"ไม่รวย ก็เที่ยวเมืองนอกได้" แชร์ประสบการณ์จริงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา
"เที่ยวเยอะขนาดนี้ ต้องรวยแน่ๆ เงินเดือนต้องสูงแน่ๆ เลย"
"ทำงานอะไรอ่ะ ทำไมถึงได้เที่ยวบ่อยจัง"
"ดีเนอะ ลางานได้เยอะขนาดนี้ เจ้านายใจดีจัง"
"เราคงไม่มีโอกาสได้เที่ยวอย่างนี้หรอก เราไม่มีเงิน ภาระเราเยอะ ค่าใช้จ่ายเราแยะ"
"เราไม่เคยไปเที่ยวคนเดียวเลย ผู้หญิงตัวคนเดียวอันตรายจะตาย เหงาด้วย"
"เราพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง พูดภาษาจีนไม่ได้ เราไม่กล้าไปเที่ยวเองหรอก" ... ... ...
ข้างบนนี้เป็นคำถาม หรือคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ ตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา
จริงๆ คิดอยู่นานว่าจะอัพบล็อกเรื่องนี้ดีมั้ย เพราะอาจจะดูไร้สาระ หรือเป็นเรื่องราวส่วนตัวมากไปหน่อย
แต่คำถามต่างๆ ยังคงวนเวียนมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ วันนี้ถือโอกาสมาไขข้อสงสัยของใครหลายๆ คนซะเลย
"สาวโรงงาน" คือ คำตอบของอาชีพตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
มีรายได้อยู่ทางเดียว คือ "เงินเดือน" และรอ "โบนัส" อย่างใจจดใจจ่อ
ใน 1 ปีมีวันหยุดพักร้อน 12 วัน (น้อยจัง อยากได้เพิ่มอีกอ่ะ ) วันหยุดตามประเพณี 16 วัน วันหยุดประจำสัปดาห์ 105 วัน
บวกลบคูณหารแล้ว "วันหยุดทั้งหมด 133 วัน"
ปีนึงยังไงก็เที่ยวน้อยว่า 133 วันอยู่แล้ว ทีนี้ก็จัดการกับวันหยุดเอาเองสิว่าจะไปเที่ยวช่วงไหนได้บ้าง
แต่ด้วยความที่ปีก่อนโน้นลาเต็มพิกัดไปหน่อย เจ้านายจึงออกคำสั่งพิเศษมาใช้กับเราคนเดียวว่า
"ห้ามลางานเกิน 1 สัปดาห์ทำงาน"
(รวมเสาร์-อาทิตย์หัวท้าย เท่ากับว่า การเที่ยว 1 ครั้ง ลาได้สูงสุดแค่ 9 วันเท่านั้น )
ในเมื่อเรื่อง "เที่ยว" คือ เรื่องใหญ่ และเรื่องสำสำคัญสำหรับเรา
ประกอบกับว่าเคยอ่านเจอในหนังสือของคุณนิ้วกลม แล้วชอบสโลแกนนี้มาก....
"เงินทองเก็บเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ประสบการณ์บางอย่าง ต้องเก็บตอนมีแรง"
จากนั้นเราจึงต้องพยายามหาหนทางว่า "ทำอย่างไรจึงจะสามารถไปเที่ยวได้ทุกๆ ปี?"
แรกเริ่มเดิมทีเราจะใช้เงินเก็บ (เท่าที่ตอนนั้นจะเก็บได้) หรือโบนัสประจำปี สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเที่ยว
แต่เมื่อมีโอกาสได้ไปออกไปเห็นโลกกว้างครั้งนึงแล้ว ความอยากเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และหลายๆ ครั้งเห็นคนอายุเยอะเดินเหินไม่สะดวก ไม่คล่องแคล่ว ยิ่งเกิดความคิดว่า...
เราคงต้องเที่ยวตั้งแต่สมัยสาวๆ นี่ล่ะ
เพราะถ้าเที่ยวตอนแก่กลัวจะเป็นภาระของคนอื่น และก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงแก่รึเปล่า
และเวลาได้ยินเพื่อนร่วมทริปพูดถึงความประทับใจของประเทศต่างๆ ที่เค้าเคยไป
ก็บังเกิดความอยากไปเห็นกับตาตัวเองบ้าง
ทีนี้ล่ะเป็นเรื่อง!!! เงินทองที่เก็บไว้ชักจะไม่พอสำหรับเที่ยวแล้วสิ
(เงินเดือนไม่สูง และชอบช้อปปิ้ง จะมีเงินเหลือเก็บสักเท่าไหร่กันเชียว)
ด้วยความที่ตัวเองเป็นคน "ไม่ชอบทำงาน แต่ชอบเที่ยว"
และมีรายได้เพียงทางเดียวคือ "เงินเดือน" ดังนั้นก็ต้องมาคิดแล้วล่ะว่า
จะบริหารเงินเดือนก้อนนี้อย่างไรดี เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน และการท่องเที่ยว
ประมาณว่า จะไม่ยอมสูญเสียความสุขด้านใดด้านหนึ่งของชีวิตเลยว่างั้นเถอะ
เมื่อมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนขนาดนี้แล้ว
เราจึงเริ่มต้นเปิด "บัญชีเงินฝากประจำรายเดือน" (ฝากเท่าๆ กันทุกเดือน)
ซึ่งข้อดีคือ จะได้ดอกเบี้ยมากกว่าการฝากออมทรัพย์ทั่วไป และรายได้จากดอกเบี้ยนี้ไม่เสียภาษี
มีระยะเวลาการฝากขั้นต่ำ 2 ปี
เหมือนเป็นการบังคับไปในตัวว่าต้องเอาเงินไปฝากทุกเดือน
หากไม่ฝากติดต่อกันแค่ 2 เดือน บัญชีนี้ก็จะสิ้นสภาพทันที
เราถือว่าเงินฝากส่วนนี้คือ "ค่าใช้จ่ายรายเดือน"
เมื่อเงินเดือนออก นอกจากจะหักส่วนของที่ต้องให้พ่อแม่ และค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่างๆ แล้ว ก็รวมยอดนี้ไปด้วย
จะทำให้เห็นตัวเลขชัดเจนว่า ในแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
และเราควรจะใช้เงินส่วนที่เหลืออย่างไรให้มีความสุข
ส่วนที่จะฝากเท่าไหร่นั้น ก็อยู่ที่ว่าเราอยากจะกัน "ค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว" นี้ออกมาได้เท่าไหร่
และดูว่าทริปต่อไปเราอยากไปไหน งบประมาณเท่าไหร่
ธนาคารส่วนใหญ่จะให้ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท ระยะเวลา 2 ปี
ครบกำหนด เราจะมีเงินก้อนอย่างน้อยๆ 24,000 บาท ไม่รวมดอกเบี้ย
เท่านี้ก็สามารถไปเที่ยวประเทศใกล้ๆ ได้ตั้งหลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย พม่า เป็นต้น
"เงินเดือนน้อย ค่าใช้จ่ายเยอะ ไม่มีเงินไปเที่ยวหรอก"
ยกตัวอย่างการเก็บเงินเพื่อเป้าหมายสำคัญของเรา "ผจญภัยในโลกกว้าง"
เราจะฝากเงินเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 24 เดือน
แต่ในเมื่ออยากเที่ยวทุกๆ ปี เราจึงต้องฝากเงิน 2 ธนาคาร และเปิดบัญชีไล่หลังกัน 1 ปี
ทีนี้ก็จะมีบัญชีเงินฝากที่ครบกำหนดและเบิกใช้ได้ในทุกๆ ปีตามที่ตั้งใจไว้แล้ว
และสำหรับเราที่มี "รายได้จำกัด"
จึงจำเป็นต้อง "จำกัดค่าใช้จ่าย" ด้วย
เพื่อที่จะได้มีเงินมาฝากเงิน "กองทุนเพื่อการท่องเที่ยว" นี้ทุกๆ เดือน
วิธีการง่ายๆ เลยก็คือ ลองตัดรายจ่ายที่ไม่เป็นจำเป็น (จริงๆ****) ลงบ้าง
โดยคิดว่าถ้าเราไม่จ่ายเงินส่วนนี้ ความสุขจะลดลงมั้ย ชีวิตจะยากลำบากเกินไปรึเปล่า
คนเราก็คงไม่พ้นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประทินผิว เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า สินค้าแบรนด์เนม
อาหารมื้อหรู เค้ก เบเกอรี่ ชากาแฟ มือถือ หรืออุปกรณ์ไอทีรุ่นใหม่ๆ สินค้านำสมัย ดูหนัง ฟังเพลง สังสรรค์
และวันที่อยู่บ้านว่างๆ ลองตั้งเป้าหมายเล่นๆ ว่า "วันนี้จะไม่ใช้เงิน"
แรกๆ อาจจะดูทรมานไปนิด เหมือนต้องคอยสะกดจิตตัวเอง
แต่ถ้าทำได้ เท่ากับว่าวันนั้นเราก็จะมีเงินเหลือเก็บมากขึ้น 1 วัน
ไม่ยากๆ ลองทำแล้ว
บางคนอาจจะคิดว่า โห...เก็บเงินเพื่อไปเที่ยวซะขนาดนี้
ชีวิตในแต่ละวันจะมีความสุขได้อย่างไร มิต้องกระเหม็ดกระแหม่ หรืออดมื้อกินมื้อเหรอเนี้ย
จริงๆ แล้ว เราก็มีความสุขตามอัตภาพของเรานะ เพราะมีความสุขที่ยิ่งใหญ่รอเราอยู่ข้างหน้า
อาหารเมนูเดียวกัน ถ้ากินในร้านหรูๆ อาจจะราคาร้อยกว่าบาท แต่ถ้ากินที่ร้านธรรมดา ก็แค่ไม่กี่สิบบาท
หรือถ้าที่บ้านมีวัตถุดิบอยู่พร้อม ก็ทำกินเองได้ ไม่ต้องเสียเงินค่ารถ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
และยังได้กินของที่สด สะอาด และมีคุณภาพชัวร์ๆ อีกด้วย
แต่ยามใดที่ได้ออกเดินทาง เราก็จะแสวงหาความสุขให้เต็มที่
อยากเที่ยวที่ไหน อยากกินอะไร อยากได้ หรืออยากซื้ออะไร ถ้าทุกอย่างยังอยู่ในงบประมาณที่กำหนดไว้
จัดเต็ม ลุยให้เต็มที่ไปเลย!!!
เพราะของที่อยากกิน หรืออยากได้ บางทีหาได้เฉพาะในท้องถิ่นนั้นๆ
จะไม่นึกเสียดายตังค์เลย เพราะเราตั้งใจเก็บเงินมาเพื่อสิ่งนี้แล้วนี่
คติพจน์ประจำใจข้อสำคัญของเราคือ
การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
และการไม่มีหนี้ ก็เป็นลาภอันประเสริฐเช่นกัน
ดังนั้นควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ นอกจากไม่ต้องเสียเงินค่าหยูกยาแล้ว ยังมีเงินเก็บมากขึ้นอีกด้วย
และคนเราควรใช้จ่ายเท่าที่มีกำลังทรัพย์ และกำลังแรงจะหามาได้
ไม่ควรใช้จ่ายเกินตัว และไม่ควรก่อหนี้ที่ไม่เกิดรายได้ หรือหนี้สินที่ไม่จำเป็น
ไม่อย่างนั้นชีวิตเราจะไม่มีความสุข จะเกิดภาวะเครียดกับการที่ต้องหาเงินมาใช้หนี้
เกือบ 20 ปีที่แล้ว ที่บ้านมีหนี้สินประมาณ 10 ล้านบาท (แต่ใช้หนี้หมดแล้ว)
เราเข้าใจความรู้สึกนั้นดี
เรามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า
คนเราสามารถทำได้ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าจะทำหรือไม่ทำ เท่านั้นเอง
และไม่ควรพูดคำว่า "ฉันทำไม่ได้หรอก" หากยังไม่ได้ลงมือทำ
ลองใช้เทคนิค "ธรรมดาๆ" นี้ แล้วจะรู้สึกว่ามัน "พิเศษ" มากจริงๆ
สำหรับคนที่ไม่ชอบเที่ยว อาจจะเก็บเงินเพื่อซื้อสิ่งของที่ตัวเองอยากได้อยากมีก็ได้เช่นกัน
บอกอย่างภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งว่า
ทุกทริปที่เดินทาง ไม่ว่าจะภายในประเทศ หรือต่างประเทศ เราออกค่าใช้จ่ายเองทุกบาททุกสตางค์
ไม่มีท่านเซอร์ หรือสปอนเซอร์คนใดใจดีมาออกให้
มีเพียง 2 ทริป คือ ฉงชิ่งที่เจ้านาย (ผู้หญิง) ชวนไป และไต้หวันครั้งล่าสุดที่ไปช่วยเพื่อนทำงานเท่านั้นที่ไม่ต้องเสียเงินเอง
หวังว่าบล็อกนี้จะพอมีประโยชน์สำหรับใครหลายๆ คนที่อยากทำความฝันให้สำเร็จบ้างนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว เรียนหนังสือ บ้าน รถ สินค้าแบรนด์เนม หรือสิ่งของต่างๆ เพื่อสนองความต้องการ
และหวังว่าใครหลายๆ คนจะหายข้องใจแล้วนะว่า "ทำไมถึงมีเงิน มีเวลาเที่ยวได้บ่อยจัง?"
ขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามอ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย
Create Date : 04 มิถุนายน 2557 |
|
27 comments |
Last Update : 5 มิถุนายน 2557 11:15:20 น. |
Counter : 13154 Pageviews. |
|
|
|