ่นต้นข้าวใกล้ๆ ซะหน่อย ถ้ามาช้ากว่านี้ก็จะได้เห็นทุ่งนาสีเขียวๆ แบบเต็มพื้นที่ยิ่งกว่านี้ แต่นี่ต้นข้าวยังไม่โตเท่าไหร่ ก็เลยเห็นน้ำเห็นดินอยู่บ้าง มองย้อนกลับมาที่รีสอร์ท รีสอร์ทเล็กๆ ที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน ช่วงหลังๆ เวลาไปเที่ยวไหน มักจะเลือกพักรีสอร์ทหรือโรงแรมเล็กๆ แบบนี้นี่ล่ะ รู้สึกเหมือนถูกโอบกอดไปด้วยความอบอุ่นและได้สัมผัสถึงอารมณ์พักผ่อนจริงๆ กลับมาดื่มด่ำกับทุ่งนาต่อในห้องพัก มองได้นานๆ เพลินๆ แบบที่ไม่รู้สึกเบื่อเลย อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้จังเลย ไม่อยากคิดถึงความวุ่นวายหรือปัญหาต่างๆ ที่ได้พบเจอมา หรือที่กำลังจะต้องเผชิญหน้าต่อไป ถ้าชีวิตเราสามารถเลือกช่วงเวลาแห่งความสุขให้ตัวเองได้ก็ดีสิเนอะ ตอนหัวค่ำออกมานั่งตากละอองฝนเล่นข้างนอก เห็นท้องฟ้าสีสวยๆ รีบเข้าไปหยิบกล้องมาถ่ายรูปทันที ไม่ได้ติดขาตั้งกล้องมาด้วย อาศัยขาอันมั่นคงของตัวเองนี่ล่ะ คืนนี้อากาศเย็นๆ นอนหลับสบาย ไม่ต้องเปิดแอร์ ไม่ต้องเปิดพัดลม และไม่ต้องเปิดหน้าต่างเลย ร่ำลาปาย (ฝน) กับหมอกยามเช้าและทุ่งนาสีเขียวๆ จากหน้าต่างในห้องพัก อยู่ๆ ก็นึกถึงคำทักทายคำแรกของพนักงานตั้งแต่เห็นเราก้าวเท้าเข้ามาเช็คอินในรีสอร์ทแห่งนี้ว่า "มาเที่ยวคนเดียวไม่เหงาเหรอคะ" คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ ที่ตอบกลับไปก็คือ "ชินแล้วค่ะ" ยามนี้บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า..... เที่ยวคนเดียวจนชิน หรือเหงาจนชิน???
Create Date : 15 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2556 14:40:54 น. |
|
52 comments
|
Counter : 16560 Pageviews. |
|
|