Lonely is Friend, not Pain.
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
16 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
การเดินทางของสายน้ำ โดย ชาราบูน ตอนที่ 8



“หนูจะกลับมาอยู่กี่วัน” วรรณาเอ่ยถามหลานสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการรื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า ชลาลัยละมือจากกางเกงยีนส์มาสวมกอดเอวป้าแทน
“แม่วรรณอยากให้หนูอยู่กี่วันค่ะ”
“ยังจะมาย้อนถามอีก” ผู้เป็นป้าค้อนให้
ชลาลัยหัวเราะแล้วจึงตอบ “ก็อาทิตย์กว่าๆค่ะ ดูก่อนว่างานจะเสร็จเร็วหรือช้า”
“แล้วพ่อเขารู้หรือเปล่าว่าเราลงมา”
ชลาลัยหุบยิ้มทันที ปากเม้มสนิทแล้วจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“มันไม่สำคัญหรอกค่ะ”
“แม่ไม่อยากให้หนูถือทิฐิอย่างนี้ อะไรที่ปล่อยให้มันผ่านไปได้เราควรจะปล่อยเพื่อความสบายใจของเรา ไม่ใช่เก็บเอามาคิดมาแค้นจนเราเองต้องเจ็บปวด เรื่องราวของพ่อหนูมันเป็นเหตุจำเป็น แม่ไม่อยากพูดอะไรซ้ำซาก แล้วแต่จะคิดล่ะกัน เก็บของเสร็จแล้วก็ลงไปทานข้าวนะ”
วรรณาพูดจบก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งหลานสาวไว้เพียงลำพังกับความคิดที่สับสน


วิกรมพลิกดูรูปในอัลบั้มรูปเล่มใหญ่แล้วก็ต้องอมยิ้ม ท่าทางชลาลัยตอนเด็กๆ คงซนไม่เบาเลย หลายรูปที่เด็กสาวใส่เฝือกที่แขนบ้างขาบ้าง
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรคุณวิก” เสียงใสทักขึ้น วิกรมเงยหน้าพอเห็นหน้าชลาลัยเขาเลยยิ่งรู้สึกขำหนักเข้าไปอีก
ชลาลัยมองสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อนถึงได้รู้สาเหตุ “รู้แล้ว แอบดูรูปชลตอนเด็กๆ ใช่ม้า”
“ผมเปล่านะ คุณป้าเอามาให้ผมดูต่างหาก ว่าแต่คุณชลไปทำอะไรมาล่ะ แต่ละรูปถึงได้ดูไม่จืดอย่างงี้”
“ชลก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกค่ะ แค่เติมน้ำปลาสองช้อนกับพริกดองอีกช้อนเอง” ชลาลัยตอบหน้าตาเฉย แต่ก่อนที่เวทีลับฝีปากจะเริ่มขึ้นเสียงของวรรณาเรียกทานข้าวก็ดังขึ้นเสียก่อน

อาหารเย็นวันนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ วิกรมไม่ปล่อยให้ใครได้นั่งหน้าบึ้ง เขาสรรหาเรื่องต่างๆ มากมายมาเรียกเสียงหัวเราะของผู้หญิงต่างวัยทั้งสอง วิกรมชอบนักกับการได้ยินเสียงหัวเราะและสีหน้าที่มีความสุขของคนรอบข้าง

“คุณวิกนี่ท่าทางอารมณ์ดีนะ” วรรณาพูดขึ้น ชลาลัยยิ้มมือทั้งสองข้างกำลังจัดจานวางเข้าที่เดิม
“ค่ะ คุณวิกช่วยให้หนูหายเหงาได้เยอะ”
“ท่าทางก็ดูดี” ผู้เป็นป้าเปรยๆ หลานสาวหันมาทำตาโต
“อ๊ะๆ เขามีคนที่ชอบอยู่แล้วค่ะแม่วรรณ” พูดไปก็นึกถึงใครคนที่อยู่ไกล
“แล้วหนูล่ะมีหรือยัง”
“มีก็เหมือนไม่มี เขามีแฟนแล้วค่ะ” เธอไม่เคยมีเรื่องอะไรปิดบังวรรณา

วรรณาไม่ได้ว่าอะไรอีก เรื่องราวของความรักไม่ใช่ว่าจะอยู่ในกฎเกณฑ์เหมือนกันหมด รักใครต่างก็มีเหตุผลของตน เมื่อชลาลัยสามารถรู้ถึงความต้องการของตนแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ ก็ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องเสนอตัวไปแนะนำ หลานของเธอโตแล้ว.....วรรณาบอกตัวเองก่อนไปเข้านอน


“คุณป้านอนแล้วหรือครับ” วิกรมถามเมื่อหญิงสาวนั่งลงข้างๆแล้ว
“ค่ะ คุณวิกทำไมไม่นอน ไม่เหนื่อยหรือค่ะ”
“คิดอะไรเพลินๆ”
“บอกได้ไหมคะ เผื่อจะได้ช่วยคิด”
“มันเป็นเรื่องสอดรู้สอดเห็น และคุณชลคงจะช่วยคิดไม่ได้แต่คุณชลให้ข้อมูลผมได้”
“ชล! เรื่องอะไรหรือคะ”
“ก็เรื่องราวของคุณชล ผมอยากรู้” ชายหนุ่มสบตาหญิงสาว
เพราะท่าทางที่จริงจังของอีกฝ่ายประกอบกับความรู้สึกไว้วางใจ ชลาลัยจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวของเธอให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ
“คุณชลเคยร้องไห้ไหมครับ” วิกรมถามเมื่อชลาลัยพูดจบ
“แหมคุณวิ ชลเป็นคนนะคะ น้ำตาเป็นเรื่องธรรมชาติ” ว่าแล้วก็หัวเราะ
“คุณชลทำว่าเข้มแข็งทั้งที่คุณชลอยากจะร้องไห้”
“ไม่เอาแล้ว” ส่ายหัวไปมา “คุยกับคุณวิกแล้วโดนเจาะลึกเรื่อยเลย”
“ก็ทำไมคุณชล ไม่ลองเป็นฝ่ายเจาะบ้างล่ะครับ”
“คงเพราะชลกลัวว่า ถ้าชลรู้อะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ ชลอาจจะต้องเจ็บมากไปกว่าเดิมน่ะสิคะ”

พระจันทร์หลบเข้าไปอยู่หลังเมฆทำให้บริเวณที่ทั้งสองนั่งอยู่มืดลงไปถนัด ชลาลัยลุกขึ้นเอ่ยชวนอีกฝ่าย
“ไปนอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้จะได้เริ่มงานกัน”
“โอเค ราตรีสวัสดิ์ครับ” ชายหนุ่มก้มหัวนิดหนึ่ง ชลาลัยยิ้มก้มหัวตอบ
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

อีกไม่ถึงสิบช่องเข็มยาวกับเข็มสั้นก็จะมาชี้ตรงเลขสิบสองแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถปิดเปลือกตาลงได้ เรื่องราวต่าง ๆ ทำให้สมองของเขาต้องทำงานต่อไป
ความเอื้ออาทรที่วรรณาแสดงต่อหลานสาวทำให้เขานึกถึงมารดาที่ล่วงลับไปนานแล้ว

เขายังจำได้ดี ตอนเด็กๆ แม่จะนั่งคอยการกลับมาจากโรงเรียนของเขาทุกเย็น แม่จะทอดสายตาไปตามทางเดินเพื่อจะได้เห็นร่างของเขาเป็นคนแรก ก่อนนี้แม่จะคอยเขากับพ่อ แต่เมื่อพ่อจากไป แม่จึงกลัวว่าเขาจะไม่กลับมาเหมือนพ่อ
แต่เขากลับต้องเป็นฝ่ายมองดูแม่จากไป.....วิกรมหายใจแรงขึ้น เขายังโชคดีที่ชีวิตช่วงหนึ่งยังเคยรู้จักคำว่าครอบครัว พ่อแม่ลูกและไออุ่นของความรักอันบริสุทธิ์
ผิดกับชลาลัย ผู้หญิงที่ต้องเติบโตมาเพื่อเผชิญความจริงที่ตัวเองไม่คาดคิด ผู้หญิงที่ต้องผิดหวังในความรักครั้งแล้วครั้งเล่า เธอจะเคยคิดถึงแม่บ้างไหมชลาลัย
วิกรมคิดถึงเพื่อนที่นอนอยู่ห้องข้างๆจนเผลอหลับไป คืนนี้...เขาลืมคิดถึงใครคนหนึ่งซึ่งเคยคิดถึงก่อนนอนทุกวัน



‘แล้วเธอจะเอาอย่างไง’ เสียงตัดพ้อต่อว่าเขา
‘ไม่รู้’
‘งั้นฉัน เอาออกนะ’
‘อย่า’ เขาห้ามเสียงดัง แล้วเอ่ยต่อว่าด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม ‘ยังไงก็ลูกเรา’
‘แต่ฉันทนตากหน้าอุ้มท้องไปมหา’ลัยไม่ได้หรอกนะ แล้วพอคลอดลูกฉันก็ต้องกลายเป็นแม่คนทั้งๆที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ’
สวัสดิ์โอบร่างหญิงสาวเข้ามาหาตัว เขากำลังคิดหาหนทาง ‘เอางี้ รอเด็กออกมาผมจะเลี้ยงเอง ส่วน...’ เขาอับจนจริง ๆ
คราวนี้หญิงสาวผละออกจากตนทันที ‘ส่วนฉันจะยังไงก็ช่างใช่ไหม’
‘ไม่รู้ บินไปนอกซิ ไปเรียนต่อ พี่อยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ เก้าเดือนก็พอจะทำให้พ่อกับแม่เธอคิดว่าเธอเรียนในกรุงเทพฯ ไม่ไหว’ เขาพูดออกไปโดยไม่ได้คิดถึงจิดใจของอีกฝ่ายที่กำลังมองเขาอย่างผิดหวัง
‘ได้ พอคลอดแล้วเราก็จบกัน ทางใครทางมัน’
เหงื่อผุดเต็มใบหน้าเขา สองมือไขว่คว้าอากาศ ปากร้องตะโกนอย่างไม่รู้ตัว

“อย่า ผมผิดแล้ว อย่า…..”

สวัสดิ์สะดุ้งตื่นขึ้นมา ห้องนอนกว้างมือสลัว ข้างกายเขาไม่มีใคร ฤทัยบินไปฮ่องกงกับลูกๆ ตั้งแต่เมื่อเย็น
เขาลุกโซเซเดินไปยังตู้เย็นที่ตั้งอยู่ปลายเตียง เปิดมันออกแล้วหยิบขวดน้ำขนาดเล็กขึ้นมาดื่มโดยไม่สนใจแก้วน้ำที่วางอยู่
ความเย็นของน้ำทำให้เขารู้สึกดีขึ้น สวัสดิ์เดินไปนั่งตรงชุดเก้าอี้ทอดสายตาผ่านประตูกระจกบานโตไปยังสนามหญ้าที่ตอนนี้เห็นเพียงเงาตะคุ่มของต้นไม้น้อยใหญ่
นี่ไม่ใช่คืนแรกที่เขาฝันเรื่องราวในอดีต สิ่งที่ตอกย้ำความเห็นแก่ตัวของเขามันเกิดขึ้นสามคืนติดๆกัน และเขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเอาปัญหาที่แก้ไม่ตกมาทำให้เขานอนไม่หลับอีก



ทั้งสองจัดการอาหารเบื้องหน้าหมดไปอย่างรวดเร็ว ชลาลัยทานเพียงสลัดไก่ส่วนวิกรมนั้น ทีโบนสเต็คจานใหญ่
“ผมว่าอีตาผู้จัดการนั่นเล่นตัวจังเลยเนอะคุณชล”
“ยิ่งกว่าเล่นตัวอีกคุณวิก ยังกวนโมโหน่า” ชลาลัยทำท่าหมั่นเขี้ยวจนอีกฝ่ายต้องพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ ก็กำลังอยู่ในร้านอาหารของชาวผู้ดีกรุงเทพฯ เดี๋ยวเขาจะว่าไม่รู้จักกาละเทศะ
งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วภายในเวลาสี่วันเท่านั้น เจ้านายให้เวลาทั้งคู่สิบวัน ใจหนึ่งชลาลัยก็อยากจะอยู่ต่อให้ครบกำหนดแล้วค่อยกลับ แต่เมื่อคิดว่าเธอไม่ควรเอาเวลามาสูญเปล่า ควรจะกลับไปรายงานผลงานและทำงานต่อดีกว่า
“คิดอะไรอีกแล้วคุณชล”
“ชลกำลังคิดว่าเราน่าจะกลับไร่กันเลยดีไหม”
“ผมว่างั้นแต่คิดไปคิดมา อยู่ต่ออีกสองวันก็ดี”
“คุณวิกจะไปเที่ยวไหนหรือคะ หรือว่าจะไปซื้อของฝากใคร” ทำหน้าล้อ
วิกรมยิ้มแล้วพูดว่า “เปล่า ผมให้เวลาคุณชลไปเยี่ยมคุณพ่อต่างหาก”
มือที่กำลังจับแก้วน้ำขึ้นมาสั่นเล็กน้อย อีกแล้วทำไมใครๆถึงอยากให้เธอไปหาบิดากันนัก เมื่อวานแม่วรรณก็ถาม ทั้งที่เขายังไม่เห็นขวนขวายจะมาพบมาเจอเธอเลย ชลาลัยลืมไปว่าบิดาไม่รู้ว่าเธอลงมากรุงเทพฯ
“เราเป็นเด็กนะคุณชล เข้าไปหาให้ท่านชื่นใจสักนิดก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน”
“แต่เขา...” พูดไม่ออก
“ท่านเองก็รักคุณชล ผมกล้าพูดแม้ว่าจะไม่เคยพบท่านเลย แต่ผมเชื่อในความรักของพ่อแม่”
ชลาลัยสะท้อนใจนัก วิกรมเป็นคนอื่นแท้ๆยังให้ความเคารพและเชื่อถือบิดาเธอเพียงนี้ แต่เธอสิ เป็นลูกในไส้ยังทำเหมือนบิดาเป็นคนอื่น
“ชลละอายใจจริงๆ”
“ผมเข้าใจดีว่าคุณชลไม่ได้รู้สึกผูกพันกับท่านเท่าแม่วรรณของคุณ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สายไปหรอกนะครับที่คุณจะลองมอบความรักให้ท่านบ้าง เพราะผมเชื่อว่าท่านรักคุณมาก ไม่เช่นนั้นวันนี้ผมคงไม่มีเพื่อนชื่อชลาลัยแน่”
ชลาลัยมองชายหนุ่มอย่างรู้สึกขอบคุณ บางครั้งคนใกล้ชิดพูดมาเธอยังหาข้อขัดแย้งได้ ยังหาโอกาสที่จะผัดผ่อนความคิดได้ แต่เมื่อเป็นคนนอกมาพูดเตือน ชลาลัยรู้สึกว่าเธอต้องคิดและทำได้แล้ว
“ชลจะลองดูค่ะ”
“ดีครับ ผมขอให้คุณโชคดี” วิกรมว่าพลางชูแก้วไวน์ขึ้น
“ก็ขอให้มันดีขึ้นจริงๆ” ชลาลัยพึมพำ

แต่แล้วการเริ่มต้นก็ล้มเหลว เมื่อชลาลัยพบว่าบิดาไม่อยู่ในกรุงเทพฯ
“ไปไหนทราบไหมคะ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่” เธอถามแม่บ้าน ชลาลัยไม่ได้แสดงตนว่าเป็นใคร
“เออ” แม่บ้านอึกอักเพราะไม่แน่ใจว่าจะบอกดีหรือไม่เพราะเจ้านายสั่งว่าห้ามบอกใคร
วิกรมมองกิริยาของคนทั้งสองแล้วอึดอัดแทนจึงพูดขึ้น
“นี่คุณชลาลัย ลูกสาวคุณสวัสดิ์”
แม่บ้านร้องอ๋อในใจ เคยได้ยินคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงทะเลาะกันเรื่องลูกติดของคุณผู้ชายคงจะเป็นคนนี้กระมัง
“คุณผู้ชายไปเมืองกาญจน์ค่ะ แต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”
ชลาลัยหันไปมองเพื่อน เป็นไปได้หรือที่บิดาจะไปหาเธอที่ไร่ในเมื่อเขาไม่ทราบว่าเธอทำงานที่ไหน
“ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวบอกแม่บ้าน
ขากลับไม่มีการพูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวระหว่างคนทั้งสอง จนถึงบ้านแล้วนั่นแหละชลาลัยจึงได้บอกวิกรมในสิ่งที่ตนคิดมาตลอดทาง
“พรุ่งนี้เรากลับไร่กันนะคะ”
“ครับ” วิกรมรับคำทันที ต้องอย่างนี้สิถึงจะเป็นชลาลัย



“คุณโกสินทร์คะ มีคนมาขอพบค่ะ” เลขาฯ เดินเข้ามาบอกคุณโกสินทร์ในตอนสาย เขาถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ใครกัน นัดไว้หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เขาบอกว่า ชื่อสวัสดิ์ เทพชีวิน จะให้พบไหมคะ”
โกสินทร์เงยหน้าขึ้นมาทันที เขาทวนคำ “เทพชีวิน”

********************************


Create Date : 16 ตุลาคม 2550
Last Update : 16 ตุลาคม 2550 14:17:01 น. 0 comments
Counter : 434 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลั่นทมขาว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




ถ้าจะแพ้อย่าอ่อนแอให้ใครเห็น
ถ้าอยากเป็นคนเข้มแข็งต้องแกร่งไว้
ถ้าอยากร้องก็ร้องให้หนำใจ
แต่ขอให้ได้อะไรจากน้ำตา
New Comments
Friends' blogs
[Add ลั่นทมขาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.