Lonely is Friend, not Pain.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2550
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
5 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
รุ้งลายน้ำ ตอนที่ 2


“แล้วแกก็ให้เข้ามาอยู่นะน้ำ ใจกล้าจริ๊ง” เสียงเมษาแหลมดังผ่านสมอลทอล์กที่ตมิสาเสียบหูอยู่ แล้วก็ไม่รอให้อีกฝ่ายอธิบายอะไรต่อ
“บ้านแกมีแต่ผู้หญิง ไว้ใจได้เหรอ แล้วยัยแม่นั่นเป็นเมียปู่แกจริงเหรอเปล่า นี่ถ้าแกถามฉันก่อน ฉันจะบินกลับไปดูหน้าก่อนเช็คอินแน่นอน”
คราวนี้ตมิสาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเพราะกลั้นไม่อยู่กับคำที่เพื่อนสนิทใช้

“เอ้า หัวเราะไปเถอะแก นี่อยู่ไหนแล้ว”
“จะถึงร้านแล้ว คนแม่หน่ะ ฉันแน่ใจว่าเคยเป็นเด็กของคุณปู่ ส่วนลูกชาย ฉันก็มองๆดูแล้ว ไม่น่ามีอะไร รูปร่างก็ผอมกะหร่อง ฉันจับบิดนิดเดียวก็ไปแล้ว” เธอตอบเพื่อนพลางนึกถึงสองแม่ลูกที่เข้ามาอยู่เรือนหลังเล็กได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว

“ทำเก่ง ทำเก่งใหญ่” เพื่อนเสียงแหลมอย่างหมั่นไส้
“ยังไงก็ผู้ชาย แกต้องระวังมากๆล่ะกัน เดือนหน้ากลับฉันจะไปขอดูหน้าหน่อย”
“ได้สิ แกอย่าลืมไปดูหนังสือที่ฉันฝากนะ” ไม่ลืมจะทวงของฝาก
“เออๆ ฉันจะเข้าประชุมแล้ว มีอะไรโทรมานะ”

วางสายจากเพื่อน ตมิสาก็เปิดไฟเลี้ยวขวาเป็นสัญญาณ ตึกสีเขียวอ่อนขวามือตั้งเด่นออกมาจากบรรดาตึกอื่นๆที่เคียงข้าง ตมิสาขอให้ช่างเปลี่ยนด้านหน้าของตึกสองห้องนั้นให้เป็นเหมือนบ้านหลังเล็กๆในชนบทของอังกฤษ หน้าร้านเป็นต้นโมกที่จับแต่งโค้งให้เข้าหากันประหนึ่งเป็นทางเข้าอุโมงค์ ตมิสาอยากให้คนที่จะก้าวเข้ามาในร้านเธอรู้สึกเหมือนหลุดออกจากโลกวุ่นวาย เหมือนเธอเองที่รู้สึกว่าได้อยู่ในโลกที่เธอวาดฝันไว้

ผ่านซุ้มต้นโมก เปิดประตูไม้บานเลื่อนก็จะพบห้องกว้างแบ่งย่อยด้วยชั้นหนังสือสีเหลืองนวล เมื่อครั้งแรกที่ ตมิสาเลือกจะทำชั้นสีนี้ก็โดนช่างท้วงว่าจะดูแลยาก แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะใช้สีนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า

“น้ำอยากให้ลูกค้ารู้สึกสบายตา เข้ามาแล้วอยากอยู่นานๆหน่ะค่ะ”

เธอจึงได้ร้านที่เหมือนห้องนั่งเล่นในสวน ตมิสาได้นิดหน่อยกับป้องรุ่นน้องตั้งแต่สมัยมหา’ลัยมาช่วยดูร้าน เธอจึงค่อนข้างสบาย เพราะทั้งคู่มีความรับผิดชอบดี แต่การจัดการติดต่อสำนักพิมพ์ ดูแลเรื่องราวหลักๆก็ยังเป็นของเธอ เมื่อครั้งคุณปู่ยังอยู่ เธอก็มักจะไปปรึกษาอะไรๆได้เสมอ แต่พอไม่มีคุณปู่ บางครั้งตมิสาก็รู้สึกล้ากับการดำเนินธุรกิจจัดการเรื่องราวต่างๆเพียงลำพัง เพราะเธอเรียนจบด้านภาษา รู้ว่าตัวเองไม่เก่งเรื่องการจัดการเอาซะเลย บางทีเธออาจต้องหาผู้ช่วยซะแล้วมั้ง

“หวัดดีค่ะพี่น้ำ” เสียงหวานของนิดหน่อยเอ่ยทักทันทีที่หญิงสาวที่เดินเข้ามา พอเห็นว่ารุ่นพี่หอบของพะรุงพะรัง เธอก็รีบวิ่งเข้าไปช่วย
“พี่น้ำซื้ออะไรมาเยอะแยะคะเนี่ย”
“ขนมจากร้านคุณดาว เอามาลองชิม พี่ว่าเดี๋ยวนี้ขนมคุณยาเริ่มไม่มีอะไรใหม่ รสชาติก็แปลกๆไป” ว่าพลางมองไปรอบๆ ลูกค้าเกือบสิบคน สี่คนนั่งอยู่บริเวณหย่อนใจลึกเข้าไปในร้าน

สองคนเป็นลูกค้าประจำ เขาโบกมือทักทายมา ตมิสายกมือตอบยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บริเวณหย่อนใจ...ตามที่เธอตั้ง อยู่ลึกเข้าไปทางหลังร้านที่ผนังทำด้วยกระจกบานใหญ่ ครึ่งบานมีสายน้ำไหลผ่านตลอดเวลา อีกครึ่งจะมองเห็นสวนหย่อม จริงๆแล้วมันก็ไม่เชิงสวนหรอก ตมิสาให้เขาเอาต้นไม้พื้นๆอย่างต้นนีออน แสงจันทร์มาวางๆให้ความรู้สึกว่ามันไม่ได้ถูกจัดแต่งเพื่อใคร เหมือนว่ามันอยู่ของมันมาก่อนที่ตึกนี้จะสร้างขึ้น บ่อน้ำเล็กๆไม่มีหินประดับ หญ้ามอสขึ้นคลุม บริเวณหย่อนใจจึงไม่ใช่สิ่งตอบแทนแก่ลูกค้าที่แวะมาเยี่ยมเยือน แต่เพราะเจ้าของร้านที่รักจะอยู่ข้างธรรมชาติเท่าที่ทุกสิ่งจะอำนวยได้ในเมืองวุ่นวายอย่างกอทอมอนี้

“พี่น้ำฮะ” ป้องเดินจากด้านในร้านมาสบทบ
“ไงป้อง มีอะไรหน้ายุ่งเชียว” ถามออกไปก็นึกให้หวั่นใจว่าจะมีปัญหาอะไรอีกรึเปล่านะ
“ข้อมูลโดนแฮกค์”


แสงแดดจ้าส่องผ่านม่านมาแหยงเข้าตา ชายหนุ่มหยีตาลงถอดแว่นตาออกเสีย กี่โมงกันแล้วเนี่ย เขาเหลือบดูนาฬิกาที่หัวเตียง เก้าโมงเช้าแล้ว มิน่าแดดถึงได้ผ่านม่านมาเข้าตาเขาได้ เขาละมือที่กุมเม้าส์ออก ขยับข้อมือไปมา เขาเร่งงานเกินไปรึเปล่านะ คิดพลางลุกออกจากเก้าอี้ รู้สึกหิวนิดหน่อย เมื่อวานเขาทานมื้อเย็นไปได้เพียงนิดหน่อย ทั้งๆที่ก็รู้สึกหิว แต่เขากลับตักข้าวเข้าไปได้ไม่กี่คำ จนมารดายังเอ่ยทัก

“ภนต์กลับมาผอมลงไปเยอะนะลูก กินข้าวก็นิดเดียว แล้วยังทำงานอะไรนักหนาไม่หลับไม่นอน”

เขาไม่ตอบมารดา อันที่จริงเขามีเรื่องอยากจะพูดกับนางเยอะมาก แต่เพราะตั้งแต่เด็ก เขาไม่ค่อยได้พูดคุยกับมารดานัก สองตาเขาจะมองเห็นมารดาไปทำงานที่โรงแรมในตัวเมือง และนานๆทีก็จะกลับบ้านมากับผู้ชายสูงวัยคนนึง นางบอกให้เขาเรียกว่า...คุณท่าน แต่ชายผู้นั้นบอกเขายิ้มๆว่าให้เรียกว่าคุณลุง ทว่านภนต์กลับไม่เคยเรียกชายผู้นั้นเลยสักครั้ง เมื่อเห็นเขามา เด็กชายจะเก็บตัวเงียบในห้อง อ่านหนังสือมากมายที่เขายืมมาจากห้องสมุด ถึงเวลาอาหารเขาก็มาตักเข้าไปทานในห้อง

เขาเป็นเด็กเรียบง่าย ไม่เคยก่อเรื่องจากที่โรงเรียน เขาไม่ชอบเล่นกีฬา ที่ประจำของเขาคือห้องสมุด แต่เขากลับไม่เหมือนเด็กเรียนทั่วๆไป เขาชอบไปคุยกับอาจารย์ฝึกสอนที่มาจากกรุงเทพฯ อาจารย์พวกนั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เขาสนใจเรื่องคอมพิวเตอร์ ยามว่างก็ไปหาร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ใกล้ๆโรงแรมที่มารดาทำงานอยู่ ถามช่างในร้าน ขอลองใช้บ้าง เขาไม่เคยสับสนกับตัวเองว่าจะเรียนอะไร แม้จะไม่เคยสอบได้ที่หนึ่งแต่เขาก็ไม่เคยสอบตก มารดาจึงไม่เคยมาถามว่าเขาทำการบ้านหรือยัง มีบางครั้งที่ถามเขาว่าไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนๆบ้างหรือ แต่เวลาส่วนมากของนางก็คือรอคอยผู้ชายคนนั้น

นภนต์ไม่รู้ว่าเขาเป็นเด็กมีปัญหาหรือเปล่า เพราะถึงแม้เขาจะไม่มีพ่อ เขาก็ไม่รู้สึกอะไร รู้จากแม่ว่าพ่อเป็นใคร ทำไมไม่รับผิดชอบแม่และเขา เขาก็ไม่สนใจคนคนนั้นอีกต่อไป ก็ในเมื่อเขาไม่ต้องการ แล้วจะไปคิดถึงคนที่เขาไม่เคยรู้จักไปทำไม

ชายหนุ่มหยิบขวดนมในตู้เย็น เปิดฝาแล้วยกขึ้นดื่ม แต่เพียงสองอึกเขาก็ต้องนิ่วหน้า ปิดฝาขวดวางเก็บกลับไปที่เดิม เปลี่ยนมารินน้ำใส่แก้ว คราวนี้ดื่มจนหมดได้อย่างไม่ลำบาก นงพงาไม่อยู่ คงไปขลุกช่วยป้าจิตทำอะไรต่อมิอะไรอยู่ในครัว มารดาเขาคงรู้สึกว่าตัวเองและลูกมาพึ่งพาเขา...ผู้หญิงคนนั้น

เขามักจะเห็นตมิสาเดินก้าวยาวฉับๆไปรอบบ้านแทบทุกเย็น เหมือนกำลังตรวจงานไม่ผิด เขานึกขำๆ ยิ่งบางทีจะเห็นจ้อย สาวใช้ตัวเล็กวิ่งตามเจ้านายแทบไม่ทัน ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็ก้าวเดินปกติ จ้อยเคยบอกว่าเจ้านายของเธอหน่ะอายุสามสิบแล้ว แต่สามสิบเท่าไหร่ก็ไม่ได้บอก แต่มองแล้วก็ดูเป็นผู้ใหญ่ แล้วยิ่งท่าทางเฉยเมยนั่นอีก เขาว่าถ้าคุณน้ำอะไรนั่นเลิกทำตาโตดุๆ ยิ้มบ่อยๆ ก็อาจจะดูไม่แก่เท่าที่เป็นอย่างนี้ก็ได้

มีครั้งหนึ่งเขากำลังจะออกไปข้างนอก เหลือบมองขึ้นไปที่ระเบียงขาวที่ที่เธอชอบไปนั่งอยู่เป็นประจำ เขารู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็นวันนั้น ตมิสากำลังเงยหน้ามองฟ้า เธอหลับตาอยู่ ลมพัดผมที่ซอยสั้นปลิวเบาๆ และริมฝีปากที่มักจะเม้มปิดสนิทกำลังเผยอยิ้มน้อยๆ เขามองภาพนั้นอยู่นานจนอีกฝ่ายลืมตาขึ้น เขาถึงรีบหลบหลังซุ้มเฟื่องฟ้า ยิ้มสวยนี่นา...แล้วทำไมไม่ยิ้มบ่อยๆ

“อ้าวภนต์ ตื่นแล้วหรือลูก” นงพงาเดินเข้ามาตอนไหนเขาแทบไม่รู้ตัว
“ครับ” เขาไม่แก้ความเข้าใจมารดาว่าที่จริงแล้วตั้งแต่เมื่อวานเย็นเขายังไม่ได้หลับตาเลยด้วยซ้ำ
“แม่ทำข้าวต้มไว้ กินหน่อยนะลูก” นางว่าแล้วไม่รอคำตอบ รีบไปจัดการเอาข้าวต้มที่ใส่ถ้วยไว้แล้วเข้าเตาไมโครเวฟทันที
“เมื่อไหร่งานจะเสร็จล่ะลูก”
“เกือบแล้วครับ”

นงพงาหันมามองลูกชายคนเดียวของเธอ นภนต์อายุยี่สิบหกแล้วปีนี้ ชายหนุ่มยิ่งดูจะพูดน้อยลงน้อยลงทุกวัน กลับมาอยู่ด้วยกันมาเกือบเดือนแล้ว นภนต์ก็ยังไม่เคยเอ่ยเล่าถึงช่วงเวลาที่หายไป แต่ใจผู้เป็นแม่ เมื่อได้ลูกชายกลับมาเธอก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าจะได้คอยดูแลเขา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นงพงามองหน้านภนต์ ต่างคนต่างสงสัยเพราะไม่เคยให้เบอร์เรือนหลังเล็กกับใคร นภนต์ยกมือให้นงพงาเฉย ชายหนุ่มเดินไปยกหูโทรศัพท์ขึ้น

“ฮัลโหล” ปลายสายเงียบไปอึดใจ แล้วเสียงหวานๆก็ดังขึ้น
“นภนต์ใช่ไหม” น้ำเสียงดูอึกอักชอบกล ชายหนุ่มกำลังพยายามนึกว่าใครกันนะ
“ครับ”
“ฉัน...ตมิสานะ” ชายหนุ่มอึ้ง รับฟังถ้อยคำจากอีกฝ่าย แทบจะไม่ได้อ้าปากพูดอะไรเลยนอกจากรับคำ...ครับ...ได้ครับ


วางหูแล้วตมิสาก็ถอนใจ ไม่บ่อยนักที่เธอจะไปขอร้องคนแปลกหน้าหรือคนไม่คุ้นเคยให้ช่วยทำอะไรให้ แต่ครั้งนี้เมื่อไม่รู้จะหันไปหาใคร เพื่อนเจ้ากรรมคนเดียวที่เคยมาใส่โปรแกรมให้ก็ดันอยู่ไกลถึงออสเตรเลีย ตมิสาเคยได้ยินเรื่องหน่วยงานราชการโดนแฮกค์ข้อมูลสำคัญๆ แต่ร้านเธอมันมีอะไรน่าสนใจนักเหรอ

“พวกว่างงานหน่ะพี่ ฝึกฝีมือ” ป้องเสนอความเห็นหลังจากทำอะไรไม่ได้นอกจากเกาหัวแกรกๆ ก็ทั้งเขาและนิดหน่อยเป็นรุ่นน้องคณะเดียวกันกับตมิสา คอมพิวเตอร์ก็รู้แค่ทำรายงานส่งกับเล่นเกมส์นั่นแหละ

หญิงสาวนั่งทำงานไม่เป็นสุข คิดทบทวนอยู่นาน ลองเสิร์ชหาบริษัทด้านคอมพิวเตอร์ แต่ก็รู้สึกเสียดายตังค์เหมือนกัน เจ็บใจที่ตัวเองไม่ได้เรื่องด้านนี้เอาซะเลย

“น่าจะมีลูกค้าเราสักคนในร้านเป็นโปรแกรมเมอร์เนอะพี่น้ำ” นิดหน่อยเปรยออกมา สองมือเท้าคางสายตาก็สอดส่องลูกค้าที่ยืนเลือกหนังสืออยู่

และนั่นแหละที่ภาพของชายหนุ่มผิวขาวซีดๆ กับสายตาที่มองมาอย่างแน่วแน่ และคำพูดที่บอกว่า...ผมทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หญิงสาวแทบจะไม่ลังเลที่จะกดเบอร์โทรศัพท์หมายเลขที่เธอไปขอมากับมือ ก็มาอาศัยบ้านเธออยู่ฟรีๆนี่นา เรียกใช้แค่นี้จะเป็นไรไปกัน

โชคดีที่ปลายสายเป็นคนที่ต้องการพูดด้วยพอดี ตมิสาคงจะรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยหากนงพงามารับสายแล้วเธอต้องบอกว่าขอพูดกับลูกชายนาง เธอรีบแจกแจงว่ามีปัญหาอะไร แล้วเขาช่วยได้ไหม และที่สำคัญตามนิสัยใจร้อนบวกเอาแต่ใจเธอก็ถามเขาว่า...มาทำให้เลยได้ไหม

“ได้ไหมคะพี่น้ำ” นิดหน่อยโผล่หน้าเข้ามาถาม ตมิสายิ้มน้อยๆพร้อมกับพยักหน้ารับ


พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบทุกก้าวที่เท้าสัมผัส เก้าอี้โซฟากำมะหยี่สีน้ำตาลเข้มตั้งรับแขกอยู่โถงทางเข้าด้านหน้า เหนือขึ้นไป ภาพของคนที่แสนจะคุ้นเคยและให้สำนึกบุญคุณอยู่ทุกๆวันมองลงมา มุมปากอมยิ้มนิดๆเหมือนจะแย้มยิ้มให้เธออย่างเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน นงพงาพนมมือก้มไหว้ให้เขาผู้นั้น เธอทรุดตัวนั่งลงบนพื้นเย็นเฉียบนั้น เงยหน้าสบตาดวงตาในภาพถ่ายนั้นนิ่งนานกว่าจะเอ่ย

“นงคิดถึงท่านจังเลยค่ะ วันนี้ได้มาอยู่ในบ้านท่าน แต่ก็เหงาเสียเหลือเกิน นงพาภนต์มาด้วยนะคะท่าน เขาหายไปนานจนนงนึกว่าเขาจะไม่กลับมาแล้ว” น้ำตาเอ่อรินขอบตาสองข้าง สุดจะทาน มันพร่างพรูออกมา
“ขาดท่านไป นงก็มีแต่เขา วันนี้เขากลับมาแต่..เขาก็ยังคงไม่ค่อยพูด นงเลี้ยงเขาไม่ดีใช่ไหมคะท่าน ทั้งๆที่ท่านช่วยเหลือเราแม่ลูกขนาดนี้”

ทั้งภาพทั้งเสียงเข้าเต็มตาเต็มหูของจ้อยที่ถือเสื้อผ้าจะเอาขึ้นห้องคุณน้ำ คุณนงรู้จักคุณท่านด้วย มิน่าเล่าคุณน้ำถึงยอมให้เธอเข้ามาอยู่ที่เรือนหลังเล็ก แล้วคุณภนต์ล่ะ คุณท่านเคยช่วยเหลือ....โอ๊ย...จ้อยงงไปหมดแล้ว


เสียงนกร้องเบาๆ นิดหน่อยเงยหน้ามอง ยิ้มหวานต้อนรับอย่างเต็มที่ เสียงนกร้องนี้ตมิสาไปได้มาจากตอนไปเที่ยวที่อิตาลี นิดหน่อยชอบมาก ได้ยินครั้งแรกก็ปรบมือใหญ่

“เหมือนเซเว่นเลยพี่น้ำ ติ๊งหน่องๆ” พูดออกไปเลยโดนมะเหงกจากเจ้าป้องมาหนึ่งที
“บ้าดิไอ้นิด เหมือนเสียงก่อนประกาศในห้างมากกว่า ปี๊ดิ่วๆ..ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านโปรดทราบ...” ยังแอ็คไม่ทันจบศีรษะของทั้งคู่ก็ชนเข้าหากันทันที
“นี่แหนะ ล้อเลียน” ตมิสาค้อนทั้งคู่เข้าให้

ลูกค้าหน้าใหม่เดินมาหานิดหน่อย หญิงสาวที่ยิ้มหวานค้างจากเมื่อกี้เลยต้องเอ่ยถาม

“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”
“ผมมาหาคุณตมิสา” เสียงเขาเบาจนนิดหน่อยต้องถามซ้ำ
“ใครนะคะ”

นภนต์กำลังจะอ้าปากบอกอีกครั้งแต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาซะก่อน

“มาแล้วเหรอนภนต์” ให้สงสัยว่าตัวเองคิดไปว่าเสียงนี้หวานได้ยังไงเมื่อได้ยินทางโทรศัพท์ ทำไมของจริงมันเย็นๆพิกล
“ครับ” เขารับคำเบาๆ
“นิดหน่อย นี่นภนต์....” หญิงสาวหยุด จะให้บอกว่าเป็นใคร “เออ...โปรแกรมเมอร์ที่พี่บอกไง”
“หวัดดีค่ะ หน้ายังเด็ก ต้องเป็นน้องนิดแน่นอน เรียกพี่นิดก็ได้นะ”

นภนต์ยิ้มให้อีกฝ่าย นึกถึงหน้าอีกคนตอนแนะนำเขา นั่นสิ...เขาเป็นอะไร เด็กในบ้านงั้นเหรอ

“เข้ามาสิ” ตมิสาบอกพลางเดินนำเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มเดินตาม เขาต้องก้มศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านม่านกั้น มองตามร่างที่เขาเคยเห็นอยู่บ่อยๆแต่เพิ่งได้พินิจ ตมิสาไม่สูงเท่าไหร่ รูปร่างก็ไม่ผอมไม่อ้วน หุ่นเหมือนนักกีฬา ตรงๆ เขาคิดแล้วก็แอบยิ้ม

ตมิสาหันไปเห็นรอยยิ้มนั้นเข้าพอดี เธอขมวดคิ้ว ยืนคู่กันอย่างนี้ เธอถึงได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงไม่เบา ขนาดว่าเธอต้องแหงนหน้าขึ้นมองทีเดียว นึกถึงคำที่บอกเมษาไป....ฉันจับบิดนิดเดียวก็ไปแล้ว สงสัยจะเป็นว่าเขาจับหัวเธอหมุนเธอก็ไม่รอดแล้วมากกว่า

“เครื่องนี้ใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มชี้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่วางบนโต๊ะทำงานของเธอ
“ใช่ ป้อง...น้องช่วยงานอีกคนหน่ะ” จะอธิบายทำไมนะ “บอกว่าพวกมือสมัครเล่นลองฝีมืออะไรเนี่ย”
“ขอนั่งนะครับ”

ตมิสาตาโต แค่นี้ก็ต้องขออนุญาต ไม่นั่งแล้วจะดูคอมพ์ได้ไง หมอนี่ “ก็นั่งไปสิ ทำได้มั้ย”

คราวนี้นภนต์มองหน้าอีกฝ่ายที่ยื่นหน้าเข้ามาถาม ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ผมยังไม่ได้เช็คเลยครับ คุณตมิสารอสักครู่นะครับ”

ตมิสารีบดึงหน้ากลับแทบไม่ทัน เด็กอาไร้ นี่ถ้าทำเองได้ไม่รีบก็ไม่ง้อหรอกนะ แล้วยังมาเน้นชื่อเธอซะ....ซะอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ควันมันออกหูเธอนิดๆแล้วล่ะ

ตมิสาลอบมองชายหนุ่มที่นั่งจ้องจอสี่เหลี่ยมจากด้านข้าง เขาดูไม่ค่อยเหมือนแม่เท่าไหร่ นอกจากผิวขาวแต่ก็ดูซีดๆ ดูมือที่กุมเมาทส์สิ...ซีดยังกะจิ้งจก ผมเส้นเล็กที่ยาวประบ่าดูไม่ค่อยมีรูปทรง สงสัยจะไม่ได้ตัดมานาน แว่นตาขอบน้ำตาลเข้มช่วยให้หน้าจืดนั่นดูมีสีสันขึ้นมาหน่อย ดูโดยรวมแล้วก็..ธรรมดา

ตมิสาเจอะเจอผู้คนมามาก แต่คนที่ได้เข้ามาในกรอบวงกลมที่เธอวางไว้นั้นมีจำนวนนับด้วยนิ้วมือได้ หลายคนบอกว่าเธอเลือกคบคน ก็คงจะจริง ตมิสาไม่ชอบคุยเรื่อยเปื่อย ไม่ชอบไปเที่ยวกลางคืน ไม่ชอบนัดทานข้าวกับใคร เธอพอใจกับการมานั่งอยู่ในร้านที่ตัวเองเลือกที่จะทำ เลือกที่จะอยู่ ใครอยากพบเธอก็มาหาที่ร้านหรือไม่ก็ที่บ้าน และนั่นทำให้หลายคนเหนื่อยหน่าย หรืออาจจะลืมๆไปว่าเธอยังอยู่ในกอทอมอนี้ ไม่ได้ไปถือศีลบวชอย่างที่เคยได้ยินใครบางคนประชดมาเข้าหู

“แหมทำเก็บเนื้อเก็บตัว คิดว่าสูงส่งนักก็ไปบวชชีอยู่ในป่าสิ”

ตมิสาไม่ได้เจอคนที่พูดประโยคนี้นานแล้ว ไม่ได้จำว่ากี่วันกี่เดือนกี่ปี เพราะเธอไม่รู้สึกว่าคนคนนั้นน่าที่จะต้องระลึกถึง เพียงแต่ถ้อยคำที่เขาฝากไว้มันยังเข้ามารบกวนเธออยู่บ่อยๆ หญิงสาวไม่เคยคิดว่าตัวเองสูงส่ง มันเป็นอะไรที่ไม่ใช่เลย แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่พอมีฐานะ แต่คุณปู่ก็ไม่ได้เลี้ยงให้เธอสบายเคยตัว ไม่เคยสอนให้ดูถูกใคร ท่านสอนให้เธอรู้จักให้เกียรติทุกๆคน ถ้าจะผิดก็คงผิดที่เธอเลือกจะอยู่กับคนที่เธอสบายใจมากกว่า และเธอเองก็ไม่ชอบกับถ้อยคำเสียดสีที่คนสมัยนี้ใช้พูดจากันใส่กัน ตมิสาขอเลือกให้ตัวเองอยู่ไกลจากสิ่งเหล่านั้นดีกว่า

แล้วนี่....หญิงสาวมองคนที่อยู่ใกล้ๆ เธอได้ปล่อยให้คนสองคนที่เธอยังไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้พิจารณาสักเท่าไหร่มาอยู่ใกล้เธอถึงในบ้าน อาจจะจริงอย่างที่เมษาว่า เธอไว้ใจพวกเขาเกินไป เพียงเพราะเขามีสายใยผูกพันกับคุณปู่ของเธอมาก่อนเท่านั้น แต่ตมิสาก็ยังคงยกคุณปู่อยู่เหนือทุกสิ่ง เมื่อผู้หญิงคนนั้นเคยได้รับความเมตตาจากคุณปู่ เธอก็ขอสานต่อความรู้สึกนั้นของคุณปู่ แม้ว่ามันอาจจะดูเสี่ยงอย่างที่เพื่อนบอกก็ตาม

“คุณตมิสาครับ”

ตมิสากระพริบตาอย่างตกใจเมื่อเสียงของชายหนุ่มดังขึ้น และพบว่าตัวเองก็ยังคงมองเขาอยู่อย่างนั้นแม้ว่าใจจะคิดไปถึงไหนๆ แต่ด้วยชั่วโมงบินสูง หญิงสาวก็แสร้งปั้นหน้าได้อย่างแนบเนียนถามกลับเหมือนว่าเมื่อกี้เธอไม่ได้แอบมองเขาอยู่นาน

“นี่เรียกฉันว่าคุณน้ำก็ได้”
“ครับ คุณน้ำ” นภนต์รับคำ ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองคิดไปเองว่ามีคนมองเขาอยู่ ก็พยายามเช็คเครื่องไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็อดหันไปมองคนที่นั่งข้างๆไม่ได้ แล้วเขาก็แปลกใจที่พบว่าหญิงสาวจ้องมาที่เขาจริงๆ เพียงแต่เหมือนเธอจะไม่ได้รู้ว่าเขาก็มองเธออยู่เหมือนกัน มองเขา...แต่ใจลอยไปถึงไหนเนี่ย

“เอ้า ตกลงว่าไง แก้ได้มั้ย” กลับมาหน้าเฉยแต่ใจร้อนดังเดิม ตมิสาถามยิกๆ
“แก้ไม่ได้ครับ ระบบฐานข้อมูลถูกดีคริปต์หมดเลย ผมคิดว่ามันเคยเอ็นคริปต์ไว้ด้วยไพรเวทคีย์แบบ 64 บิทหน่ะครับแต่อาจจะปลอดภัยน้อยไป”

ตมิสามองหน้าอีกฝ่ายที่พูดยาวยืด แล้วก็ลุกขึ้นไปที่ริมหน้าต่าง มองต้นไม้ใบหญ้าข้างนอกแล้วถอนใจ หมุนตัวเดินกลับมาหานภนต์ แหงนหน้ามองอีกฝ่ายที่ก้มหัวมองรออยู่ก่อนแล้ว

“เธอพูดอะไรหน่ะ ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ช่วยใช้คำที่คนปกติจะเข้าใจได้ ได้มั้ย”
“ผมก็คนปกติ” อีกฝ่ายย้อน ชักนึกสนุกที่ทำให้คนทำเฉยอย่างหญิงสาวมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง
“นภนต์” ตมิสาเรียกเขาแต่อีกฝ่ายยกมือเชิงห้าม
“เรียกภนต์ก็ได้ครับ”

หญิงสาวมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งอยู่ครู่ บอกตัวเองให้ใจเย็นไว้ ร้านต้องมาก่อน
“ถ้าเธอว่าแก้ไม่ได้ งั้นฉันจะต้องทำยังไงต่อไปล่ะ...ภนต์”
“ก็สร้างโปรแกรมใหม่สิครับ” เขาตอบอย่างเป็นเรื่องง่ายๆ ก็มันง่ายมากจริงๆสำหรับเขานี่นา
“แล้วเธอทำได้มั้ย” หญิงสาวถามแล้วหรี่ตามอง
“ได้ครับ” คราวนี้นภนต์ตอบอย่างจริงใจ เพราะตมิสาก็เป็นผู้มีพระคุณกับแม่เขา แน่นอนเขาไม่รวมตัวเข้าไปด้วย นภนต์ยอมมาอยู่กับมารดาในบ้านคนอื่นอย่างนี้ก็เพราะเหตุผลของเขา เหตุผลที่เขายังบอกใครไม่ได้แม้แต่มารดาตัวเอง

“ถ้างั้นฉันจะจ้างเธอให้ช่วยทำโปรแกรมจัดการสินค้าและก็ระบบบัญชีให้ เธอจะคิดเท่าไหร่” ตมิสาคิดการเสร็จสรรพ “แล้วก็อยากจะให้ช่วยสอนพวกเราให้ใช้มันให้เป็นด้วย คิดรวมกันไปเลย”

คราวนี้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายถอนใจบ้าง “ผมไม่คิดครับ มันไม่ใช่โปรแกรมยุ่งยากอะไร” อันนี้เขาก็อึดอัดใจที่จะบอกว่าจริงๆแล้วเพราะอะไร
“ไม่ได้หรอก ฉันจะมาให้เธอมาทำให้ฟรีๆได้ไงกัน”
“คุณน้ำก็ให้ผมกับแม่อยู่ที่เรือนหลังเล็กฟรีๆ” เขาย้อนเธอกลับ ตมิสาสะอึกไปนิดเพราะตอนที่เธอเรียกใช้เขาครั้งแรกก็ด้วยเหตุผลนี้ไม่ใช่หรือ

สองคนสบตากัน ดูท่าโปรแกรมง่ายๆนี่คงจะทำเรื่องให้ไม่ง่ายเกิดขึ้นระหว่างตมิสากับนภนต์ สุดขอบฟ้าอยู่ตรงไหนไม่มีใครรู้ แต่ดวงจันทร์นั้นอยู่บนฟ้าแน่นอนเป็นที่สุด

******************************


Create Date : 05 สิงหาคม 2550
Last Update : 5 สิงหาคม 2550 10:28:18 น. 1 comments
Counter : 410 Pageviews.

 
อ่านถึงตรงนี้แล้ว เริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ ไว้จะกลับมาอ่านต่อค่ะ ไปก่อนนะคะ


โดย: กิ่งลีลาวดี วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:18:31:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลั่นทมขาว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




ถ้าจะแพ้อย่าอ่อนแอให้ใครเห็น
ถ้าอยากเป็นคนเข้มแข็งต้องแกร่งไว้
ถ้าอยากร้องก็ร้องให้หนำใจ
แต่ขอให้ได้อะไรจากน้ำตา
New Comments
Friends' blogs
[Add ลั่นทมขาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.